ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจร่วมกับพี่น้องประชาชนไทยมวลชนคนเสื้อเหลืองผู้เชิดชูชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การสูญเสียครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง เมื่อตำรวจอันเป็นกลไกรัฐ (State math-chine) ภายใต้ระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้ง ได้ทำการสลายมวลชนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นเหตุให้ผู้ประท้วงการเสียชีวิตของ 2 วีรชนคนกล้า คือ นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ และ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หรือ สารวัตรจ๊าบ แกนนำเครือข่ายพันธมิตรฯ คนสำคัญ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นจำนวนมาก เราผู้เขียนและเพื่อนร่วมอุดมการณ์เชิดชูหลักการปกครองธรรมาธิปไตย ขอแสดงความเสียใจและไว้อาลัยวีรชนคนกล้า ผู้อุทิศตนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ความจริงที่ถูกต้องของบ้านเมืองไทยแท้จริงมันเป็นระบอบเผด็จการ เมื่อระบอบเป็นเผด็จการรัฐบาลก็ย่อมเป็นเผด็จการ เมื่อรัฐบาลเป็นเผด็จการก็แน่นอนว่าตำรวจอันเป็นกลไกรัฐ เป็นกลไกรัฐของระบอบเผด็จการ ดังนั้นในภาพรวมคนทั่วไปย่อมรู้กระจ่างชัดในจินตภาพ (Concept) มีความรู้สึกต่อตำรวจเป็นสีเทาและตำรวจไทยส่วนใหญ่ทั่วประเทศล้วนแล้วแต่ถือเตารีดและคันไถแทบทั้งสิ้น
ความเลวร้ายทั้งหลายมารวมศูนย์อยู่ที่ตำรวจไทยนี่เอง ตำรวจจำนวนมากเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแหล่งอบายมุขทั้งปวง เช่น บ่อน หวยเถื่อน ซ่องโสเภณี การค้าของเถื่อน ยาบ้า มือปืน และอิทธิพลอำนาจมืด ฯลฯ
เมื่อมองตำรวจไทย ก็ไม่ต่างอะไรกับนักการเมือง ที่คิดแต่จะฉ้อฉล คอร์รัปชัน ฉ้อราษฎร์บังหลวง ทั้งนี้เพื่อเป็นทุนในการลงเลือกตั้งครั้งใหม่ ตั้งรัฐบาลในแต่ละครั้ง ก็ต้องจ่ายเงินเพื่อการต่อรอง หากไม่จ่ายพวกก็จะป่วนไม่เลิก ดังนั้นนักการเมืองก็ไม่ต่างไปจากคนโฉดที่แย่ยิ่งกว่าโสเภณีเป็นไหนๆ
ดังนั้น ทั้งจากฝ่ายผู้สั่งการ และผู้กระทำการอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ เป็นเรื่องปกติของกระบวนการของกฎแห่งกรรมชั่วที่ครอบงำประเทศ ดุจฝาชีครอบอาหาร “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น” เมื่อระบอบเลว รัฐบาลเลว, เมื่อรัฐบาลเลว ตำรวจเลว ตำรวจเลวก็ทำการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อประชาชนฯลฯ กระบวนการแห่งกรรมเลวนี้ ไม่ใช่เพิ่งจะมีจะเป็น มันเป็นมานานแล้ว ครอบงำทำลายประเทศไทยเรามากเกินที่จะกล่าวและยาวนานกว่า 76 ปีแล้ว
มันเป็นข้อสรุปที่ชัดแจ้ง ล้วนมาจากรากเหง้าของขบวนการรัฐธรรมนูญ 2 ขั้วมิจฉาทิฐิ คือเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ โดยใช้วิธีการขึ้นสู่อำนาจซ่อนรูปอย่างแนบเนียนดุจดังปลวกกินบ้าน กับอีกขั้วหนึ่ง เผด็จการโดยทำรัฐประหาร ขึ้นสู่อำนาจแล้วก็ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ประชาชนผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งหลาย จงตรองให้จงหนัก อย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างขบวนการประชาธิปไตยกับขบวนการเผด็จการอย่างเด็ดขาด ถ้าพวกเราเข้าใจว่าอย่างนั้น ก็ไม่มีทางที่จะคิดแก้ปัญหาของประเทศให้ผ่านพ้นให้หลุดพ้นไปได้จากวงจรโคตรอุบาทว์นี้
มีความจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องอธิบายกันอีก จะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก ในอีกด้านหนึ่งมันก็ฟ้องอยู่ในทีแล้วว่า คณะผู้ปกครองไทยหลายรุ่นเหล่านั้นล้วนโง่เขลาเบาปัญญาที่สุดในโลก เช่นกัน และในการล้มเลิกรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งเกือบจะทั้งหมดเกิดจากความขัดแย้งช่วงชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์ระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเองทั้งสิ้น จนนำไปสู่การทำรัฐประหารถึง 13 ครั้ง เพื่อล้มเลิกรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการวนเวียนระหว่างรัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจากเลือกตั้งโกงกินคอร์รัปชัน รัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจากเลือกตั้ง... เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จึงก่อให้เกิดวงจรที่เรียกกันว่า “วงจรโคตรอุบาทว์” (wicked cycle)
แนวคิดของขบวนการรัฐธรรมนูญ ที่สอนกันมาอย่างผิดๆ คือ เป็นมิจฉาทิฐิอันร้ายแรงที่สุดของชาติ 5 ประการ กล่าวโดยย่อ คือ
1. เข้าใจผิดในการจัดสัมพันธภาพระหว่างระบอบ (หลักการปกครอง) กับรัฐธรรมนูญ โดยทางที่ถูกต้อง พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงมีพระราชกรณียกิจทรงสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อน ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันในความถูกต้อง และเป็นธรรมต่อปวงชน คือไม่ปิดบังซ่อนเร้นไม่เป็นเผด็จการ ทั้งยังทำให้ประชาชนมีความรู้การเมือง รู้เท่าทันนักการเมืองชั่ว
2. เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” ระบอบก็คือหลักการปกครอง (Principle of Government) ส่วนรัฐธรรมนูญ ได้แก่หมวดและมาตราต่างๆ คือกฎหมายอันได้เกิดและเป็นผลของหลักการปกครอง และมีหน้าที่สะท้อนและรักษาระบอบนั้นๆ ไว้
3. การเข้าใจผิดของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะ คือยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย นี่คือแนวคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิร้ายแรงยิ่งของชาติ ความจริงรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle of Law) หน้าที่ของกฎหมายคือสะท้อนระบอบฯ รักษา คุ้มครองระบอบฯ นั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบฯ ที่ถูกต้องแล้ว จะทำให้ยิ่งล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติเรื่อยไป อย่างไม่รู้จักจบสิ้น นี่ก็เป็นจริงได้ยืนยันมาตลอด
4. เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา (มีอังกฤษเป็นแม่แบบ) เป็นเพียงรูปการปกครองหนึ่ง ที่ต่างไปจากระบบประธานาธิบดี (มีสหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบ) และระบบกึ่ง-ประธานาธิบดี (มีฝรั่งเศสเป็นแม่แบบ) รูปการปกครองมีไว้เพื่อจัดสัมพันธภาพระหว่างองค์กรแห่งอำนาจอธิปไตย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบฯ อะไรก็ได้ นักการเมืองทั้งหลายอย่าได้โง่เขลาเบาปัญญากันนัก
5. เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้ง เป็นระบอบประชาธิปไตย ปัญหานี้แก้ไขยากมากสำหรับประเทศไทย แท้จริงการเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมือง วิธีการย่อมเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบฯ อะไรๆ ก็นำไปใช้ได้ ระบอบเผด็จการหลายรูปแบบ ต่างก็เอาไปใช้
ประเทศไทยตกอยู่ในแนวทางความคิด วัฒนธรรมเผด็จการชั่วช้าอุบาทว์มายาวนาน ประชาชนผู้บริสุทธิ์แทบจะอยู่กันไม่ได้แล้ว สังคมเต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม ธุรกิจด้านเสริมสร้างอบายมุขกลับเติมโตร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่ง สอง สาม ของประเทศ นักการเมืองไทยทุกระดับไร้คุณภาพ โง่เขลาเบาปัญญา แดกดัน คอร์รัปชัน โกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกระดับ ที่ไหนมีงบประมาณที่นั่นจะมีคอร์รัปชัน ประเทศนี้ข้าราชการเป็นหนี้ท่วมหัว นักเลงหัวไม้ ปล้น จี้ ฆ่า ข่ม ขืน เยาวชนตกอยู่ในห้วงเหวความต่ำช้าเลวทรามของสังคม ครอบครัวไทยหย่าร้างล้มเหลวมากที่สุดในโลก โทรทัศน์มีแต่โฆษณาชวนเชื่อแต่สิ่งไร้สาระ อาชญากรรมเต็มเมืองจนคุกจนไม่มีที่จะคุมขังกันอยู่แล้ว
