xs
xsm
sm
md
lg

7 ตุลา เมื่อปลาขาดน้ำ

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

“น้ำอาจขาดปลาได้ แต่ปลามิอาจขาดน้ำได้”

ข้างต้นคงเป็นคำคมของ เหมา เจ๋อตง อดีตผู้นำ นักปรัชญา นักปกครอง และนักการทหารผู้ยิ่งใหญ่ชาวจีนที่ใช้เปรียบเทียบว่า กองทัพและผู้ปกครองนั้นเปรียบเสมือนปลา ส่วนประชาชนนั้นเปรียบเสมือนน้ำ น้ำสามารถคงอยู่ได้โดยปราศจากปลา แต่ปลามิอาจมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากน้ำ

ผมในนามของผู้สื่อข่าวและหนึ่งในผู้มีหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์ สัญญาว่า เหตุการณ์เข่นฆ่าประชาชนอย่างอำมหิตโหดเหี้ยมตลอดทั้งวันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของไทยร่วมกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 และ พฤษภาคม 2535

ผมสัญญาว่า “น้องโบว์” อังขณา ระดับปัญญาวุฒิและครอบครัว พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านที่สูญเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะและได้รับบาดเจ็บหลายร้อยคนจะถูกจดจำไว้ในสถานะของผู้กล้าที่เสียสละเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เยี่ยงทหารหาญที่เสียสละในสนามรบ

กลับมาถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรม เมื่อวันอังคารที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา

แม้ในช่วงข่าวภาคค่ำของวันที่ 7 ต.ค. สื่อโทรทัศน์แทบทุกช่องจะรายงานว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค. เป็นการปะทะกันระหว่างตำรวจกับประชาชนกลุ่มพันธมิตรฯ หลายหมื่นคนหลายแสนคน โทรทัศน์หลายช่องรายงานซ้ำไปซ้ำมาว่า ผู้ชุมนุมใช้ธงปลายแหลมเสียบเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ ใช้อาวุธปืนยิงเข้าหากลุ่มเจ้าหน้าที่ ขับรถชนตำรวจ จนทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บหลายสิบนาย

ทว่า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ผู้ที่เริ่มใช้ความรุนแรง ใช้อาวุธรุนแรงและใช้กำลังกับประชาชนก่อนก็คือ ตำรวจที่รับคำสั่งมาจากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อีกที โดยเหตุการณ์ความรุนแรงเริ่มต้นจากการที่ตำรวจใช้กำลังบุกเข้ามายังบริเวณที่ชุมนุมรอบรัฐสภาในช่วงประมาณ 6.20 น. ในช่วงเช้าวันอังคารที่ 7 ขณะที่สถานการณ์ทุกอย่างเงียบสงบ ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่กำลังพักผ่อนจากอาการเหนื่อยล้า

เมื่อเกิดเหตุผู้ได้รับบาดเจ็บและทุพพลภาพ จากการใช้ความรุนแรงของตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นขาขาด แขนขาด ตาบอด ไม่น่าแปลกใจที่ในช่วงบ่ายและช่วงเย็นกลุ่มคนที่โกรธแค้นเพราะเพื่อน ญาติ พี่น้องของเขาได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของตำรวจจะดำเนินการโต้กลับด้วยการใช้ความรุนแรงตอบบ้าง

แก๊สน้ำตา อาวุธปืน ระเบิดมือ และอาวุธหนักอีกหลายชิ้นถูกตำรวจงัดขึ้นมาใช้อีกครั้ง ราวกับว่า “ประชาชน” เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นกะเหรี่ยงก็อดอาร์มีที่มีอาวุธครบมือ ส่งผลให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บมากกว่า 400 คน ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนผู้บาดเจ็บของฝั่งตำรวจแล้วจะเห็นได้ว่าต่างกันนับสิบเท่า

ผมคงไม่ต้องเสียเวลาของท่านผู้อ่านเพื่ออธิบายว่าตำรวจใช้เพียงแก๊สน้ำตาสลายผู้ชุมนุมหรือไม่ เพราะภาพเหตุการณ์ทั้งภาพเคลื่อนไหว และภาพนิ่งที่ออกมาตามสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ ยูทูบ บล็อกและสื่อต่างประเทศนั้นมีน้ำหนักจนสามารถตีตกข่าวจากฟรีทีวีของไทยที่เน้นทำข่าว “สายตำรวจ-ภาครัฐ” อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ก็บ่งชี้ชัดอยู่แล้วว่า “สื่อโทรทัศน์” ไม่เคยเป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใด 14 ตุลา, 6 ตุลา หรือพฤษภาทมิฬ และเมื่อเวลาผ่านไปข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ก็จะปรากฏ

