อดีตแกนนำ นปก.บิดเบือนผ่าน NBT เหมือนเคย อ้าง “ม็อบนรก” แสนน่าสงสาร แค่เดินไปกดดันให้พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบ แต่กลับถูกรุมทำร้าย - จี้ “อนุพงษ์” ใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สั่งปิด ASTV ทันที เชื่อจะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งดีขึ้น เพราะไม่มี ASTV เป็นกระบอกเสียงปลุกระดมมวลชน
วานนี้ (2 ก.ย.) รายการ “ความจริงวันนี้” ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชนเป็นแขกรับเชิญประจำรายการ
เมื่อเริ่มรายการ ผู้ดำเนินรายการได้เชิญชวนให้ผู้ชมทางบ้านร่วมแสดงความคิดเห็นว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการที่รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยหากเห็นด้วยให้พิมพ์ 1 ไม่เห็นด้วยพิมพ์ 2 เพื่อให้ผลโหวตปรากฏที่หน้าจอโทรทัศน์ ทั้งนี้ เพราะพวกตนอยากจะทราบข้อมูลดังกล่าวไว้เป็นความรู้ และเพื่อสะท้อนสู่สังคมว่า แท้จริงแล้วประชาชนคิดเห็นอย่างไรกับมาตรการดังกล่าวของรัฐบาล ไม่ใช่ว่าสังคมจะเลือกฟัง หรือเลือกสะท้อนแต่ความเห็นของบรรดานักวิชาการมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย กับมาตราการดังกล่าว
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่รัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ก็เพราะเกิดเหตุการณ์การปะทะกันเมื่อกลางดึงของคืนวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการที่กลุ่มคนซึ่งรักประชาธิปไตย และไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มเหลืออด กับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศ จึงรวมตัวกันที่ท้องสนามหลวง ในนามของกลุ่ม นปช.แล้วเคลื่อนขบวนออกมากดดันกลุ่มพันธมิตรฯ ให้ออกไปจากทำเนียบรัฐบาลเสีย
ทั้งนี้ นปช.ซึ่งเดินเท้ามาจากท้องสนามหลวงนั้น เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ที่หาเศษไม้ตามข้างทาง มาเป็นอาวุธป้องกันตัว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ได้รับการฝึกฝนมาให้ก่อความรุนแรงได้เป็นอย่างดี กลุ่มพันธมิตรฯ จึงกรูกันเข้ามารุมทำร้าย ทำให้กลุ่มคนที่เดินเท้ามาจากสนามหลวงเสียชีวิตไป 3 ราย โดยมี 2 รายเสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยอาวุธปืน นี่จึงเป็นสิ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าฝ่ายใดกันแน่ที่ก่อความรุนแรงขึ้น
ส่วนกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะกรรมการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ออกมากล่าวว่า ทหารจะทำหน้าที่เพียงแค่ทำให้คน 2 ฝ่าย ไม่ปะทะกันนั้นเท่านั้น ผู้ดำเนินรายการได้แสดงความคิดเห็นว่า สังคมคงต้องตั้งคำถามว่า พล.อ.อนุพงษ์ มีความเข้าใจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มากน้อยเพียงใด เหตุใดจึงไม่ใช้ พ.ร.ก.ดังกล่าวให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้ เพราะถึงแม้สิ่งที่ พล.อ.อนุพงษ์ ทำจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว คือ ไม่ให้คน 2 ฝ่ายปะทะกัน แต่พวกตนก็คิดว่า การดำเนินการเพียงแค่นั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองให้ลุล่วงไปได้ เพราะจนถึงขณะนี้ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า แม้กลุ่ม นปช.จะยอมยุติการชุมนุม และออกจากกรุงเทพฯ ไปแล้ว แต่กลุ่มพันธมิตรฯ กลับไม่มีทีท่าว่าจะยอมย้ายออกจากทำเนียบรัฐบาลเลย ทำให้ปัญหาดังกล่าวยังไม่มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายแม้แต่น้อย
ดังนั้น พวกตนจึงขอเรียกร้องว่า พล.อ.อนุพงษ์ ควรใช้อำนาจ พ.ร.ก.ที่มีอยู่จัดการกับ สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี เสียก่อนเป็นอันดับแรก เพราะตลอดร้อยกว่าวันที่สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีออกอากาศ ถ่ายทอดสดการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ได้ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศอย่างชัดเจน เนื่องจากสถานีดังกล่าวจะเป็นช่องในการปลุกระดม มวลชนให้มาร่วมชุมนุม จนสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านเมือง ดังนั้นหากสามารถสั่งยุติการออกอากาศ เอเอสทีวี ได้เมื่อใด คนที่อยู่ในทำเนียบก็จะไม่มีช่องทางสื่อสาร ปลุกระดมมวลชนได้อีก เมื่อนั้นสถานการณ์ความตรึงเครียดของบ้านเมืองก็คงจะค่อยๆ คลี่คลายไปได้
ผู้ดำเนินรายการยังกล่าวถึงกรณีที่มีคนบางกลุ่มอ้างว่า กลุ่ม นปช.ได้รับการจัดตั้งมาจากรัฐบาล ให้สร้างความรุนแรง เพื่อที่รัฐบาลจะได้เอามาเป็นเหตุผลในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะหากรัฐบาลต้องการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจริง สามารถประกาศได้ตั้งแต่ เหตุการณ์กลุ่มพันธมิตรฯ บุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอมาจนถึงป่านนี้ แต่สาเหตุที่ต้องประกาศในตอนนี้ก็เพราะ รัฐบาลรู้สึกว่าประชาชน ส่วนใหญ่เริ่มเหลืออดกับ พฤติกรรมของกลุ่มพันธมิตรฯ จนออกมาต่อต้านแล้ว หากไม่รีบดำเนินการบ้านเมืองก็จะวุ่นวายไปมากกว่านี้
ทั้งนี้ พวกตนมองว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินน่าจะเป็นทางแก้ปัญหาที่ ดีที่สุดแล้ว เพราะเหตุการณ์ในวันนี้ ถึงแม้นายกรัฐมนตรีจะลาออกไปจริง แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็คงไม่ยุติการเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เพราะแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ประกาศไว้แล้วว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีลาออก ก็จะเจรจาให้มีการนำการเมืองใหม่ ในแบบที่พันธมิตรฯ ต้องการมาใช้ในการบริหารประเทศ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าหากรัฐบาล ลาออกไป ก็เหมือนกับคนไทยต้องยกแผ่นดินให้กับกลุ่มพันธมิตรฯ ไปเลย เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการเมือง การบริหารประเทศของเราทุกคน
ดังนั้น พวกตนจึงอยากจะถามไปยังนักวิชาการ ส.ว. และ ส.ส. ทั้งหลายที่สนับสนุนการเคลื่อนไหว ของพันธมิตรฯ หรือมองว่าการกระทำของพันธมิตรฯ เป็นสิ่งที่ถูกต้องว่า ขอให้รู้จักใช้สมองคิดเสียบ้าง ว่าหากสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ แล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ท่านทั้งหลายจะรับได้หรือกับการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งอาจรุกคืบส่งผลกระทบ ต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ทีเดียว