หากว่าผู้รักชาติทั้งหลายจะได้ตั้งใจศึกษาย่อมรู้ชัดว่าประเทศไทยแท้จริงแล้วเป็นระบอบเผด็จการที่ซ่อนเร้นดุจปลวกกินบ้านเรือน ส่วนคนขาดปัญญาจะมองไม่เห็น ว่านี่คือเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยตามกฎธรรมชาติ หรือกฎแห่งกรรมชั่ว หรือกฎอิทัปปจจยตาฝ่ายลบ ดังนี้
เพราะอวิชชา คือผู้ปกครองมีความเห็นผิด ย่อมเป็นเหตุให้จัดทำรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ
เพราะรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุให้พรรคการเมืองมิจฉาทิฐิ เพราะพรรคการเมืองมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุให้รัฐบาลมิจฉาทิฐิ
เพราะรัฐบาลมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุให้กลไกรัฐ กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว บุคคล ถูกครอบงำโดยเหตุคือมิจฉาทิฐิอย่างเป็นไปเอง ครอบงำ ครอบคลุมทำลายทุกส่วนทุกองค์กรที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมดในประเทศ
อีกนัยหนึ่ง ระบอบมิจฉาทิฐิ (เหตุ) ย่อมเป็นเหตุให้ผู้นำรัฐบาลมิจฉาทิฐิ (ผล) ผู้นำรัฐบาลมิจฉาทิฐิ (เหตุ) ย่อมเหตุเป็นปัจจัยต่อผู้นำสำงานตำรวจแห่งชาติมิจฉาทิฐิ ฯลฯ (ผล)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติมิจฉาทิฐิ (เหตุ) ย่อมเหตุเป็นปัจจัยต่อกองกำกับการตำรวจ ต่อมวลหมู่ตำรวจทั้งหลาย...(ผล) เราจึงเห็นการกระทำที่เกินเหตุ ทำความชั่วร้ายของเหล่าตำรวจไทยมาตลอด
นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้พวกเราผู้รักชาติทั้งหลายได้เห็นกัน ระบอบมิจฉาทิฐิ ที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม คือเหตุแห่งความอุบาทว์จัญไรของชาติ มองไปข้างหน้า ยังอีกนานที่จะหลุดพ้นความเลวร้ายไปได้
สถานการณ์คับขัน ดุจรั้งม้าที่หน้าผา ทางออกทางเดียวเท่านั้น ลำแสงที่ปลายอุโมงค์ คือ พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ จะทรงมีพระราชกรณียกิจสำคัญยิ่งใหญ่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย จะเป็นเหตุยิ่งใหญ่ที่จะนำไปสู่การแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ผ่านพ้นไปได้
ความจริงที่ถูกต้องของบ้านเมืองไทยแท้จริงมันเป็นระบอบเผด็จการ เมื่อระบอบเป็นเผด็จการรัฐบาลก็ย่อมเป็นเผด็จการ เมื่อรัฐบาลเป็นเผด็จการก็แน่นอนว่าตำรวจอันเป็นกลไกรัฐ เป็นกลไกรัฐของระบอบเผด็จการ ดังนั้นในภาพรวมคนทั่วไปย่อมรู้กระจ่างชัดในจินตภาพ (Concept) มีความรู้สึกต่อตำรวจเป็นสีเทาและตำรวจไทยส่วนใหญ่ทั่วประเทศล้วนแล้วแต่ถือเตารีดและคันไถแทบทั้งสิ้น
ความเลวร้ายทั้งหลายมารวมศูนย์อยู่ที่ตำรวจไทยนี่เอง ตำรวจจำนวนมากเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแหล่งอบายมุขทั้งปวง เช่น บ่อน หวยเถื่อน ซ่องโสเภณี การค้าของเถื่อน ยาบ้า มือปืน และอิทธิพลอำนาจมืด ฯลฯ
เมื่อมองตำรวจไทย ก็ไม่ต่างอะไรกับนักการเมือง ที่คิดแต่จะฉ้อฉล คอร์รัปชัน ฉ้อราษฎร์บังหลวง ทั้งนี้เพื่อเป็นทุนในการลงเลือกตั้งครั้งใหม่ ตั้งรัฐบาลในแต่ละครั้ง ก็ต้องจ่ายเงินเพื่อการต่อรอง หากไม่จ่ายพวกก็จะป่วนไม่เลิก ดังนั้นนักการเมืองก็ไม่ต่างไปจากคนโฉดที่แย่ยิ่งกว่าโสเภณีเป็นไหนๆ
ดังนั้น ทั้งจากฝ่ายผู้สั่งการ และผู้กระทำการอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ เป็นเรื่องปกติของกระบวนการของกฎแห่งกรรมชั่วที่ครอบงำประเทศ ดุจฝาชีครอบอาหาร “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น” เมื่อระบอบเลว รัฐบาลเลว, เมื่อรัฐบาลเลว ตำรวจเลว ตำรวจเลวก็ทำการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อประชาชนฯลฯ กระบวนการแห่งกรรมเลวนี้ ไม่ใช่เพิ่งจะมีจะเป็น มันเป็นมานานแล้ว ครอบงำทำลายประเทศไทยเรามากเกินที่จะกล่าวและยาวนานกว่า 76 ปีแล้ว