หากนายสมชาย คณะรัฐมนตรี พรรคร่วมรัฐบาล อาชญากรในเครื่องแบบที่เรียกตัวเองว่าตำรวจ และสื่อทั้งหลาย คาดหวังว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค. จะทำให้ประชาชนท้อถอย หรือหวาดกลัวแล้วล่ะก็ ผมตอบได้เลยว่า ไม่มีทางและไม่มีวันที่ประชาชนจะปล่อยให้ “ทรราชมาครองเมือง”

...... กระทั่งแม้ว่า “ทหาร” จะแสดงทีท่านิ่งเฉยไม่ออกมายืนข้างประชาชนก็ตาม

ดังปรัชญาทางการทหาร เหมา เจ๋อตง ได้เคยกล่าวเอาไว้ “น้ำอาจขาดปลาได้ แต่ ปลามิอาจขาดน้ำได้” ประชาชนอาจขาดตำรวจได้ แต่ตำรวจมิอาจขาดประชาชนได้

จากปฏิกิริยาของสังคมตลอดทั้งวันนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ นักบิน-กัปตันเครื่องบินการบินไทย ที่ปฏิเสธให้บริการกับ ส.ส.พรรคพลังประชาชน เรื่อยมาจนถึงช่วงบ่ายที่มีอาจารย์จากโรงเรียนแพทย์สถาบันชั้นนำหลายสถาบันออกมาประกาศว่าจะไม่รับรักษา “ตำรวจ” ที่แต่งเครื่องแบบ ตำรวจที่ระบุชั้นยศเข้ามารับการรักษา รวมถึงไม่รับตรวจนักการเมืองเลวๆ ด้วย

ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นปรากฏการณ์ที่สังคมไทยไม่เคยประสบมาก่อนที่ บุคคลระดับชั้นปัญญาชนและถือเป็นมันสมองของสังคมได้ออกมาแสดงอาการปฏิเสธตำรวจ ปฏิเสธนักการเมือง ปฏิเสธพฤติกรรมของตำรวจและนักการเมืองที่กระทำต่อประชาชน

และผมเชื่อมั่นว่าในช่วงอีกหลายวันข้างหน้าสังคมของปัญญาชนไม่ว่าจะวิชาชีพใดก็จะมีการทยอยแสดงท่าทีในทำนองเดียวกันออกมาอย่างต่อเนื่องอีก

ผมอยากเตือนตำรวจ นักการเมือง และลิ่วล้อทั้งหลาย กรุณาอย่าอ้างเรื่องจรรยาบรรณจากบรรดานักบิน แพทย์ และปัญญาชนเหล่านี้ เพราะพฤติกรรมการบุกเข้าทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ของพวกคุณนั้น มิได้เป็นเพียงพฤติกรรมที่ไร้จรรยาบรรณของอาชีพตำรวจเท่านั้น แต่ยังเป็นพฤติกรรมที่ไร้มนุษยธรรม ไร้มโนสำนึกของความเป็นมนุษย์จนอาจถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมของ “สัตว์นรก” เลยทีเดียว

ถ้าตำรวจและผู้มีอำนาจทั้งหลายยังไม่สำนึกในบาปและการกระทำอันชั่วร้ายของท่าน และยังคิดว่าพวกคุณยังสามารถกุมอำนาจไว้ในมือต่อไปได้ ผมอยากให้พวกคุณลองมองย้อนไปดูเหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดู

นั่นแหละคือ สถานการณ์ “ปลาขาดน้ำ” ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยสาเหตุหลักส่วนหนึ่งของความรุนแรงดังกล่าวก็เกิดมาจาก ความอยุติธรรมและความรุนแรงที่ตำรวจในสมัยรัฐบาลทักษิณ ที่รัฐในระบอบทักษิณได้กระทำไว้ต่อประชาชน-ชาวบ้านในพื้นที่ภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นการทรมาน ข่มขู่ เข่นฆ่า อุ้มฆ่า และใช้กระบวนการยุติธรรมต่อประชาชนแต่เพียงฝ่ายเดียว ขณะที่ปกป้องพวกเดียวกันเองอย่างไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม

เหตุการณ์ภาคใต้ในวันนี้ แม้สถาบันสูงสุด ภาครัฐ ตำรวจ และทหารจะพยายามเติมน้ำเข้าไปเท่าไหร่ เพื่อให้ “ปลา” สามารถแหวกว่ายได้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ระดับของน้ำก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เพราะความรุนแรงในพื้นที่เหล่านั้นก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน

ขอความกรุณาครับ กรุณาอย่าผลักให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งที่ผ่านมายึดมั่นในการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย ยึดหลักสงบ สันติ อหิงสา ให้ลงไปเป็นการเคลื่อนไหวใต้ดินและไม่สนใจในหลักการใดๆ ทั้งสิ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น