ผมอยากกราบเรียนพี่น้องประชาชน ปัจจุบันนี้มีหลายฝ่ายพยายามเรียกร้องว่า รัฐบาลควรจะยุบสภาหรือนายกฯ ควรจะลาออกจากตำแหน่ง ขอกราบเรียนว่า ผมไม่ได้ติดยึดต่อตำแหน่งหน้าที่ใดๆ ทั้งสิ้น หากการกระทำเช่นนั้นสามารถแก้ปัญหาได้...
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีที่เป็นยิ่งกว่าหุ่น บอกกล่าวประชาชนระหว่างออกรายการสดโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2551
ฟังดูเหมือนเขาไม่มีความทะเยอทะยานอยาก เป็นคนมักน้อยก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากนายสมัคร สุนทรเวช เพราะไม่มีทางเลือกอย่างอื่น เพราะเสียงข้างมากของพรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาลบีบให้ต้องรับภาระอันหนักอึ้งดังกล่าวนี้
แต่ถ้าหากใครทราบว่า แผนการที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขามีมาตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง หลังจากได้เห็นท่าทีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่น บอกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนพ้นตำแหน่ง (ตามวาระ) 3 เดือน และว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 และถึงแก้ไขก็ไม่เป็นประโยชน์กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีมาตั้งแต่ครั้งโน้นแล้ว
ถึงขนาดเดินทางไปปรึกษาพระเถระที่มีความรู้ทางโหราศาสตร์แถววัดยานนาวา ขอคำแนะนำว่าจะก้าวไปให้ถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะต้องทำพิธีรีตองอันใดบ้าง ได้เป็นแล้วจะอยู่ให้ได้นานที่สุดจะต้องทำอย่างไรบ้าง
หรือต้องนุ่งขาวห่มขาวไปทำพิธีที่นครศรีธรรมราช ให้ทหารเรือยิงสลุตให้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นั่นก็มิใช่พิธีกรรมอันจะทำให้ตัวได้ก้าวสู่ตำแหน่งสำคัญนี่ดอกหรือ?
คนเราลองพยายามดิ้นรนที่จะเห็นให้ได้ แล้วมาบอกชาวบ้านว่าไม่ได้ติดยึดในตำแหน่ง ใครเขาจะเชื่อ
ถ้าหากไม่อยากเป็น ไม่อยากมี อยากได้ ก็ต้องรู้อยู่ว่า เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 รัฐบาลที่ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะไร้เสถียรภาพ
มิใช่เพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคัดค้านอย่างแข็งขันมาตั้งแต่ 25 พฤษภาคม 2551
หากแต่เพราะพรรคที่รวมกันเป็นรัฐบาล 3 พรรค มีกรณีที่จะต้องยุบพรรค และกรรมการบริหารพรรคจะต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เพราะกรรมการบริหารพรรคทั้ง 3 ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะตุลาการเก่า ย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเองดีว่า อนาคตทางการเมืองของตนริบหรี่ลงทุกทีๆ แล้ว แม้จะสว่างวาบในช่วงเป็นนายกรัฐมนตรีก็เป็นระยะสั้นๆ ไม่เพียงพอที่จะช่วยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นพี่เมียของตัว และครอบครัวได้
แต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็เลือกที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นจนได้
จากวันที่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงวันที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยื่นหน้าออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยังไม่รู้อีกหรือว่า การนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของตนนั้น ขาดความสง่างามแค่ไหน อย่างไร แล้วยังจะมีหน้ามาบอกประชาชนอีกหรือว่า ไม่ได้ติดยึดต่อตำแหน่งหน้าที่ใดๆ ทั้งสิ้น
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลองใคร่ครวญดู
1. มีนายกรัฐมนตรีคนใดบ้าง เมื่อกลับสู่ภูมิลำเนามีประชาชนมาตะโกนด่าว่าขายชาติ, นอมินี, ลาออกไปเสีย ฯลฯ
2. มีนายกรัฐมนตรีคนใดบ้าง เมื่อรับตำแหน่งยังไม่ทันได้แถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรเลย ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็มีเสียงก่นด่าสาปแช่ง
3. มีนายกรัฐมนตรีคนไหนยังไม่ทันที่จะได้บริหารประเทศ ก็มีวุฒิสภาร้องเรียนว่า ขาดคุณสมบัติเพราะถือหุ้นในบริษัทที่มีสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
4. มีนายกรัฐมนตรีคนไหนบ้างที่ปรากฏในคำให้การของพยานคนหนึ่งในคดีให้การว่า ภริยาของเขา (นายกรัฐมนตรี) วิ่งเต้นศาลเพื่อให้พี่ชายของเธอซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีหลุดพ้นคดีซุกหุ้น
ซ้ำนายกรัฐมนตรีคนนี้เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน ความรู้สึกผิด รู้สึกอับอายขายหน้า ไม่มีเลยสักน้อยนิดเลยหรือ?