มันเป็นข้อสรุปที่ชัดแจ้ง ล้วนมาจากรากเหง้าของขบวนการรัฐธรรมนูญ 2 ขั้วมิจฉาทิฐิ คือเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ โดยใช้วิธีการขึ้นสู่อำนาจซ่อนรูปอย่างแนบเนียนดุจดังปลวกกินบ้าน กับอีกขั้วหนึ่ง เผด็จการโดยทำรัฐประหาร ขึ้นสู่อำนาจแล้วก็ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ประชาชนผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งหลาย จงตรองให้จงหนัก อย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างขบวนการประชาธิปไตยกับขบวนการเผด็จการอย่างเด็ดขาด ถ้าพวกเราเข้าใจว่าอย่างนั้น ก็ไม่มีทางที่จะคิดแก้ปัญหาของประเทศให้ผ่านพ้นให้หลุดพ้นไปได้จากวงจรโคตรอุบาทว์นี้
มีความจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องอธิบายกันอีก จะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก ในอีกด้านหนึ่งมันก็ฟ้องอยู่ในทีแล้วว่า คณะผู้ปกครองไทยหลายรุ่นเหล่านั้นล้วนโง่เขลาเบาปัญญาที่สุดในโลก เช่นกัน และในการล้มเลิกรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งเกือบจะทั้งหมดเกิดจากความขัดแย้งช่วงชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์ระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเองทั้งสิ้น จนนำไปสู่การทำรัฐประหารถึง 13 ครั้ง เพื่อล้มเลิกรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการวนเวียนระหว่างรัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจากเลือกตั้งโกงกินคอร์รัปชัน รัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจากเลือกตั้ง... เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จึงก่อให้เกิดวงจรที่เรียกกันว่า “วงจรโคตรอุบาทว์” (wicked cycle)
แนวคิดของขบวนการรัฐธรรมนูญ ที่สอนกันมาอย่างผิดๆ คือ เป็นมิจฉาทิฐิอันร้ายแรงที่สุดของชาติ 5 ประการ กล่าวโดยย่อ คือ
1. เข้าใจผิดในการจัดสัมพันธภาพระหว่างระบอบ (หลักการปกครอง) กับรัฐธรรมนูญ โดยทางที่ถูกต้อง พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงมีพระราชกรณียกิจทรงสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อน ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันในความถูกต้อง และเป็นธรรมต่อปวงชน คือไม่ปิดบังซ่อนเร้นไม่เป็นเผด็จการ ทั้งยังทำให้ประชาชนมีความรู้การเมือง รู้เท่าทันนักการเมืองชั่ว
2. เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” ระบอบก็คือหลักการปกครอง (Principle of Government) ส่วนรัฐธรรมนูญ ได้แก่หมวดและมาตราต่างๆ คือกฎหมายอันได้เกิดและเป็นผลของหลักการปกครอง และมีหน้าที่สะท้อนและรักษาระบอบนั้นๆ ไว้
3. การเข้าใจผิดของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะ คือยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย นี่คือแนวคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิร้ายแรงยิ่งของชาติ ความจริงรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle of Law) หน้าที่ของกฎหมายคือสะท้อนระบอบฯ รักษา คุ้มครองระบอบฯ นั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบฯ ที่ถูกต้องแล้ว จะทำให้ยิ่งล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติเรื่อยไป อย่างไม่รู้จักจบสิ้น นี่ก็เป็นจริงได้ยืนยันมาตลอด
4. เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา (มีอังกฤษเป็นแม่แบบ) เป็นเพียงรูปการปกครองหนึ่ง ที่ต่างไปจากระบบประธานาธิบดี (มีสหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบ) และระบบกึ่ง-ประธานาธิบดี (มีฝรั่งเศสเป็นแม่แบบ) รูปการปกครองมีไว้เพื่อจัดสัมพันธภาพระหว่างองค์กรแห่งอำนาจอธิปไตย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบฯ อะไรก็ได้ นักการเมืองทั้งหลายอย่าได้โง่เขลาเบาปัญญากันนัก
5. เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้ง เป็นระบอบประชาธิปไตย ปัญหานี้แก้ไขยากมากสำหรับประเทศไทย แท้จริงการเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมือง วิธีการย่อมเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบฯ อะไรๆ ก็นำไปใช้ได้ ระบอบเผด็จการหลายรูปแบบ ต่างก็เอาไปใช้
ประเทศไทยตกอยู่ในแนวทางความคิด วัฒนธรรมเผด็จการชั่วช้าอุบาทว์มายาวนาน ประชาชนผู้บริสุทธิ์แทบจะอยู่กันไม่ได้แล้ว สังคมเต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม ธุรกิจด้านเสริมสร้างอบายมุขกลับเติมโตร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่ง สอง สาม ของประเทศ นักการเมืองไทยทุกระดับไร้คุณภาพ โง่เขลาเบาปัญญา แดกดัน คอร์รัปชัน โกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกระดับ ที่ไหนมีงบประมาณที่นั่นจะมีคอร์รัปชัน ประเทศนี้ข้าราชการเป็นหนี้ท่วมหัว นักเลงหัวไม้ ปล้น จี้ ฆ่า ข่ม ขืน เยาวชนตกอยู่ในห้วงเหวความต่ำช้าเลวทรามของสังคม ครอบครัวไทยหย่าร้างล้มเหลวมากที่สุดในโลก โทรทัศน์มีแต่โฆษณาชวนเชื่อแต่สิ่งไร้สาระ อาชญากรรมเต็มเมืองจนคุกจนไม่มีที่จะคุมขังกันอยู่แล้ว
หากว่าผู้รักชาติทั้งหลายจะได้ตั้งใจศึกษาย่อมรู้ชัดว่าประเทศไทยแท้จริงแล้วเป็นระบอบเผด็จการที่ซ่อนเร้นดุจปลวกกินบ้านเรือน ส่วนคนขาดปัญญาจะมองไม่เห็น ว่านี่คือเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยตามกฎธรรมชาติ หรือกฎแห่งกรรมชั่ว หรือกฎอิทัปปจจยตาฝ่ายลบ ดังนี้
เพราะอวิชชา คือผู้ปกครองมีความเห็นผิด ย่อมเป็นเหตุให้จัดทำรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ
เพราะรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุให้พรรคการเมืองมิจฉาทิฐิ เพราะพรรคการเมืองมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุให้รัฐบาลมิจฉาทิฐิ
เพราะรัฐบาลมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุให้กลไกรัฐ กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว บุคคล ถูกครอบงำโดยเหตุคือมิจฉาทิฐิอย่างเป็นไปเอง ครอบงำ ครอบคลุมทำลายทุกส่วนทุกองค์กรที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมดในประเทศ
อีกนัยหนึ่ง ระบอบมิจฉาทิฐิ (เหตุ) ย่อมเป็นเหตุให้ผู้นำรัฐบาลมิจฉาทิฐิ (ผล) ผู้นำรัฐบาลมิจฉาทิฐิ (เหตุ) ย่อมเหตุเป็นปัจจัยต่อผู้นำสำงานตำรวจแห่งชาติมิจฉาทิฐิ ฯลฯ (ผล)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติมิจฉาทิฐิ (เหตุ) ย่อมเหตุเป็นปัจจัยต่อกองกำกับการตำรวจ ต่อมวลหมู่ตำรวจทั้งหลาย...(ผล) เราจึงเห็นการกระทำที่เกินเหตุ ทำความชั่วร้ายของเหล่าตำรวจไทยมาตลอด
นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้พวกเราผู้รักชาติทั้งหลายได้เห็นกัน ระบอบมิจฉาทิฐิ ที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม คือเหตุแห่งความอุบาทว์จัญไรของชาติ มองไปข้างหน้า ยังอีกนานที่จะหลุดพ้นความเลวร้ายไปได้
สถานการณ์คับขัน ดุจรั้งม้าที่หน้าผา ทางออกทางเดียวเท่านั้น ลำแสงที่ปลายอุโมงค์ คือ พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ จะทรงมีพระราชกรณียกิจสำคัญยิ่งใหญ่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย จะเป็นเหตุยิ่งใหญ่ที่จะนำไปสู่การแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ผ่านพ้นไปได้