“สนธิ” ย้ำหมดยุคของการเมืองผูกขาด และจะปล่อยให้การบริหารแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ยกความอุตสาหะของ “พระมหาชนก” ที่ทรงไม่ย่อท้อมาเปรียบเทียบการต่อสู้ครั้งนี้ว่าใกล้ถึงฝั่งแล้ว ยืนยัน 5 แกนนำฯ ไม่ได้หวังประโยชน์อะไร ถ้าบ้านเมืองสงบทุกคนก็จะหายไปกับสายลม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัย
วันนี้ (27 ก.ย.) เมื่อเวลา 21.15 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวบนเวทีที่ทำเนียบรัฐบาลว่า การพัฒนาการชุมนุมของพันธมิตรฯ เริ่มจากการไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมรับพรรคพลังประชาชนที่โกงการเลือกตั้ง และคณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งให้ยุบพรรคไปแล้ว และล่าสุดกำลังจะจบลงที่รอยต่อประวัติศาสตร์การเมืองใหม่
นายสนธิ กล่าวว่า ถ้าการต่อสู้ครั้งนี้สามารถพลิกการเมือง เกิดการเปลี่ยนแปลงให้อยู่ดีกินดี มีการเทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อให้ชุมนุมอีก 1 ปีก็จะอยู่ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เป็นการกู้ชาติที่ไม่ได้น้อยไปกว่าการกู้ชาติในอดีต ถ้าเทียนกับตอนพระเจ้าตากกู้ชาติ มือตบก็คือ หอก ดาบ ธนู และพวกเราก็เป็นทหารหาญของชาติที่ต่อสู้เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันเกษัตริย์
“การกู้ชาติในสมัยก่อนและปัจจุบันก็เหมือนกัน ถ้าพวกเราไม่ออกมาสู้ ป่านนี้ชาติก็ล่มจม และราชบัลลังก์ก็ถูกย่ำยีไปแล้ว ซึ่งจะว่าไปการกระทำในวันนี้ถือเป็นยุคเริ่มต้นของยุคพระศรีอาริย์” นายสนธิ ระบุ และว่าการเมืองใหม่จะมีความเสมอภาค ไม่มีการคอร์รัปชัน มีการคืนพระราชอำนาจแด่พระเจ้าอยู่หัว ทั้งในเรื่องของการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช การแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพไทย ขณะที่ นักการเมืองต้องเสียสละ หมดยุคของการผูกขาด ซึ่งประเทศชาติจะปล่อยให้มีการบริหารแบบนี้ต่อไปไม่ได้
“เปรียบพระมหาชนกว่ายน้ำไปเรื่อย แต่เราต้องไม่ท้อ ไม่เหนื่อย เพราะจะถึงฝั่งอยู่แล้ว การเมืองเก่าที่ฝังรากลึก จะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ของง่าย แต่การชุมนุมมากว่า 100 วันได้สั่นคลอนจนใกล้พังแล้ว ครั้งนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่เราสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งมันคุ้มค่า” นายสนธิ ระบุ และว่า การต่อสู้ครั้งนี้เราชนะแน่เพราะเราเอาธรรมนำหน้า เพราะไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าธรรม
นายสนธิ ย้ำว่า แกนนำฯ ทั้ง 5 คนไม่ได้หวังอะไร เมื่อบ้านเมืองสงบพวกเราก็จะหายไปกับสายลม และเดินตามถนนอย่างคนธรรมดา ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน