นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่าการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต่านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.) คิดว่าเป็นท่าทีและความคิดของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ยังคงเหมือนเดิมที่ยังคงจะใช้อำนาจรัฐในการสลายการชุมนุม เป็นซากเดนที่หลงเหลือจากยุคของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่แสดงธาตุแท้อยากจะให้เกิดสงครามระหว่างประชาชน เอาคนของตัวเองมาชนกับพันธมิตรฯ ถือเป็นแผนเดิมในยุคของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตอนนั้นโชคดีที่สังคมพยายามกดดันไม่ให้เกิดเหตุ
นายสาทิตย์ กล่าวว่า การรวมพลของ นปช.ตนเห็นว่ามีความคึกคักเกิดขึ้น นอกจากนี้ การส่งพล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ มาร่วมด้วย ถือว่า น่าเป็นห่วงมาก เพราะเคยเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวนำมวลชนในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ขณะนี้ผู้ที่เคยอยู่ในยุคนั้นก็ยังอยู่กันครบทุกคน ซึ่งอาจได้รับคำสั่งมาจากลอนดอนก็เป็นได้ ทั้งนี้ คนเป็นเรื่องยากที่จะห้ามไม่ให้ทำ
อย่างไรก็ตาม การที่ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นเพราะเลือดเข้าตา เพื่อดิ้นครั้งสุดท้าย ตนคิดว่าคนเหล่านี้ไม่ได้คิดถึงประเทศ หรือคิดถึงประชาชน แต่คิดถึงนายใหญ่เพียงอย่างเดียว เหตุการณ์ขณะนี้เปราะบาง และสุ่มเสี่ยง ซึ่งอาจเกิดเหตุได้ตลอดเวลา
ระบุงดประชุมสภายื้อกม.องค์กรอิสระ
นายสาทิตย์ ยังการงดประชุมสภาฯตามคำสั่งของประธานสภาฯ กระทบต่อการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะก่อนหน้านี้มีการบรรจุวาระสำคัญในการประชุมตั้งแต่ก่อนวันแถลงนโยบายรัฐบาล โดยที่ประชุมรัฐสภาจะพิจารณา เรื่องการตกลงร่วมกันในกำลังทหารของประเทศไทย และประเทศกัมพูชา บริเวณเขตชายแดนปราสาทพระวิหาร ตามมาตรา 190 ซึ่งจะพิจารณาเรื่องนี้หลังจากที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายแล้ว โดยเป็นเรื่องของข้อตกลงในการกำหนดกองกำลังทหารที่พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผบ.สส. ได้เคยไปตกลงไว้
ส่วนการประชุมของสภาฯ นั้นก็มีกฎหมายหลายฉบับค้างอยู่ โดยเฉพาะกฎหมายขององค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งต้องเป็นไปตามเงื่อน เวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องเสร็จภายในกี่วัน อีกทั้ง อาจจะส่งผล ต่อการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระที่จะขาดเครื่องมือในการปฏิบัติงานได้ นอกจากนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อการประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ด้วย เพราะอาจจะมีความลังเลของกมธ.แต่ละชุดว่าจะมีการประชุมดีหรือไม่
ชี้บริหารปท.ไม่ได้ก็ต้องยุบสภา
นายสาทิตย์ กล่าวว่า ในอดีตเมื่อเกิดปัญหาในฝ่ายบริหารมักจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่วิกฤติครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ผลจากการกระทำของฝ่ายบริหารส่งผลกระทบต่อฝ่ายนิติบัญญัติโดยตรง เนื่องจากรัฐบาลดึงดันที่จะแถลงนโยบายให้ได้ ทั้งนี้ ตนยังข้องใจกับเหตุผลที่มีการสั่งงดประชุม จะอ้างปัญหาสถานการณ์บ้านเมืองก็ไม่คิดว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะการประชุมของ ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นเรื่องที่ต้องกระทำตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ จำเป็นต้อง ดำเนินการ จึงไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงว่าสั่งงดประชุมเพราะอะไร
