ทีมโฆษกพรรค ปชป.ชำแหละ “สมชาย” ตีบทสองหน้า เปิดโปงปลุกผี นปช.จับขั้วแก๊ง “สล้าง” ผนึกกำลังเตรียมก่อจลาจลปะทะพันธมิตรฯ ลั่นต้องรับผิดชอบหากถึงขั้นนองเลือด พร้อมกระตุกต่อมสำนึกพรรคร่วม ถอนยวงพ้น ครม.
วันนี้ (12 ต.ค.) นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พฤติกรรมนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ได้ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองอยู่บนจุดที่มีความเสี่ยงยิ่งต่อความรุนแรง และเสี่ยงต่อการที่ระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อาจสะดุดหรือถูกทำลายลง สภาวะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะนายสมชายปฏิเสธความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 ต.ค.โดยปราศจากความละอายใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าในวันนี้ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันนิติเวชได้ยืนยันในเบื้องต้นแล้วว่า การเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ หรือความพิการ แขนขาขาดของกลุ่มผู้ชุมนุม เกิดขึ้นจากการยิงระเบิดแก๊สน้ำตา โดยจงใจหวังผลจากแรงระเบิดและเปลวไฟ มิใช่จากควันแก๊สน้ำตา
“จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.จนถึงวันนี้ ยังไม่เคยได้ยินคำว่าเสียใจ หรือคำขอโทษจากปากของนายสมชายเลยแม้แต่น้อยที่จะบ่งบอกถึงความสำนึก และรับผิดชอบ แม้ว่าจะยอมรับในเบื้องต้นว่าแก๊สน้ำตาที่ผลิตจากเมืองจีนนั้นมีแรงระเบิดที่มีอานุภาพสูงทำให้บุคคลถึงแก่ชีวิตได้ตามที่มีการเขียนคำเตือนอยู่ข้างกระสุนระเบิด แต่จนถึงวันนี้นายกฯ สมชาย และตำรวจก็ยังไม่ยอมรับว่าแก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้ในวันนั้นทำให้คนตายได้ และคำพูดที่ได้ยินจากนายกฯ บอกว่า วันนี้ไม่ควรมากล่าวโทษ อยากให้เรื่องนี้จบ ผมอยากให้นายสมชายไปพูดกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ พิการ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นพ.บุรณัชย์ กล่าวอีกว่า นอกจากจะยังไม่ได้ยินคำว่าขอโทษจากนายสมชายแล้ว ที่หนักไปกว่านั้น คือ การที่นายสมชายยังคงยึดแนวยุทธศาสตร์ตีสองหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยเฉพาะในคืนวันนี้ ได้แก่ 1.การเตรียมการปลุกระดมกลุ่ม นปช.เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา อันจะนำไปสู่การชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงนั้น นายสมชายได้ตีสองหน้า โดยการออกข่าวว่า ขอให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกรัฐบาล ไม่ข้องเกี่ยวกับการชุมนุมของ นปช. ทั้งที่นายณัฐวุฒิ สถานภาพของวันนี้คือโฆษกรัฐบาล เป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกฯ โดยตรง แต่นายสมชายกลับอนุญาตให้นายณัฐวุฒิจัดการชุมนุมใหญ่และปลุกระดม นปช. และได้มี ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้เข้าร่วมขึ้นเวที นปช.อย่างชัดเจน มีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง คือ มีบุคคลอย่างน้อย 2 คนที่ต้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กลับใช้เวที นปช.เมื่อวันที่ 11 ต.ค. และอาจมีแนวโน้มใช้เวทีที่สนามหลวงในคืนนี้ด้วย ซึ่งต้องถือว่าเวทีนี้รัฐบาลโดยนายกฯ สมชายเป็นผู้จัด เพราะผู้ที่ประสานงานการจัดตั้งเวที นปช.คือโฆษกรัฐบาล
นพ.บุรณัชย์ กล่าวต่อว่า ส่วนการเดินหน้าตีสองหน้าของนายสมชาย เรื่องที่ 2 คือ การที่นายสมชายพยายามพูดว่า ในการที่ทำให้เรื่องจบลงนั้น ตัวเองอาจยินดีอาจจะยุบสภาหลังจากมีกระบวนการ ส.ส.ร.3 ขอเรียนว่า ในการประชุม 4 ฝ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมนั้น นายกฯ สมชายได้รับปากกับผู้นำฝ่ายค้านว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องเริ่มต้นด้วยความเห็นชอบจากทุกฝ่าย วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ถือว่านายสมชายได้โกหกต่อที่ประชุมในวันนั้น เพราะว่าหลังจากนั้นก็ให้คนของรัฐบาลออกมาพูดว่าจะเดินหน้าแม้ว่าจะไม่มีฝ่ายค้าน จะเห็นว่าทั้งหมดนี้ต้องการที่จะถ่วงและซื้อเวลาในการที่จะคงอยู่ในอำนาจต่อไป และสุดท้าย การตีบทสองหน้า
เรื่องที่ 3 กรณีนายสมชายอ้างว่าไม่ได้รับรู้กรณีที่ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ทำการซ่องสุมอาวุธที่จะใช้กระทำการบุกยึดคืนทำเนียบ เรื่องนี้เกิดขึ้นในสถานที่ราชการ เกิดขึ้นท่ามกลางการเข้าร่วมของราชการที่ยังไม่ได้เกษียณอายุด้วย แต่แนวทางที่ พล.อ.สล้างพูดถึงนั้นอยู่นอกอำนาจของรัฐ
“อยากถามว่า การเตรียมการของ พล.ต.อ.สล้างนั้นจะมีการผูกโยงต่อการชุมนุมใหญ่ของ นปช.ในคืนนี้หรือไม่ หากมีการใช้แนวทางการรบนอกรูปแบบ ตามที่กลุ่มคนเหล่านี้มีความช่ำชอง และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้ว อยากถามว่าบทบาทของนายสมชาย และกลุ่มคนในคืนนี้ในฐานะวิสามัญฆาตรกรจะรับผิดชอบอย่างไร หากการชุมนุมครั้งนี้ลุกลามบานปลายเป็นสงครามการเมือง” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถนำพาบ้านเมืองออกจากวิกฤตได้ แต่กลับไม่มีท่าทีใดๆ คือ พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย ที่ควรบอกกับสังคมว่าคิดอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่นี่ปิดปากเงียบ เฝ้าแต่จะร่วมบริหารบ้านเมืองหาประโยชน์จากงบประมาณไว้ใช้เป็นกระสุนสำหรับการเลือกตั้งใหม่ หากพลิกไปดูประวัติศาสตร์บุคคลพวกนี้ทั้งหมดเคยร่วมอยู่ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เคยร่วมสนับสนุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี มาถึงวันนี้ก็ยังอยู่ร่วมรัฐบาลนายสมชาย ไม่รู้ว่าคาวเลือดตอนพฤษภาทมิฬหายไปหรือยัง วันนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังทำตัวเป็นพาสเนอร์ค้ำยันให้นายสมชาย เพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อไป แต่ขอเตือนว่าถ้าไม่อยากให้บ้านเมืองบอบช้ำไปมากกว่านี้ก็ควรถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เพราะลำพังพรรคพลังประชาชนเพียงพรรคเดียวไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ ตรงนี้จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ไม่ใช่ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนแบบนี้ เพราะ ผบ.ทบ.ก็พูดชัดเจนที่สุดแล้วว่ารัฐบาลควรรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นายเทพไท กล่าวต่อว่า ที่สำคัญ คือ นายบรรหาร ศิลปอาชา และลูกพรรชาติไทย กลับมีท่าทีชัดเจนว่าจะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญก่อนยุบสภา ซึ่งวิกฤติขนาดนี้ประเทศชาติรอให้ถึงตอนนั้นไม่ได้แล้ว วันนี้เกิดความแตกแยกไปทุกหย่อมหญ้า การที่นายบรรหาร ไปราชการที่ จ.กำแพงเพชร แล้วโดนโห่ไล่กลับตั้งคำถามว่าคนเหล่านั้นพรรคการเมืองไหนจัดมา ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง แต่เป็นกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ไม่พอใจกับบทบาทท่าทีของนายบรรหารเอง ดังนั้น ถ้าจะสร้างอานิสงส์ให้แก่ประเทศ ท่านควรจะทบทวนตัวเอง
เมื่อถามว่า ผบ.ทบ.ก็ออกมาพูดชัดเจน แต่นายกรัฐมนตรีก็ยังเดินหน้าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก นายเทพไท กล่าวว่า ทางพรรคพลังประชาชนคงวิเคราะห์แล้วว่า ทหารไม่กล้าทำรัฐประหารคนเหล่านี้จึงย่ามใจ เพราะถ้าไม่มีรัฐประหารก็ไม่มีใครล้มพวกเขาได้ จึงเดินหน้าสร้างการเผชิญหน้ากับกลุ่มต่างๆ ซึ่งนับวันปัญหาได้ขยายตัวไปทุกจังหวัด ก็ไม้รู้ว่าจะทู่ซี้อยู่ได้อย่างไร ในเมื่อคนต่างจังหวัดไม่ให้การยอมรับพอลงไปราชการก็ถูกขับไล่ ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าจะบริหารราชการอยู่แต่ในสนามบินดอนเมืองเท่านั้นหรือส่วนกรณีที่มีคนของรัฐบาลเข้าไปมีส่วนร่วมกับการชุมนุมของ นปช.นั้น ตนมองว่าคงเป็นการวัดกำลังกันและระดมคนมาชุมนุม