นักวิชาการที่เข้าใจว่าการเลือกตั้งคือ ประชาธิปไตย กำลังอกอีแป้นแตกที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดทำเนียบรัฐบาลเอาไว้ โดยไม่ยอมให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้าไปทำงาน
ก่อนนี้ ฯพณฯ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มหาวิทยาลัยที่ไม่อนุญาตให้พันธมิตรฯ ใช้หอประชุมเพื่อการเสวนา) ถึงกับออกมาเรียกร้องให้รัฐใช้กฎหมายอาญาเข้าจัดการกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และต่อมารัฐบาลก็ตอบสนองด้วยการแจ้งข้อหาแกนนำพันธมิตรฯ พร้อมกับพวกรวม 9 คน
ไม่น่าเชื่อว่ามุมมองของนักวิชาการที่สวมทับเครื่องแบบของนักกฎหมายไว้ด้วยจะมองการออกมาเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มหนึ่งที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกับตัวเอง ไม่ใช่ในฐานะผู้มีความเห็นต่าง แต่ในฐานะของอาชญากร
แน่นอนว่า การยึดทำเนียบรัฐบาล จะต้องเผชิญกับข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ ข้อหาการชุมนุมเกินกว่า 10 คน ที่ฝ่ายอำนาจรัฐจะหยิบขึ้นมาตอบโต้ แต่เมื่อเราเห็นว่า การชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรมนี่คือ การปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ เราจะใส่ใจข้อกล่าวหาเล็กๆ น้อยๆ ทำไมกัน
หากติดตามการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ มาตั้งแต่ต้น ไม่พูดแบบตัดตอนหรือสร้างวาทกรรมแบบไร้เหตุผลของนักวิชาการและสื่อมวลชนบางคน หลังพรรคพลังประชาชนได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนมากและได้จัดตั้งรัฐบาล พันธมิตรฯ ประกาศทันทีว่าจะให้โอกาสรัฐบาลในการบริหารประเทศ
กระทั่งรัฐบาลได้มีพฤติการณ์เหิมเกริมแทรกแซงและคุกคามสื่อสารมวลชนรัฐบาลใช้อำนาจในการแทรกแซงและตัดตอนกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ทักษิณพ้นผิด โดยการย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่กำลังดำเนินคดีสำคัญต่อทักษิณ และครอบครัวให้พ้นตำแหน่งอย่างเร่งด่วน
นอกจากนั้นยังมีการกลั่นแกล้งโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรม มีการประกาศจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดของตัวเอง พันธมิตรฯ มองเห็นว่า พฤติกรรมลุแก่อำนาจเช่นนี้ แอบแฝงด้วยวาระซ่อนเร้นในการปกป้องระบอบทักษิณอย่างชัดเจน อันเป็นเหตุทำให้เกิดวิกฤตของบ้านเมืองขึ้นมาใหม่
พันธมิตรฯ จึงออกมาชุมนุมอีกครั้ง
จะเห็นได้ว่า แม้ว่าพันธมิตรฯ จะชุมนุมมากกว่า 160 วันแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้เงื่อนไขเหล่านั้นหายไป แถมระหว่างทางของการชุมนุมรัฐบาลก็ทำผิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนทำให้พันธมิตรฯ หยิบมาเป็นเงื่อนไขในการโจมตี ไม่ว่าจะเป็นกรณีเขาพระวิหารที่ยกพื้นที่ซับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชา เพื่อแลกกับผลประโยชน์ในอ่าวไทย ซึ่งเป็นคำพูดของรัฐมนตรีกัมพูชาเอง หรือประเด็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของนายจักรภพ เพ็ญแข และผลประโยชน์ทับซ้อนของนายสมัคร สุนทรเวช จนพ้นจากตำแหน่ง
และขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ขึ้นจากใต้ดินมาบนดิน
เป้าประสงค์ที่แท้จริงของการชุมนุมของพันธมิตรฯ ไม่เคยเปลี่ยนเลย นอกจากความพยายามของนักวิชาการและสื่อมวลชนที่อิงแอบอยู่กับระบอบทักษิณ แต่ใช้วิชาชีพบังหน้าเท่านั้นที่อ้างว่า พันธมิตรฯ เปลี่ยนเงื่อนไขการชุมนุมไปเรื่อยๆ โดยหยิบเอาประเด็นที่เกิดขึ้นรายทางมาเป็นข้ออ้าง
พันธมิตรฯ ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชุมนุมเลยตั้งแต่วันแรกที่เริ่มชุมนุมคือ 25 พฤษภาคม คือ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และต่อต้านรัฐบาลนอมินี และเงื่อนไขเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ถึงวันนี้
นอกเหนือจากการชุมนุมขับไล่รัฐบาลพร้อมกับการเปิดโปงความชั่วช้าต่างๆ พันธมิตรฯ จึงได้เสนอทางออกด้วยการระดมความคิด เพื่อสร้างรูปธรรมต่อสิ่งที่เรียกว่า “การเมืองใหม่” ที่เป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
ไม่ใช่ขับไล่อย่างเดียว แต่ชี้ทางออกให้ด้วย
ถ้าพันธมิตรฯ ไม่ออกมาเคลื่อนไหวในวันนั้น วันนี้คดีต่างๆ ของทักษิณก็คงจบไปหมดแล้ว ทักษิณไม่มีความผิดเพราะกฎหมายไม่อาจเงื้อมมือไปถึงตัวทักษิณ เพราะความผิดต่างๆ ถูกกระบวนการประชาธิปไตยในสภาฯ ทำให้ความผิดละลายไปหมดสิ้น และไม่ถูกพิจารณาความผิดด้วยหลักการของกฎหมาย
แต่พอพันธมิตรฯ ออกมาและยังยืนหยัดอยู่ ทักษิณก็เลยต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และถูกศาลชี้ว่ามีความผิด นักวิชาการและสื่อมวลชนที่อัญชลี ไพรีรัก เรียกว่า “กลางลวง” ซึ่งมีพิษสงมากกว่า “กลางกลวง” ก็ออกมาเคลื่อนไหวถี่ยิบขึ้น ทั้งในนามของ “สานเสวนา” และ “สันติวิธี”
พวก “กลางลวง” ออกมาทั้งในภาพของสื่อสารมวลชน ผู้ปรารถนาดีต่อสังคม และนักวิชาการ พวกนี้จึงไม่เขอะเขินที่จะเข้าไปไปคุยกับฆาตกรที่เพิ่งสั่งฆ่าประชาชน และพออกพอใจที่ฆาตกรสวมเสื้อที่เขียนว่า “ยุติความรุนแรง” ราวกับว่า เสื้อตัวนั้นได้ไถ่ถอนความชั่วของฆาตกรและปิดบังความชั่วร้ายของฆาตกรไว้อย่างมิดชิดแล้ว
สื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง สวมวิญญาณ “ดาวสยามยุคใหม่” ว่า การรวมพลังของคนจำนวนมากที่เสียสละตัวเองออกมาชุมนุมเป็นร้อยๆ วันนั้น เป็นอุดมการณ์ของความชั่วร้าย พวกเขาพยายามยัดเยียดคนที่ถูกตำรวจยิงเสียชีวิต แขนขาดขาขาดว่า เป็นอาชญากรยัดระเบิดใส่มือของจิตรกรที่มีอุดมการณ์ต่างกับตัวเอง มันเออออกับตำรวจที่บอกว่า คนตายพกระเบิดมาเอง
หรืออ้างว่า พันธมิตรฯ ทำให้ปลาในทำเนียบฯ ตาย สนามหญ้าทำเนียบฯ เสียหาย เกิดกองขยะเน่าเหม็น
นักกฎหมาย และนักสันติวิธี และสื่อมวลชนที่ออกมาเรียกร้องต่อฝ่ายพันธมิตรฯ ไม่เคยตั้งคำถามและทบทวนว่า ใครคือฝ่ายที่ก่อความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นที่เชียงราย มหาสารคาม บุรีรัมย์ สกลนคร และที่กรุงเทพฯ พวกเขาพูดแบบตัดตอนว่า พันธมิตรฯใช้ด้ามธงแทงตำรวจ ขับรถชนตำรวจ ทั้งที่การกระทำนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ตำรวจใช้ปืนยิงผู้ชุมนุมแขนขาขาด และเสียชีวิต