อย่างไรก็ตาม ในมิติของการเมืองการที่ฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นเสียงข้างมากคือ พรรคพลังประชาชนไม่สามารถจบริหารงานได้ รัฐบาลจึงต้องตัดสินใจด้วยการยุบสภา เป็นทางออกที่จะทำได้ ไม่อย่างนั้นฝ่ายนิติบัญญัติก็จะค้างคา ไม่สามารถทำงานได้ การที่รัฐบาลรีรอ ถูลู่ถูกังก็ไม่มีผลดีทั้งกับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเอง ดังนั้น ตนอยากให้รัฐบาลรีบตัดสินใจเรื่องจะได้จบๆ กันไป
เร่งตรวจสอบองค์ประชุมไม่ครบ
นายสาทิตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคได้ตรวจสอบองค์ประชุมร่วมรัฐสภา การแถลงนโยบายของรัฐบาล ในวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ กำลังตรวจสอบใน 2 ประเด็นคือ ประเด็นแรกพรรคกำลังทำการเทียบเคียงการนับองค์ประชุมครั้งที่ 1 และ2 ว่ามีข้อมูลที่ตรงกันหรือไม่ ประเด็นต่อมาคือ มีข้อมูลยืนยันว่าผู้ที่มาเซ็นต์ชื่อ เข้าห้องประชุม เมื่อมาเซ็นต์แล้วก็เดินทางออกไป แต่เมื่อถึงเวลาในการกดบัตรแสดงตนกลับมีชื่อปรากฎอยู่ ได้มีการกดบัตรแทนกันหรือไม่ ซึ่งในเชิงกฎหมาย ตอนกดบัตรแสดงตนครั้งแรก เป็นการขออนุมัติจากที่ประชุมให้มีการแถลงนโยบาย ของรัฐบาล ซึ่งเสียงต้องเกินกึ่งหนึ่ง แต่ที่ออกมาครั้งแรกได้เสียงเพียงแค่ 307 เสียง ซึ่งเรากำลังตรวจสอบว่าจะถือว่าองค์ประชุมล่มไปแล้วหรือไม่
สั่งฆ่าคนตายแล้วไม่สำนึก
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พฤติกรรมนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตี ได้ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองอยู่บนจุดที่มีความเสี่ยงยิ่ง ต่อความรุนแรง และเสี่ยงต่อการที่ระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจะสะดุดหรือถูกทำลายลง สภาวะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะนายสมชาย ปฏิเสธความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ การใช้ความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 ต.ค. โดยปราศจากความละอายใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าในวันนี้ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันนิติเวช ได้ยืนยันในเบื้องต้นแล้ว ว่าการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ หรือความพิการ แขนขาขาด ของกลุ่มผู้ชุมนุม เกิดขึ้นจากการยิงระเบิดแก๊สน้ำตา โดยจงใจหวังผลจากแรงระเบิด และเปลวไฟ มิใช่จากควันแก๊สน้ำตา
จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.จนถึงวันนี้ ยังไม่เคยได้ยิน คำว่าเสียใจ หรือคำขอโทษจากปากของนายสมชายเลยแม้แต่น้อยที่จะบ่งบอกถึง ความสำนึก และรับผิดชอบ แม้ว่าจะยอมรับในเบื้องต้นว่า แก๊สน้ำตาที่ผลิตจาก เมืองจีนนั้นมีแรงระเบิดที่มีอนุภาพสูงทำให้บุคคลถึงแก่ชีวิตได้ ตามที่มีการเขียน คำเตือนอยู่ข้างกระสุนระเบิด แต่จนถึงวันนี้นายสมชาย และตำรวจก็ยังไม่ยอมรับว่า แก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้ในวันนั้นทำให้คนตายได้ และคำพูดที่ได้ยินจากนายกรัฐมนตรีบอกว่า วันนี้ไม่ควรมากล่าวโทษ อยากให้เรื่องนี้จบ ผมอยากให้นายสมชาย ไปพูดกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ พิการ
ซัดสมชายตีสองหน้า
นพ.บุรณัชย์ กล่าวอีกว่า นอกจากจะยังไม่ได้ยินคำว่าขอโทษจากนายสมชาย แล้ว ที่หนักไปกว่านั้น คือ การที่นายสมชาย ยังคงยึดแนวยุทธศาสตร์ ตี 2 หน้า อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงครั้งใหญ่อีกครั้ง ได้แก่ 1. การเตรียมการ ปลุกระดมกลุ่ม นปช.เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา อันจะนำไปสู่การชุมนุมใหญ่ ที่ท้องสนามหลวงนั้น นายสมชายได้ตี 2 หน้า โดยการออกข่าวว่า ขอให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกรัฐบาล ไม่ข้องเกี่ยวกับการชุมนุมของนปช.ทั้งที่นายณัฐวุฒิ สถานภาพของวันนี้คือโฆษกรัฐบาล เป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกฯ โดยตรง แต่นายสมชาย กลับอนุญาตให้นายณัฐวุฒิ จัดการชุมนุมใหญ่และปลุกระดม นปช. และได้มีส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้เข้าร่วมขึ้นเวที นปช.อย่างชัดเจน มีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และที่ไม่บังควรอย่างยิ่งคือ มีบุคคลอย่างน้อย 2 คนที่ต้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กลับใช้เวที นปช.เมื่อวันที่ 11 ต.ค.และอาจมีแนวโน้มใช้เวทีที่สนามหลวงในคืนนี้ด้วย ซึ่งต้องถือว่าเวทีนี้รัฐบาล โดยนายสมชายเป็นผู้จัด เพราะผู้ที่ประสานงานการจัดตั้งเวที นปช.คือโฆษกรัฐบาล
ส่วนการเดินหน้าตี 2 หน้าของนายสมชาย เรื่องที่ 2 คือการที่นายสมชาย พยายามพูดว่า ในการที่ทำให้เรื่องจบลงนั้น ตัวเองอาจยินดีอาจจะยุบสภา หลังจากมีกระบวนการส.ส.ร.3 ขอเรียนว่า ในการประชุม 4 ฝ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์ สลายการชุมนุมนั้น นายสมชายได้รับปากกับผู้นำฝ่ายค้านว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องเริ่มต้นด้วยความเห็นชอบจากทุกฝ่าย วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ ถือว่า นายสมชายได้โกหกต่อที่ประชุมในวันนั้น เพราะว่าหลังจากนั้น ก็ให้คนของรัฐบาล ออกมาพูดว่า จะเดินหน้าแม้ว่าจะไม่มีฝ่ายค้าน จะเห็นว่าทั้งหมดนี้ ต้องการที่จะถ่วง และซื้อเวลา ในการที่จะคงอยู่ในอำนาจต่อไป
และสุดท้าย การตีบท 2 หน้าเรื่องที่ 3 กรณีนายสมชายอ้างว่า ไม่ได้รับรู้กรณีที่ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ทำการซ่องสุม อาวุธ ที่จะใช้ กระทำการบุกยึดคืนทำเนียบญ เรื่องนี้เกิดขึ้นในสถานที่ราชการ เกิดขึ้นท่ากลาง การเข้าร่วมของราชการที่ยังไมได้เกษียณ อายุด้วยแต่แนวทางที่พล.อ.สร้างพูดถึงนั้น อยู่นอกอำนาจของรัฐ
อยากถามว่า การเตรียมการของพล.ต.อ.สล้างนั้น จะมีการผูกโยงต่อการ ชุมนุมใหญ่ของ นปช.ในคืนนี้หรือไม่ หากมีการใช้แนวทางการรบนอกรูปแบบ ตามที่กลุ่มคนเหล่านี้มีความช่ำชอง และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้ว อยากถามว่า บทบาทของนายสมชาย และกลุ่มคนในคืนนี้ในฐานะวิสามัญฆาตรกร จะรับผิดชอบอย่างไร หาก การชุมนุมครั้งนี้รรุกลามบานปลายเป็นสงครามการเมือง
ปลุกต่อมสำนึกพรรคร่วมถอนตัว
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถนำพาบ้านเมืองออกจากวิกฤติได้ แต่กลับไม่มีท่าทีใดๆ คือพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย ที่ควรบอกกับสังคมว่าคิดอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่นี่ปิดปากเงียบ เฝ้าแต่จะร่วมบริหารบ้านเมืองหาประโยชน์จากงบประมาณ ไว้ใช้เป็นกระสุนสำหรับการเลือกตั้งใหม่ หากพลิกไปดูประวัติศาสตร์บุคคลพวกนี้ทั้งหมดเคยร่วมอยู่ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เคยร่วมสนับสนุนพล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี มาถึงวันนี้ก็ยังอยู่ร่วมรัฐบาลนายสมชาย ไม่รู้ว่าคาวเลือดตอนพฤษภาทมิฬหายไปหรือยัง
วันนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังทำตัวเป็นพาสเนอร์ค้ำยันให้นายสมชาย เพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อไป แต่ขอเตือนว่าถ้าไม่อยากให้บ้านเมืองบอบช้ำไปมากกว่านี้ ก็ควรถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เพราะลำพังพรรคพลังประชาชนเพียงพรรคเดียว ไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ ตรงนี้จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ไม่ใช่ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน แบบนี้เพราะ ผบ.ทบ.ก็พูดชัดเจนที่สุดแล้วว่า รัฐบาลควรรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เฉ่งเติ้งยังประกาศเดินหน้าแก้รธน.
นายเทพไท กล่าวว่า ที่สำคัญคือนายบรรหาร ศิลปะอาชา และลูกพรรชาติไทย กลับมีท่าทีชัดเจนว่าจะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญก่อนยุบสภา ซึ่งวิกฤติขนาดนี้ประเทศชาติรอให้ถึงตอนนั้นไม่ได้แล้ว วันนี้เกิดความแตกแยกไปทุกหย่อมหญ้า การที่ นายบรรหาร ไปราชการที่ จ.กำแพงเพชร แล้วโดนโห่ไล่กลับตั้งคำถามว่าคนเหล่านั้นพรรคการเมืองไหนจัดมาทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง แต่เป็น กลุ่มพันธมิตรฯ ที่ไม่พอใจกับบทบาทท่าทีของนายบรรหารเอง ดังนั้นถ้าจะสร้างอานิสงฆ์ให้กับประเทศท่านควรจะทบทวนตัวเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่าผบ.ทบ.ก็ออกมาพูดชัดเจนแต่นายกรัฐมนตรีก็ยังเดินหน้า ไม่ยุบสภา ไม่ลาออก นายเทพไท กล่าวว่า ทางพรรคพลังประชาชนคงวิเคราะห์แล้วว่า ทหารไม่กล้าทำรัฐประหารคนเหล่านี้จึงย่ามใจ เพราะถ้าไม่มีรัฐประหารก็ไม่มีใคร ล้มพวกเขาได้ จึงเดินหน้าสร้างการเผชิญหน้ากับกลุ่มต่างๆ ซึ่งนับวันปัญหาได้ขยายตัวไปทุกจังหวัด ก็ไม้รู้ว่าจะทู่ซี้อยู่ได้อย่างไร ในเมื่อคนต่างจังหวัดไม่ให้การยอมรับพอลงไปราชการก็ถูกขับไล่ ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าจะบริหารราชการอยู่แต่ใน สนามบินดอนเมืองเท่านั้นหรือส่วนกรณีที่มีคนของรัฐบาลเข้าไปมีส่วนร่วมกับการชุมนุมของ นปช.นั้น ตนมองว่าคงเป็นการวัดกำลังกันและระดมคนมาชุมนุม
แนะขรก.เก็บข้อมูลฟันรมต.ย้ายมั่ว
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วิกฤติ ในชาติขณะนี้ แต่กลุ่มก๊วน ส.ส.พรรคพลังประชาชน ยังคงทะเลาะแก่งแย่งตำแหน่งการเมืองกันอยู่ จะเป็น เลขา รมต. สถานการณ์อย่างนี้ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ยังมีอารมณ์ทะเลาะแย่งตำแหน่งเพื่อจะใช้อำนาจ ทั้งที่รัฐบาลขาดความ ชอบธรรม ที่จะบริหารประเทศแล้ว ขอเตือนส.ส.เหล่านี้ว่าหมดเวลาที่จะมาทะเลาะแย่งตำแหน่งกันแล้ว แต่ควรแสดงจุดยืนว่าจะรีบผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร
ทั้งนี้มีสิ่งที่น่าสังเกตว่าการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงมหาดไทย ที่ผ่านมา เป็นการเตรียมการอย่างหนึ่งอย่างใดของรัฐบาลหรือไม่ ที่ตั้งคนของตัวเอง ที่สามารถสั่งได้ดูแล้วไม่เหมาะสม ไม่ยึดหลักความอาวุโส ความรู้ ความสามารถและไม่เป็นไปตามเนื้องาน เชื่อว่าการโยกย้ายในกระทรวงอื่นๆ ก็คงจะเป็นแบบนี้ ทางพรรคประชาธิปัตย์ขึงขอเรียกร้องไปยังข้าราชการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกโยกย้ายข้ามหัว ข้ามอาวุโส ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองด้วยความอดทนเข้มแข็ง ให้สมกับเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อย่ายินยอมก้มหัวให้กับคำสั่งที่ไม่ชอบ ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่ารับใช้นักการเมืองให้เก็บข้อมูลการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ตามหลักธรรมาภิบาลของคนเหล่านี้ไว้ เพื่อรอโอกาสเปิดเผยข้อมูลในวันข้างหน้า ทางพรรคประชาธิปัตย์ขอเป็นกำลังใจให้
นายสาทิตย์ กล่าวว่า การรวมพลของ นปช.ตนเห็นว่ามีความคึกคักเกิดขึ้น นอกจากนี้ การส่งพล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ มาร่วมด้วย ถือว่า น่าเป็นห่วงมาก เพราะเคยเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวนำมวลชนในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ขณะนี้ผู้ที่เคยอยู่ในยุคนั้นก็ยังอยู่กันครบทุกคน ซึ่งอาจได้รับคำสั่งมาจากลอนดอนก็เป็นได้ ทั้งนี้ คนเป็นเรื่องยากที่จะห้ามไม่ให้ทำ
อย่างไรก็ตาม การที่ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นเพราะเลือดเข้าตา เพื่อดิ้นครั้งสุดท้าย ตนคิดว่าคนเหล่านี้ไม่ได้คิดถึงประเทศ หรือคิดถึงประชาชน แต่คิดถึงนายใหญ่เพียงอย่างเดียว เหตุการณ์ขณะนี้เปราะบาง และสุ่มเสี่ยง ซึ่งอาจเกิดเหตุได้ตลอดเวลา
ระบุงดประชุมสภายื้อกม.องค์กรอิสระ
นายสาทิตย์ ยังการงดประชุมสภาฯตามคำสั่งของประธานสภาฯ กระทบต่อการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะก่อนหน้านี้มีการบรรจุวาระสำคัญในการประชุมตั้งแต่ก่อนวันแถลงนโยบายรัฐบาล โดยที่ประชุมรัฐสภาจะพิจารณา เรื่องการตกลงร่วมกันในกำลังทหารของประเทศไทย และประเทศกัมพูชา บริเวณเขตชายแดนปราสาทพระวิหาร ตามมาตรา 190 ซึ่งจะพิจารณาเรื่องนี้หลังจากที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายแล้ว โดยเป็นเรื่องของข้อตกลงในการกำหนดกองกำลังทหารที่พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผบ.สส. ได้เคยไปตกลงไว้
ส่วนการประชุมของสภาฯ นั้นก็มีกฎหมายหลายฉบับค้างอยู่ โดยเฉพาะกฎหมายขององค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งต้องเป็นไปตามเงื่อน เวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องเสร็จภายในกี่วัน อีกทั้ง อาจจะส่งผล ต่อการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระที่จะขาดเครื่องมือในการปฏิบัติงานได้ นอกจากนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อการประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ด้วย เพราะอาจจะมีความลังเลของกมธ.แต่ละชุดว่าจะมีการประชุมดีหรือไม่
ชี้บริหารปท.ไม่ได้ก็ต้องยุบสภา
นายสาทิตย์ กล่าวว่า ในอดีตเมื่อเกิดปัญหาในฝ่ายบริหารมักจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่วิกฤติครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ผลจากการกระทำของฝ่ายบริหารส่งผลกระทบต่อฝ่ายนิติบัญญัติโดยตรง เนื่องจากรัฐบาลดึงดันที่จะแถลงนโยบายให้ได้ ทั้งนี้ ตนยังข้องใจกับเหตุผลที่มีการสั่งงดประชุม จะอ้างปัญหาสถานการณ์บ้านเมืองก็ไม่คิดว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะการประชุมของ ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นเรื่องที่ต้องกระทำตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ จำเป็นต้อง ดำเนินการ จึงไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงว่าสั่งงดประชุมเพราะอะไร
อย่างไรก็ตาม ในมิติของการเมืองการที่ฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นเสียงข้างมากคือ พรรคพลังประชาชนไม่สามารถจบริหารงานได้ รัฐบาลจึงต้องตัดสินใจด้วยการยุบสภา เป็นทางออกที่จะทำได้ ไม่อย่างนั้นฝ่ายนิติบัญญัติก็จะค้างคา ไม่สามารถทำงานได้ การที่รัฐบาลรีรอ ถูลู่ถูกังก็ไม่มีผลดีทั้งกับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเอง ดังนั้น ตนอยากให้รัฐบาลรีบตัดสินใจเรื่องจะได้จบๆ กันไป
เร่งตรวจสอบองค์ประชุมไม่ครบ
นายสาทิตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคได้ตรวจสอบองค์ประชุมร่วมรัฐสภา การแถลงนโยบายของรัฐบาล ในวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ กำลังตรวจสอบใน 2 ประเด็นคือ ประเด็นแรกพรรคกำลังทำการเทียบเคียงการนับองค์ประชุมครั้งที่ 1 และ2 ว่ามีข้อมูลที่ตรงกันหรือไม่ ประเด็นต่อมาคือ มีข้อมูลยืนยันว่าผู้ที่มาเซ็นต์ชื่อ เข้าห้องประชุม เมื่อมาเซ็นต์แล้วก็เดินทางออกไป แต่เมื่อถึงเวลาในการกดบัตรแสดงตนกลับมีชื่อปรากฎอยู่ ได้มีการกดบัตรแทนกันหรือไม่ ซึ่งในเชิงกฎหมาย ตอนกดบัตรแสดงตนครั้งแรก เป็นการขออนุมัติจากที่ประชุมให้มีการแถลงนโยบาย ของรัฐบาล ซึ่งเสียงต้องเกินกึ่งหนึ่ง แต่ที่ออกมาครั้งแรกได้เสียงเพียงแค่ 307 เสียง ซึ่งเรากำลังตรวจสอบว่าจะถือว่าองค์ประชุมล่มไปแล้วหรือไม่
สั่งฆ่าคนตายแล้วไม่สำนึก
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พฤติกรรมนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตี ได้ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองอยู่บนจุดที่มีความเสี่ยงยิ่ง ต่อความรุนแรง และเสี่ยงต่อการที่ระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจะสะดุดหรือถูกทำลายลง สภาวะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะนายสมชาย ปฏิเสธความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ การใช้ความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 ต.ค. โดยปราศจากความละอายใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าในวันนี้ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันนิติเวช ได้ยืนยันในเบื้องต้นแล้ว ว่าการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ หรือความพิการ แขนขาขาด ของกลุ่มผู้ชุมนุม เกิดขึ้นจากการยิงระเบิดแก๊สน้ำตา โดยจงใจหวังผลจากแรงระเบิด และเปลวไฟ มิใช่จากควันแก๊สน้ำตา
จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.จนถึงวันนี้ ยังไม่เคยได้ยิน คำว่าเสียใจ หรือคำขอโทษจากปากของนายสมชายเลยแม้แต่น้อยที่จะบ่งบอกถึง ความสำนึก และรับผิดชอบ แม้ว่าจะยอมรับในเบื้องต้นว่า แก๊สน้ำตาที่ผลิตจาก เมืองจีนนั้นมีแรงระเบิดที่มีอนุภาพสูงทำให้บุคคลถึงแก่ชีวิตได้ ตามที่มีการเขียน คำเตือนอยู่ข้างกระสุนระเบิด แต่จนถึงวันนี้นายสมชาย และตำรวจก็ยังไม่ยอมรับว่า แก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้ในวันนั้นทำให้คนตายได้ และคำพูดที่ได้ยินจากนายกรัฐมนตรีบอกว่า วันนี้ไม่ควรมากล่าวโทษ อยากให้เรื่องนี้จบ ผมอยากให้นายสมชาย ไปพูดกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ พิการ
ซัดสมชายตีสองหน้า
นพ.บุรณัชย์ กล่าวอีกว่า นอกจากจะยังไม่ได้ยินคำว่าขอโทษจากนายสมชาย แล้ว ที่หนักไปกว่านั้น คือ การที่นายสมชาย ยังคงยึดแนวยุทธศาสตร์ ตี 2 หน้า อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงครั้งใหญ่อีกครั้ง ได้แก่ 1. การเตรียมการ ปลุกระดมกลุ่ม นปช.เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา อันจะนำไปสู่การชุมนุมใหญ่ ที่ท้องสนามหลวงนั้น นายสมชายได้ตี 2 หน้า โดยการออกข่าวว่า ขอให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกรัฐบาล ไม่ข้องเกี่ยวกับการชุมนุมของนปช.ทั้งที่นายณัฐวุฒิ สถานภาพของวันนี้คือโฆษกรัฐบาล เป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกฯ โดยตรง แต่นายสมชาย กลับอนุญาตให้นายณัฐวุฒิ จัดการชุมนุมใหญ่และปลุกระดม นปช. และได้มีส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้เข้าร่วมขึ้นเวที นปช.อย่างชัดเจน มีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และที่ไม่บังควรอย่างยิ่งคือ มีบุคคลอย่างน้อย 2 คนที่ต้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กลับใช้เวที นปช.เมื่อวันที่ 11 ต.ค.และอาจมีแนวโน้มใช้เวทีที่สนามหลวงในคืนนี้ด้วย ซึ่งต้องถือว่าเวทีนี้รัฐบาล โดยนายสมชายเป็นผู้จัด เพราะผู้ที่ประสานงานการจัดตั้งเวที นปช.คือโฆษกรัฐบาล
