ปรากฏการณ์คือผลที่เกิดจากสภาพการณ์ ประเทศมีสภาพการณ์ทางการเมืองเป็นระบอบเผด็จการจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม จะทำให้รัฐบาลชนิดใดๆ ก็ตาม ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือจากการยึดอำนาจแล้วแต่งตั้ง ก็ตาม จะไม่สามารถแก้ปัญหาของชาติและของประชาชนได้ เพราะมันเป็นระบอบการปกครองมิจฉาทิฐิของชนส่วนน้อย เพื่อชนส่วนน้อย
เรามาพิจารณาสภาพการณ์ที่แท้จริงของประเทศเป็นอย่างไร สภาพการณ์ที่แท้จริง คือ การดำรงอยู่การตั้งอยู่ของชาติ ตั้งอยู่บนความสัมพันธภาพแบบเผด็จการมิจฉาทิฐิ มีข้อพิจารณาและยืนยันจากสัมพันธภาพภายในประเทศ ดังต่อไปนี้
1. สถาบันพระพุทธศาสนา มีสัมพันธภาพหลักคือเป็นองค์ประกอบของรัฐ แต่กลับทำให้ตกอยู่ในฐานะกลไกรัฐ ส่วนสัมพันธภาพรอง คือองค์กรสงฆ์ และพระสงฆ์เป็นประชากรของรัฐ สถาบันพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ เป็นผู้นำทางสัจจะ เป็นผู้นำทางจิต มโน วิญญาณ เป็นผู้นำทางปัญญา ในการแก้เหตุวิกฤตบุคคลจนถึงระดับโลกและจักรวาล เมื่อตกอยู่ในฐานะกลไกรัฐเพียงด้านเดียวแล้วจะไปนำทางปัญญาใครได้ พระพุทธศาสนาตกอยู่ในอุ้งมือมาร (ระบอบมิจฉาทิฐิ) การแผ่ธรรมานุภาพย่อมไม่ได้ผล เพราะสัมพันธภาพดังกล่าวเป็นมิจฉาทิฐิ ทั้งๆ ที่เข้าใจอย่างง่ายๆ ว่า จิตเป็นนาย ส่วนกายเป็นบ่าว แต่สถาบันพระพุทธศาสนากลับกลายเป็นบ่าว ส่วนระบอบและรัฐบาลมิจฉาทิฐิกลับกลายไปเป็นนาย...กระทั่งทำให้คณะสงฆ์ไทยสยบยอมต่อระบอบการเมืองมิจฉาทิฐินั้นอย่างเป็นไปเอง ท่านทั้งจึงเห็นปรากฏการณ์ของสังคมไทยที่ไม่พึงพอใจตามที่ปรากฏนั่นแหละ
2. สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประกอบของรัฐ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ ในทางที่ถูกต้องโดยธรรม พระมหากษัตริย์ต้องบัญญัติไว้ในส่วนของหลักการปกครอง อันเป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ แต่ทุกวันนี้ได้บัญญัติไว้เพียงด้านเดียวในส่วนของวิธีการปกครองคือ หมวดและมาตราเท่านั้น แนวคิดนี้ย่อมเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ วันหนึ่ง...จะเป็นฝ่ายไหนก็ตามทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ความเป็นพระมหากษัตริย์หมดลงโดยพลัน แต่ถ้าพระมหากษัตริย์ มีทั้งส่วนที่เป็นหลักการปกครอง (อุปมาเป็นดวงอาทิตย์) และส่วนที่เป็นวิธีการปกครอง (อุปมาดาวเคราะห์) ดังนี้ รัฐธรรมนูญถูกฉีก..ถูกล้มไป สถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะยังมีความมั่นคงต่อไป แต่สภาพการณ์เช่นทุกวันนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมเสี่ยงภัยเสมอในระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ และจะมั่นคงเสมอไปภายใต้หลักการปกครอง หรือระบอบฯ ที่ถูกต้องโดยถือธรรมเป็นใหญ่