5. มีนายกรัฐมนตรีคนไหน แถลงนโยบายก่อนเข้าบริหารประเทศด้วยวิธีการที่ทุลักทุเลอย่างที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทำ
ยังเบิกทางเพื่อจะได้เข้าห้องประชุมแถลงนโยบายโดยไม่มีฝ่ายค้านอยู่ร่วมประชุม แถลงเสร็จให้เฮลิคอปเตอร์มารับหนีออกจากรัฐสภา
มีประชาชนตายไปแล้ว 2 ศพ มีผู้บาดเจ็บแขนขาด ขาขาดอีกจำนวนมาก บาดเจ็บไม่ถึงกับสาหัสอีก 300-400 คน
อย่าว่าแต่รัฐบาลที่ดูแล้วคล้ายสัตว์นรกอย่างที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีหุ่นยอมรับเอง ยังไม่กล้าทำเลย
นี่มาจากอเวจีขุมไหนถึงได้ใจร้ายใจดำกับประชาชน ภายใต้การปกครองของตนได้ขนาดนั้น
แล้วยังลอยหน้าลอยตาพูดเฉยเลยว่า เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดาของการสลายฝูงชน หลักสากลเขาทำกันอย่างนี้
ถ้าหลักสากลเขาทำกันอย่างนี้ ถ้านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาซึ่งที่ไหนในโลกเขาทำกันแล้ว จะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด 3 ชุด เพื่อที่จะสอบสวนหาข้อเท็จจริงกันทำไม
ก็ยอมรับเสียซิว่า เป็นคนสั่งการให้ตำรวจเคลียร์พื้นที่ด้วยกรรมวิธีเช่นนี้เอง เพราะนี่คือวิธีที่สากลเขาปฏิบัติ
คือการตั้งแถวตำรวจเข้าเผชิญหน้าประชาชน แล้วก็ยิงแก๊สน้ำตาตูมๆ เข้าไปตรงๆ อย่างที่ทำกันเมื่อเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เรื่อยไปจนถึงค่ำคืน แม้ผู้ชุมนุมจะเดินกลับมาทำเนียบรัฐบาลแล้ว
เป็นลูกผู้ชายพอที่จะยอมรับว่าออกคำสั่ง และปฏิบัติการอันเป็นสากลนี่หรือเปล่าเล่า
นายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือด นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เอ่ย ไม่ต้องลาออก ไม่ต้องยุบสภาฯ หน้าด้านๆ อยู่ไปอย่างนี้แหละ เพราะประชาชนมีกรรมวิธีอย่างอื่นที่จะจัดการเอง
ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะพิจารณาการยุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
สำหรับพรรคพลังประชาชนต่อให้อัยการใช้ความหน้าด้านยืดเวลาอย่างไร ก็หมดเวลาแล้ว (ถ้าไม่หน้าด้านยืดเวลาก็ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญนานแล้ว เพราะคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสินไปแล้ว อัยการจะต้องมาเสียเวลาพิจารณาอะไรกันอีก) ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาอยู่ดี
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยังคิดว่าจะหนีพ้นกรงเล็บของฟ้านี้อีกหรือ
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีที่เป็นยิ่งกว่าหุ่น บอกกล่าวประชาชนระหว่างออกรายการสดโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2551
ฟังดูเหมือนเขาไม่มีความทะเยอทะยานอยาก เป็นคนมักน้อยก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากนายสมัคร สุนทรเวช เพราะไม่มีทางเลือกอย่างอื่น เพราะเสียงข้างมากของพรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาลบีบให้ต้องรับภาระอันหนักอึ้งดังกล่าวนี้
แต่ถ้าหากใครทราบว่า แผนการที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขามีมาตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง หลังจากได้เห็นท่าทีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่น บอกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนพ้นตำแหน่ง (ตามวาระ) 3 เดือน และว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 และถึงแก้ไขก็ไม่เป็นประโยชน์กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีมาตั้งแต่ครั้งโน้นแล้ว