ส่วนการเดินหน้าตี 2 หน้าของนายสมชาย เรื่องที่ 2 คือการที่นายสมชาย พยายามพูดว่า ในการที่ทำให้เรื่องจบลงนั้น ตัวเองอาจยินดีอาจจะยุบสภา หลังจากมีกระบวนการส.ส.ร.3 ขอเรียนว่า ในการประชุม 4 ฝ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์ สลายการชุมนุมนั้น นายสมชายได้รับปากกับผู้นำฝ่ายค้านว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องเริ่มต้นด้วยความเห็นชอบจากทุกฝ่าย วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ ถือว่า นายสมชายได้โกหกต่อที่ประชุมในวันนั้น เพราะว่าหลังจากนั้น ก็ให้คนของรัฐบาล ออกมาพูดว่า จะเดินหน้าแม้ว่าจะไม่มีฝ่ายค้าน จะเห็นว่าทั้งหมดนี้ ต้องการที่จะถ่วง และซื้อเวลา ในการที่จะคงอยู่ในอำนาจต่อไป
และสุดท้าย การตีบท 2 หน้าเรื่องที่ 3 กรณีนายสมชายอ้างว่า ไม่ได้รับรู้กรณีที่ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ทำการซ่องสุม อาวุธ ที่จะใช้ กระทำการบุกยึดคืนทำเนียบญ เรื่องนี้เกิดขึ้นในสถานที่ราชการ เกิดขึ้นท่ากลาง การเข้าร่วมของราชการที่ยังไมได้เกษียณ อายุด้วยแต่แนวทางที่พล.อ.สร้างพูดถึงนั้น อยู่นอกอำนาจของรัฐ
อยากถามว่า การเตรียมการของพล.ต.อ.สล้างนั้น จะมีการผูกโยงต่อการ ชุมนุมใหญ่ของ นปช.ในคืนนี้หรือไม่ หากมีการใช้แนวทางการรบนอกรูปแบบ ตามที่กลุ่มคนเหล่านี้มีความช่ำชอง และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้ว อยากถามว่า บทบาทของนายสมชาย และกลุ่มคนในคืนนี้ในฐานะวิสามัญฆาตรกร จะรับผิดชอบอย่างไร หาก การชุมนุมครั้งนี้รรุกลามบานปลายเป็นสงครามการเมือง
ปลุกต่อมสำนึกพรรคร่วมถอนตัว
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถนำพาบ้านเมืองออกจากวิกฤติได้ แต่กลับไม่มีท่าทีใดๆ คือพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย ที่ควรบอกกับสังคมว่าคิดอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่นี่ปิดปากเงียบ เฝ้าแต่จะร่วมบริหารบ้านเมืองหาประโยชน์จากงบประมาณ ไว้ใช้เป็นกระสุนสำหรับการเลือกตั้งใหม่ หากพลิกไปดูประวัติศาสตร์บุคคลพวกนี้ทั้งหมดเคยร่วมอยู่ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เคยร่วมสนับสนุนพล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี มาถึงวันนี้ก็ยังอยู่ร่วมรัฐบาลนายสมชาย ไม่รู้ว่าคาวเลือดตอนพฤษภาทมิฬหายไปหรือยัง
วันนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังทำตัวเป็นพาสเนอร์ค้ำยันให้นายสมชาย เพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อไป แต่ขอเตือนว่าถ้าไม่อยากให้บ้านเมืองบอบช้ำไปมากกว่านี้ ก็ควรถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เพราะลำพังพรรคพลังประชาชนเพียงพรรคเดียว ไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ ตรงนี้จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ไม่ใช่ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน แบบนี้เพราะ ผบ.ทบ.ก็พูดชัดเจนที่สุดแล้วว่า รัฐบาลควรรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เฉ่งเติ้งยังประกาศเดินหน้าแก้รธน.