เราจะเห็นได้ชัดว่า พรรคการเมือง กลุ่มการเมืองต่างๆ ต่างก็อ้างความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งฝ่ายรัฐบาลก็วางแผนแสดงความจงรักภักดีเป็นข้ออ้าง แต่ความจริงในใจส่วนลึกของคณะรัฐบาลที่พวกเขาคบคิดกันคือหวังจะยุติ หยุดยั้งการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ดูไปแล้ว รัฐบาลกำลังนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือเพื่อเบียดเบียนอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ เขารู้ทันกันทั้งนั้น และก็จะยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง หักร้างทำลายซึ่งกันและกัน..ซ้ำเติมให้รุนแรงหนักขึ้นไปอีก เพราะต่างก็มองปัญหาในมุมของตน ทั้งนี้เพราะไทยเราขาดหลักการปกครอง อันหลักเอกภาพของปวงชนในชาติ นั่นเอง
แต่พวกผู้ปกครอง (พวกลัทธิรัฐธรรมนูญ) พวกเขากลับเข้าใจผิด เห็นผิด คิดผิด พูดผิดทำผิดฯ โดยยึดเอาวิธีการปกครองคือรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง และรูปการปกครอง คือระบบรัฐสภา ว่าเป็นหลักการของระบอบประชาธิปไตย มันเป็นความเข้าใจผิดที่เลวร้ายแย่ที่สุดในโลก ลัทธินี้มันได้ครอบงำทำลายประเทศชาติและประชาชนไทยมายาวนานตลอดระยะเวลาถึง 76 ปีแล้ว
3. กองทัพแห่งชาติ สัมพันธภาพของกองทัพมี 2 ลักษณะ คือ (1) สัมพันธภาพหลักในฐานะเป็นองค์ประกอบแห่งรัฐ (2) สัมพันธภาพรองในฐานะเป็นกลไกรัฐ ทุกวันนี้กองทัพแห่งชาติอ่อนแอ ตกต่ำลงมาก เพราะมีแต่สัมพันธภาพรองคือทำหน้าที่เป็นกลไกรัฐเพียงด้านเดียว และที่ร้ายที่สุดคือตกอยู่ใต้กลไกรัฐเผด็จการ ตกเป็นเครื่องมือของระบอบและผู้นำรัฐบาลเผด็จการระบบรัฐสภา (มาจากการเลือกตั้งของระบอบเผด็จการ) ผู้นำในกองทัพในยุคนี้ จึงอ่อนเปลี้ยเสียขาไปหมดแล้ว ขาดปัญญา ขาดการศึกษา วิเคราะห์ วิจัยให้เข้าใจถ่องแท้ในความเป็นจริงที่ถูกต้อง
แต่ถ้าผู้นำกองทัพท่านใด มีสำนึกและนำกองทัพกลับมาอยู่ในฐานะองค์ประกอบของรัฐ มีข้อยืนยัน คือ ประมุขแห่งรัฐ (Head of State) คือพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประกอบของรัฐ และทรงเป็นจอมทัพไทย กองทัพจึงต้องเป็นองค์ประกอบของรัฐ ถ้าผู้นำกองทัพกลับมาจัดสัมพันภาพของกองทัพให้ถูกต้อง ว่าอะไรเป็นสัมพันธภาพหลัก และอะไรเป็นสัมพันธภาพรอง เมื่อตั้งใจศึกษาย่อมรู้ชัดว่าประเทศไทยแท้จริงแล้วเป็นระบอบเผด็จการที่ซ่อนเร้นดุจปลวกกินบ้านเรือน ส่วนคนขาดปัญญาจะมองไม่เห็นว่า นี่คือเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยตามกฎธรรมชาติ หรือกฎแห่งกรรม หรือ กฎอิทัปปัจจยตา ดังนี้
เพราะอวิชชา คือผู้ปกครองมีความเห็นผิด ย่อมเป็นเหตุให้จัดทำรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ
เพราะรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุรัฐบาลมิจฉาทิฐิ
เพราะรัฐบาลมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุให้กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว บุคคล ถูกครอบงำโดยเหตุคือมิจฉาทิฐิอย่างเป็นไปเอง ครอบงำ ครอบคลุมทุกส่วนทุกองค์กร ที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด
อีกนัยหนึ่ง ระบอบมิจฉาทิฐิ (เหตุ) ย่อมเป็นเหตุให้รัฐบาลมิจฉาทิฐิ (ผล) รัฐบาลมิจฉาทิฐิ (เหตุ) ย่อมเป็นปัจจัยต่อกระทรวงกลาโหม (ผล)
กระทรวงกลาโหม (เหตุ) ย่อมเป็นปัจจัยต่อกองทัพ (ผล)
กองทัพ (เหตุ) เป็นปัจจัยต่อกรม กอง มวลหมู่ทหาร...(ผล)
เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ไม่มีหลักการปกครอง โดยคณะผู้ยกร่างได้สืบทอดลัทธิรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ก็แน่นอนว่า รัฐบาล กองทัพ ทหาร จะยืนอยู่ได้อย่างถูกต้องได้อย่างไรกัน ทุกวันนี้กำลังจับต้นจนปลายไม่ถูก ก็เพราะผู้นำกองทัพขาดปัญญา กองทัพจึงตกอยู่ใต้ระบอบมิจฉาทิฐิ จึงพากันล่มจมล้มเหลวทั้งประเทศ นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้พวกเราผู้รักชาติได้เห็นกันเท่านั้น “นายทหารแท้ผู้เป็นปราชญ์ของกองทัพ ย่อมรู้แจ้งชัดว่า กองทัพไหนๆ ในโลกนี้ทั้งอดีตและปัจจุบันมีชัยชนะ เพราะมีชนะทางการเมืองมาก่อน” นั่นเอง “แต่เมื่อกองทัพอยู่ใต้ระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นกองทัพที่พ่ายแพ้ทุกสมรภูมิ” ระบอบมิจฉาทิฐิ ที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม คือเหตุแห่งความอุบาทว์จัญไรของชาติ
ส่วนมิติอื่นๆ ก็ตกอยู่ในลักษณะกฎเกณฑ์มิจฉาทิฐิอันเดียวกัน เพราะไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้ระบอบเลวเป็นเหตุอยู่ร่ำไป จึงเป็นเหตุปัจจัยให้แผ่กระจายความเลวร้ายมิจฉาทิฐิออกไปครอบงำทุกสิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดนับแต่รัฐบาล กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว บุคคล ดังที่กล่าวแล้ว
ดังนี้แล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ คณะนักปราชญ์ของชาติ และผู้นำกองทัพแห่งชาติ จะต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย จัดการประเทศให้มีระบอบการเมืองที่ถูกต้องเป็นธรรม เป็นธรรมาธิปไตย เจริญรอยตามองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เขียนจักยอมตาย ไม่รู้สึกเสียดายชีวิตแม้แต่น้อย เพื่อยืนยันความถูกต้องโดยธรรมและเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
4. ปัญหาระบอบ (หลักการปกครอง) กับรัฐธรรมนูญ แนวทางถูกต้องควรจะสร้างระบอบ (หลักการปกครอง) อันเป็นกฎหมายสูงสุด (Supreme Law) ของชาติขึ้นมาก่อน โดยมีแก่น หรือรากฐานของชาติเป็นสำคัญ คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยมีธรรมเป็นใหญ่ ว่านี่คือหลักความมั่นคงและยุติธรรมต่อปวงชนภายในชาติ จากนั้นร่างรัฐธรรมนูญ (หมวดและมาตราต่างๆ) อันเป็นกฎหมายหลัก (Principle Law) เพื่อรักษาหลักการหรือระบอบนั้นไว้ แต่ประเทศไทยกลับไปร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย รู้ไว้เถอะว่าเป็นวิธีการที่กลับหัวกลับหาง หรือเอาหัวเดินต่างเท้า และการที่มีแต่วิธีการปกครองเพียงด้านเดียว มันจึงได้กลายเป็นวิธีการการปกครองของรัฐบาล เรียกเป็นศัพท์ทางวิชาการเรียกว่า “ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา”
คำว่าเผด็จการ เพราะไม่มีหลักการเหล่านี้เป็นหลักการปกครองอย่างเป็นรูปธรรม คือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (จุดหมายสูงสุดของทุกศาสนา) (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักดุลยภาพ (7) หลักภราดรภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม เป็นต้น