ถึงขนาดเดินทางไปปรึกษาพระเถระที่มีความรู้ทางโหราศาสตร์แถววัดยานนาวา ขอคำแนะนำว่าจะก้าวไปให้ถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะต้องทำพิธีรีตองอันใดบ้าง ได้เป็นแล้วจะอยู่ให้ได้นานที่สุดจะต้องทำอย่างไรบ้าง
หรือต้องนุ่งขาวห่มขาวไปทำพิธีที่นครศรีธรรมราช ให้ทหารเรือยิงสลุตให้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นั่นก็มิใช่พิธีกรรมอันจะทำให้ตัวได้ก้าวสู่ตำแหน่งสำคัญนี่ดอกหรือ?
คนเราลองพยายามดิ้นรนที่จะเห็นให้ได้ แล้วมาบอกชาวบ้านว่าไม่ได้ติดยึดในตำแหน่ง ใครเขาจะเชื่อ
ถ้าหากไม่อยากเป็น ไม่อยากมี อยากได้ ก็ต้องรู้อยู่ว่า เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 รัฐบาลที่ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะไร้เสถียรภาพ
มิใช่เพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคัดค้านอย่างแข็งขันมาตั้งแต่ 25 พฤษภาคม 2551
หากแต่เพราะพรรคที่รวมกันเป็นรัฐบาล 3 พรรค มีกรณีที่จะต้องยุบพรรค และกรรมการบริหารพรรคจะต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เพราะกรรมการบริหารพรรคทั้ง 3 ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะตุลาการเก่า ย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเองดีว่า อนาคตทางการเมืองของตนริบหรี่ลงทุกทีๆ แล้ว แม้จะสว่างวาบในช่วงเป็นนายกรัฐมนตรีก็เป็นระยะสั้นๆ ไม่เพียงพอที่จะช่วยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นพี่เมียของตัว และครอบครัวได้
แต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็เลือกที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นจนได้
จากวันที่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงวันที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยื่นหน้าออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยังไม่รู้อีกหรือว่า การนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของตนนั้น ขาดความสง่างามแค่ไหน อย่างไร แล้วยังจะมีหน้ามาบอกประชาชนอีกหรือว่า ไม่ได้ติดยึดต่อตำแหน่งหน้าที่ใดๆ ทั้งสิ้น
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลองใคร่ครวญดู
1. มีนายกรัฐมนตรีคนใดบ้าง เมื่อกลับสู่ภูมิลำเนามีประชาชนมาตะโกนด่าว่าขายชาติ, นอมินี, ลาออกไปเสีย ฯลฯ
2. มีนายกรัฐมนตรีคนใดบ้าง เมื่อรับตำแหน่งยังไม่ทันได้แถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรเลย ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็มีเสียงก่นด่าสาปแช่ง
3. มีนายกรัฐมนตรีคนไหนยังไม่ทันที่จะได้บริหารประเทศ ก็มีวุฒิสภาร้องเรียนว่า ขาดคุณสมบัติเพราะถือหุ้นในบริษัทที่มีสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
4. มีนายกรัฐมนตรีคนไหนบ้างที่ปรากฏในคำให้การของพยานคนหนึ่งในคดีให้การว่า ภริยาของเขา (นายกรัฐมนตรี) วิ่งเต้นศาลเพื่อให้พี่ชายของเธอซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีหลุดพ้นคดีซุกหุ้น
ซ้ำนายกรัฐมนตรีคนนี้เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน ความรู้สึกผิด รู้สึกอับอายขายหน้า ไม่มีเลยสักน้อยนิดเลยหรือ?