นายเทพไท กล่าวว่า ที่สำคัญคือนายบรรหาร ศิลปะอาชา และลูกพรรชาติไทย กลับมีท่าทีชัดเจนว่าจะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญก่อนยุบสภา ซึ่งวิกฤติขนาดนี้ประเทศชาติรอให้ถึงตอนนั้นไม่ได้แล้ว วันนี้เกิดความแตกแยกไปทุกหย่อมหญ้า การที่ นายบรรหาร ไปราชการที่ จ.กำแพงเพชร แล้วโดนโห่ไล่กลับตั้งคำถามว่าคนเหล่านั้นพรรคการเมืองไหนจัดมาทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง แต่เป็น กลุ่มพันธมิตรฯ ที่ไม่พอใจกับบทบาทท่าทีของนายบรรหารเอง ดังนั้นถ้าจะสร้างอานิสงฆ์ให้กับประเทศท่านควรจะทบทวนตัวเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่าผบ.ทบ.ก็ออกมาพูดชัดเจนแต่นายกรัฐมนตรีก็ยังเดินหน้า ไม่ยุบสภา ไม่ลาออก นายเทพไท กล่าวว่า ทางพรรคพลังประชาชนคงวิเคราะห์แล้วว่า ทหารไม่กล้าทำรัฐประหารคนเหล่านี้จึงย่ามใจ เพราะถ้าไม่มีรัฐประหารก็ไม่มีใคร ล้มพวกเขาได้ จึงเดินหน้าสร้างการเผชิญหน้ากับกลุ่มต่างๆ ซึ่งนับวันปัญหาได้ขยายตัวไปทุกจังหวัด ก็ไม้รู้ว่าจะทู่ซี้อยู่ได้อย่างไร ในเมื่อคนต่างจังหวัดไม่ให้การยอมรับพอลงไปราชการก็ถูกขับไล่ ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าจะบริหารราชการอยู่แต่ใน สนามบินดอนเมืองเท่านั้นหรือส่วนกรณีที่มีคนของรัฐบาลเข้าไปมีส่วนร่วมกับการชุมนุมของ นปช.นั้น ตนมองว่าคงเป็นการวัดกำลังกันและระดมคนมาชุมนุม
แนะขรก.เก็บข้อมูลฟันรมต.ย้ายมั่ว
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วิกฤติ ในชาติขณะนี้ แต่กลุ่มก๊วน ส.ส.พรรคพลังประชาชน ยังคงทะเลาะแก่งแย่งตำแหน่งการเมืองกันอยู่ จะเป็น เลขา รมต. สถานการณ์อย่างนี้ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ยังมีอารมณ์ทะเลาะแย่งตำแหน่งเพื่อจะใช้อำนาจ ทั้งที่รัฐบาลขาดความ ชอบธรรม ที่จะบริหารประเทศแล้ว ขอเตือนส.ส.เหล่านี้ว่าหมดเวลาที่จะมาทะเลาะแย่งตำแหน่งกันแล้ว แต่ควรแสดงจุดยืนว่าจะรีบผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร
ทั้งนี้มีสิ่งที่น่าสังเกตว่าการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงมหาดไทย ที่ผ่านมา เป็นการเตรียมการอย่างหนึ่งอย่างใดของรัฐบาลหรือไม่ ที่ตั้งคนของตัวเอง ที่สามารถสั่งได้ดูแล้วไม่เหมาะสม ไม่ยึดหลักความอาวุโส ความรู้ ความสามารถและไม่เป็นไปตามเนื้องาน เชื่อว่าการโยกย้ายในกระทรวงอื่นๆ ก็คงจะเป็นแบบนี้ ทางพรรคประชาธิปัตย์ขึงขอเรียกร้องไปยังข้าราชการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกโยกย้ายข้ามหัว ข้ามอาวุโส ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองด้วยความอดทนเข้มแข็ง ให้สมกับเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อย่ายินยอมก้มหัวให้กับคำสั่งที่ไม่ชอบ ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่ารับใช้นักการเมืองให้เก็บข้อมูลการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ตามหลักธรรมาภิบาลของคนเหล่านี้ไว้ เพื่อรอโอกาสเปิดเผยข้อมูลในวันข้างหน้า ทางพรรคประชาธิปัตย์ขอเป็นกำลังใจให้