อีกนัยหนึ่ง ท่านรู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ อำนาจอธิปไตยของปวงชน ได้ตกเป็นของชนส่วนน้อยคือกลุ่มนายทุนบางส่วน และมีรูปการปกครอง (Form of Government) คือระบบรัฐสภา (Parliamentary System) จึงเรียกว่า เผด็จการระบบรัฐสภา
ระบอบ (Regime) เป็นระบอบเผด็จการ พิจารณาได้จาก รัฐธรรมนูญไทย 18 ฉบับ (มิจฉาทิฐิซ้ำซาก) ปรากฏว่าไม่เคยมีหลักการปกครองเลย “จึงเป็นการเขียนตบตาหลอกกันเล่นเท่านั้น” ตามที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงวินิจฉัยและทรงคัดค้านมาแล้ว หรือจะเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาของผู้ปกครองไทย ต่างสืบทอดแนวทางมิจฉาทิฐิมาอย่างยาวนานถึง 76 ปีแล้ว
ผู้มั่นคงในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยปัญญาโดยธรรม ควรทำความเข้าใจให้กระจ่าง เพื่อจะได้นำไปสู่การแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ ทั้งจิตใจแห่งการศึกษา การวิปัสสนาที่เสียสละ อุทิศตน ทุ่มเท เวลา ทุกอิริยาบถ มอบกายถวายชีวิตเพื่อประเทศชาติและปวงชนอย่างแท้จริง จึงจะเข้าใจสภาวการณ์อันแท้จริงของประเทศได้ชัดเจนว่าแท้จริงเราตกอยู่ใต้ระบอบมิจฉาทิฐิ คือทั้งระบอบเผด็จการโดยรัฐประหาร และระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา นี่คือความจริงที่ไม่บิดเบือน ซึ่งไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ที่กล่าวอ้าวกันด้วยความเข้าใจผิดและบิดเบือนตามๆ กันมา
การรุกทางการเมืองเพื่อนำไปสู่ชัยชนะต่อระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ คือการออกมาเรียกร้อง ให้มีการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (ผู้เขียนเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9) อันเป็นรากฐาน เป็นศูนย์กลาง และเป็นเอกภาพของชาติ นี่คือชัยชนะของปวงชนไทยที่แท้จริง
เรามาพิจารณาสภาพการณ์ที่แท้จริงของประเทศเป็นอย่างไร สภาพการณ์ที่แท้จริง คือ การดำรงอยู่การตั้งอยู่ของชาติ ตั้งอยู่บนความสัมพันธภาพแบบเผด็จการมิจฉาทิฐิ มีข้อพิจารณาและยืนยันจากสัมพันธภาพภายในประเทศ ดังต่อไปนี้
1. สถาบันพระพุทธศาสนา มีสัมพันธภาพหลักคือเป็นองค์ประกอบของรัฐ แต่กลับทำให้ตกอยู่ในฐานะกลไกรัฐ ส่วนสัมพันธภาพรอง คือองค์กรสงฆ์ และพระสงฆ์เป็นประชากรของรัฐ สถาบันพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ เป็นผู้นำทางสัจจะ เป็นผู้นำทางจิต มโน วิญญาณ เป็นผู้นำทางปัญญา ในการแก้เหตุวิกฤตบุคคลจนถึงระดับโลกและจักรวาล เมื่อตกอยู่ในฐานะกลไกรัฐเพียงด้านเดียวแล้วจะไปนำทางปัญญาใครได้ พระพุทธศาสนาตกอยู่ในอุ้งมือมาร (ระบอบมิจฉาทิฐิ) การแผ่ธรรมานุภาพย่อมไม่ได้ผล เพราะสัมพันธภาพดังกล่าวเป็นมิจฉาทิฐิ ทั้งๆ ที่เข้าใจอย่างง่ายๆ ว่า จิตเป็นนาย ส่วนกายเป็นบ่าว แต่สถาบันพระพุทธศาสนากลับกลายเป็นบ่าว ส่วนระบอบและรัฐบาลมิจฉาทิฐิกลับกลายไปเป็นนาย...กระทั่งทำให้คณะสงฆ์ไทยสยบยอมต่อระบอบการเมืองมิจฉาทิฐินั้นอย่างเป็นไปเอง ท่านทั้งจึงเห็นปรากฏการณ์ของสังคมไทยที่ไม่พึงพอใจตามที่ปรากฏนั่นแหละ
2. สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประกอบของรัฐ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ ในทางที่ถูกต้องโดยธรรม พระมหากษัตริย์ต้องบัญญัติไว้ในส่วนของหลักการปกครอง อันเป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ แต่ทุกวันนี้ได้บัญญัติไว้เพียงด้านเดียวในส่วนของวิธีการปกครองคือ หมวดและมาตราเท่านั้น แนวคิดนี้ย่อมเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ วันหนึ่ง...จะเป็นฝ่ายไหนก็ตามทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ความเป็นพระมหากษัตริย์หมดลงโดยพลัน แต่ถ้าพระมหากษัตริย์ มีทั้งส่วนที่เป็นหลักการปกครอง (อุปมาเป็นดวงอาทิตย์) และส่วนที่เป็นวิธีการปกครอง (อุปมาดาวเคราะห์) ดังนี้ รัฐธรรมนูญถูกฉีก..ถูกล้มไป สถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะยังมีความมั่นคงต่อไป แต่สภาพการณ์เช่นทุกวันนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมเสี่ยงภัยเสมอในระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ และจะมั่นคงเสมอไปภายใต้หลักการปกครอง หรือระบอบฯ ที่ถูกต้องโดยถือธรรมเป็นใหญ่
เราจะเห็นได้ชัดว่า พรรคการเมือง กลุ่มการเมืองต่างๆ ต่างก็อ้างความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งฝ่ายรัฐบาลก็วางแผนแสดงความจงรักภักดีเป็นข้ออ้าง แต่ความจริงในใจส่วนลึกของคณะรัฐบาลที่พวกเขาคบคิดกันคือหวังจะยุติ หยุดยั้งการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ดูไปแล้ว รัฐบาลกำลังนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือเพื่อเบียดเบียนอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ เขารู้ทันกันทั้งนั้น และก็จะยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง หักร้างทำลายซึ่งกันและกัน..ซ้ำเติมให้รุนแรงหนักขึ้นไปอีก เพราะต่างก็มองปัญหาในมุมของตน ทั้งนี้เพราะไทยเราขาดหลักการปกครอง อันหลักเอกภาพของปวงชนในชาติ นั่นเอง
แต่พวกผู้ปกครอง (พวกลัทธิรัฐธรรมนูญ) พวกเขากลับเข้าใจผิด เห็นผิด คิดผิด พูดผิดทำผิดฯ โดยยึดเอาวิธีการปกครองคือรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง และรูปการปกครอง คือระบบรัฐสภา ว่าเป็นหลักการของระบอบประชาธิปไตย มันเป็นความเข้าใจผิดที่เลวร้ายแย่ที่สุดในโลก ลัทธินี้มันได้ครอบงำทำลายประเทศชาติและประชาชนไทยมายาวนานตลอดระยะเวลาถึง 76 ปีแล้ว
3. กองทัพแห่งชาติ สัมพันธภาพของกองทัพมี 2 ลักษณะ คือ (1) สัมพันธภาพหลักในฐานะเป็นองค์ประกอบแห่งรัฐ (2) สัมพันธภาพรองในฐานะเป็นกลไกรัฐ ทุกวันนี้กองทัพแห่งชาติอ่อนแอ ตกต่ำลงมาก เพราะมีแต่สัมพันธภาพรองคือทำหน้าที่เป็นกลไกรัฐเพียงด้านเดียว และที่ร้ายที่สุดคือตกอยู่ใต้กลไกรัฐเผด็จการ ตกเป็นเครื่องมือของระบอบและผู้นำรัฐบาลเผด็จการระบบรัฐสภา (มาจากการเลือกตั้งของระบอบเผด็จการ) ผู้นำในกองทัพในยุคนี้ จึงอ่อนเปลี้ยเสียขาไปหมดแล้ว ขาดปัญญา ขาดการศึกษา วิเคราะห์ วิจัยให้เข้าใจถ่องแท้ในความเป็นจริงที่ถูกต้อง
แต่ถ้าผู้นำกองทัพท่านใด มีสำนึกและนำกองทัพกลับมาอยู่ในฐานะองค์ประกอบของรัฐ มีข้อยืนยัน คือ ประมุขแห่งรัฐ (Head of State) คือพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประกอบของรัฐ และทรงเป็นจอมทัพไทย กองทัพจึงต้องเป็นองค์ประกอบของรัฐ ถ้าผู้นำกองทัพกลับมาจัดสัมพันภาพของกองทัพให้ถูกต้อง ว่าอะไรเป็นสัมพันธภาพหลัก และอะไรเป็นสัมพันธภาพรอง เมื่อตั้งใจศึกษาย่อมรู้ชัดว่าประเทศไทยแท้จริงแล้วเป็นระบอบเผด็จการที่ซ่อนเร้นดุจปลวกกินบ้านเรือน ส่วนคนขาดปัญญาจะมองไม่เห็นว่า นี่คือเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยตามกฎธรรมชาติ หรือกฎแห่งกรรม หรือ กฎอิทัปปัจจยตา ดังนี้
เพราะอวิชชา คือผู้ปกครองมีความเห็นผิด ย่อมเป็นเหตุให้จัดทำรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ
เพราะรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุรัฐบาลมิจฉาทิฐิ
เพราะรัฐบาลมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุให้กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว บุคคล ถูกครอบงำโดยเหตุคือมิจฉาทิฐิอย่างเป็นไปเอง ครอบงำ ครอบคลุมทุกส่วนทุกองค์กร ที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด
อีกนัยหนึ่ง ระบอบมิจฉาทิฐิ (เหตุ) ย่อมเป็นเหตุให้รัฐบาลมิจฉาทิฐิ (ผล) รัฐบาลมิจฉาทิฐิ (เหตุ) ย่อมเป็นปัจจัยต่อกระทรวงกลาโหม (ผล)
กระทรวงกลาโหม (เหตุ) ย่อมเป็นปัจจัยต่อกองทัพ (ผล)
กองทัพ (เหตุ) เป็นปัจจัยต่อกรม กอง มวลหมู่ทหาร...(ผล)
เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ไม่มีหลักการปกครอง โดยคณะผู้ยกร่างได้สืบทอดลัทธิรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ก็แน่นอนว่า รัฐบาล กองทัพ ทหาร จะยืนอยู่ได้อย่างถูกต้องได้อย่างไรกัน ทุกวันนี้กำลังจับต้นจนปลายไม่ถูก ก็เพราะผู้นำกองทัพขาดปัญญา กองทัพจึงตกอยู่ใต้ระบอบมิจฉาทิฐิ จึงพากันล่มจมล้มเหลวทั้งประเทศ นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้พวกเราผู้รักชาติได้เห็นกันเท่านั้น “นายทหารแท้ผู้เป็นปราชญ์ของกองทัพ ย่อมรู้แจ้งชัดว่า กองทัพไหนๆ ในโลกนี้ทั้งอดีตและปัจจุบันมีชัยชนะ เพราะมีชนะทางการเมืองมาก่อน” นั่นเอง “แต่เมื่อกองทัพอยู่ใต้ระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นกองทัพที่พ่ายแพ้ทุกสมรภูมิ” ระบอบมิจฉาทิฐิ ที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม คือเหตุแห่งความอุบาทว์จัญไรของชาติ
ส่วนมิติอื่นๆ ก็ตกอยู่ในลักษณะกฎเกณฑ์มิจฉาทิฐิอันเดียวกัน เพราะไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้ระบอบเลวเป็นเหตุอยู่ร่ำไป จึงเป็นเหตุปัจจัยให้แผ่กระจายความเลวร้ายมิจฉาทิฐิออกไปครอบงำทุกสิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดนับแต่รัฐบาล กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว บุคคล ดังที่กล่าวแล้ว
ดังนี้แล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ คณะนักปราชญ์ของชาติ และผู้นำกองทัพแห่งชาติ จะต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย จัดการประเทศให้มีระบอบการเมืองที่ถูกต้องเป็นธรรม เป็นธรรมาธิปไตย เจริญรอยตามองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เขียนจักยอมตาย ไม่รู้สึกเสียดายชีวิตแม้แต่น้อย เพื่อยืนยันความถูกต้องโดยธรรมและเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