5. มีนายกรัฐมนตรีคนไหน แถลงนโยบายก่อนเข้าบริหารประเทศด้วยวิธีการที่ทุลักทุเลอย่างที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทำ
ยังเบิกทางเพื่อจะได้เข้าห้องประชุมแถลงนโยบายโดยไม่มีฝ่ายค้านอยู่ร่วมประชุม แถลงเสร็จให้เฮลิคอปเตอร์มารับหนีออกจากรัฐสภา
มีประชาชนตายไปแล้ว 2 ศพ มีผู้บาดเจ็บแขนขาด ขาขาดอีกจำนวนมาก บาดเจ็บไม่ถึงกับสาหัสอีก 300-400 คน
อย่าว่าแต่รัฐบาลที่ดูแล้วคล้ายสัตว์นรกอย่างที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีหุ่นยอมรับเอง ยังไม่กล้าทำเลย
นี่มาจากอเวจีขุมไหนถึงได้ใจร้ายใจดำกับประชาชน ภายใต้การปกครองของตนได้ขนาดนั้น
แล้วยังลอยหน้าลอยตาพูดเฉยเลยว่า เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดาของการสลายฝูงชน หลักสากลเขาทำกันอย่างนี้
ถ้าหลักสากลเขาทำกันอย่างนี้ ถ้านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาซึ่งที่ไหนในโลกเขาทำกันแล้ว จะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด 3 ชุด เพื่อที่จะสอบสวนหาข้อเท็จจริงกันทำไม
ก็ยอมรับเสียซิว่า เป็นคนสั่งการให้ตำรวจเคลียร์พื้นที่ด้วยกรรมวิธีเช่นนี้เอง เพราะนี่คือวิธีที่สากลเขาปฏิบัติ
คือการตั้งแถวตำรวจเข้าเผชิญหน้าประชาชน แล้วก็ยิงแก๊สน้ำตาตูมๆ เข้าไปตรงๆ อย่างที่ทำกันเมื่อเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เรื่อยไปจนถึงค่ำคืน แม้ผู้ชุมนุมจะเดินกลับมาทำเนียบรัฐบาลแล้ว
เป็นลูกผู้ชายพอที่จะยอมรับว่าออกคำสั่ง และปฏิบัติการอันเป็นสากลนี่หรือเปล่าเล่า
นายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือด นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เอ่ย ไม่ต้องลาออก ไม่ต้องยุบสภาฯ หน้าด้านๆ อยู่ไปอย่างนี้แหละ เพราะประชาชนมีกรรมวิธีอย่างอื่นที่จะจัดการเอง
ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะพิจารณาการยุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
สำหรับพรรคพลังประชาชนต่อให้อัยการใช้ความหน้าด้านยืดเวลาอย่างไร ก็หมดเวลาแล้ว (ถ้าไม่หน้าด้านยืดเวลาก็ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญนานแล้ว เพราะคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสินไปแล้ว อัยการจะต้องมาเสียเวลาพิจารณาอะไรกันอีก) ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาอยู่ดี
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยังคิดว่าจะหนีพ้นกรงเล็บของฟ้านี้อีกหรือ