4. ปัญหาระบอบ (หลักการปกครอง) กับรัฐธรรมนูญ แนวทางถูกต้องควรจะสร้างระบอบ (หลักการปกครอง) อันเป็นกฎหมายสูงสุด (Supreme Law) ของชาติขึ้นมาก่อน โดยมีแก่น หรือรากฐานของชาติเป็นสำคัญ คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยมีธรรมเป็นใหญ่ ว่านี่คือหลักความมั่นคงและยุติธรรมต่อปวงชนภายในชาติ จากนั้นร่างรัฐธรรมนูญ (หมวดและมาตราต่างๆ) อันเป็นกฎหมายหลัก (Principle Law) เพื่อรักษาหลักการหรือระบอบนั้นไว้ แต่ประเทศไทยกลับไปร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย รู้ไว้เถอะว่าเป็นวิธีการที่กลับหัวกลับหาง หรือเอาหัวเดินต่างเท้า และการที่มีแต่วิธีการปกครองเพียงด้านเดียว มันจึงได้กลายเป็นวิธีการการปกครองของรัฐบาล เรียกเป็นศัพท์ทางวิชาการเรียกว่า “ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา”
คำว่าเผด็จการ เพราะไม่มีหลักการเหล่านี้เป็นหลักการปกครองอย่างเป็นรูปธรรม คือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (จุดหมายสูงสุดของทุกศาสนา) (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักดุลยภาพ (7) หลักภราดรภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม เป็นต้น
อีกนัยหนึ่ง ท่านรู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ อำนาจอธิปไตยของปวงชน ได้ตกเป็นของชนส่วนน้อยคือกลุ่มนายทุนบางส่วน และมีรูปการปกครอง (Form of Government) คือระบบรัฐสภา (Parliamentary System) จึงเรียกว่า เผด็จการระบบรัฐสภา
ระบอบ (Regime) เป็นระบอบเผด็จการ พิจารณาได้จาก รัฐธรรมนูญไทย 18 ฉบับ (มิจฉาทิฐิซ้ำซาก) ปรากฏว่าไม่เคยมีหลักการปกครองเลย “จึงเป็นการเขียนตบตาหลอกกันเล่นเท่านั้น” ตามที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงวินิจฉัยและทรงคัดค้านมาแล้ว หรือจะเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาของผู้ปกครองไทย ต่างสืบทอดแนวทางมิจฉาทิฐิมาอย่างยาวนานถึง 76 ปีแล้ว
ผู้มั่นคงในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยปัญญาโดยธรรม ควรทำความเข้าใจให้กระจ่าง เพื่อจะได้นำไปสู่การแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ ทั้งจิตใจแห่งการศึกษา การวิปัสสนาที่เสียสละ อุทิศตน ทุ่มเท เวลา ทุกอิริยาบถ มอบกายถวายชีวิตเพื่อประเทศชาติและปวงชนอย่างแท้จริง จึงจะเข้าใจสภาวการณ์อันแท้จริงของประเทศได้ชัดเจนว่าแท้จริงเราตกอยู่ใต้ระบอบมิจฉาทิฐิ คือทั้งระบอบเผด็จการโดยรัฐประหาร และระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา นี่คือความจริงที่ไม่บิดเบือน ซึ่งไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ที่กล่าวอ้าวกันด้วยความเข้าใจผิดและบิดเบือนตามๆ กันมา
การรุกทางการเมืองเพื่อนำไปสู่ชัยชนะต่อระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ คือการออกมาเรียกร้อง ให้มีการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (ผู้เขียนเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9) อันเป็นรากฐาน เป็นศูนย์กลาง และเป็นเอกภาพของชาติ นี่คือชัยชนะของปวงชนไทยที่แท้จริง