โคทม อารียา นักสันติวิธี และสื่อบางกลุ่ม คงอยากบอกว่า พันธมิตรฯ ควรจะนั่งเฉยๆ ไม่ตอบโต้ปล่อยให้ตำรวจยิงฝ่ายเดียว ตอนที่ นปก.ยกพลมาบุกมัฆวานฯ ด้วยอาวุธครบมือ พันธมิตรฯ ก็ไม่ควรตอบโต้ และควรยื่นศีรษะให้ นปก.ฟาดกระหน่ำลงมา
สื่อมวลชนบอกว่า พันธมิตรฯ มีปืน เพราะยิงสู้กับวัยรุ่นที่ขับรถพุ่งเข้ามาชน แสดงว่า มีอาวุธและไม่ได้สันติ อหิงสา แต่ไม่พูดว่า ก่อนหน้านั้นสองวันมีคนเอาระเบิดมาขว้างใส่พันธมิตรฯ ปางตายไปหลายคน พวกเขาไม่ประณามคนกระทำ แต่เขาประณามพันธมิตรฯ ที่ไม่สามารถพึ่งหาตำรวจได้และพยายามป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณ เพราะตำรวจได้ปล่อยให้ นปก.ไล่ตีพันธมิตรฯ หัวร้างข้างแตกมาตั้งแต่ชุมนุมวันแรก
พวกเขาไม่เคยพูดเลยว่า พันธมิตรฯ ที่ถูกฝ่ายรัฐบาลกระทืบปางตายที่อุดรธานีจะถูกตำรวจแจ้งข้อหาเป็นจำเลยได้อย่างไร
พวก “กลางลวง” ออกมาแสดงความเห็นเพื่อบั่นทอนและทำลายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ พอพันธมิตรฯ ออกมาตอบโต้ ก็จะเกิดขบวนการกล่าวหาว่า พันธมิตรฯไม่รับฟังความเห็นต่าง และทำลายแนวร่วม ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นแนวร่วมของระบอบทักษิณ
มีคนถามว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเลิกชุมนุมและออกจากทำเนียบรัฐบาลเมื่อไหร่
ผมบอกว่า ให้ไปดูเงื่อนไขตั้งแต่แรกที่เราประกาศชุมนุมใหญ่ คือขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด และคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ
ก่อนนี้ ฯพณฯ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มหาวิทยาลัยที่ไม่อนุญาตให้พันธมิตรฯ ใช้หอประชุมเพื่อการเสวนา) ถึงกับออกมาเรียกร้องให้รัฐใช้กฎหมายอาญาเข้าจัดการกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และต่อมารัฐบาลก็ตอบสนองด้วยการแจ้งข้อหาแกนนำพันธมิตรฯ พร้อมกับพวกรวม 9 คน
ไม่น่าเชื่อว่ามุมมองของนักวิชาการที่สวมทับเครื่องแบบของนักกฎหมายไว้ด้วยจะมองการออกมาเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มหนึ่งที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกับตัวเอง ไม่ใช่ในฐานะผู้มีความเห็นต่าง แต่ในฐานะของอาชญากร
แน่นอนว่า การยึดทำเนียบรัฐบาล จะต้องเผชิญกับข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ ข้อหาการชุมนุมเกินกว่า 10 คน ที่ฝ่ายอำนาจรัฐจะหยิบขึ้นมาตอบโต้ แต่เมื่อเราเห็นว่า การชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรมนี่คือ การปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ เราจะใส่ใจข้อกล่าวหาเล็กๆ น้อยๆ ทำไมกัน
หากติดตามการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ มาตั้งแต่ต้น ไม่พูดแบบตัดตอนหรือสร้างวาทกรรมแบบไร้เหตุผลของนักวิชาการและสื่อมวลชนบางคน หลังพรรคพลังประชาชนได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนมากและได้จัดตั้งรัฐบาล พันธมิตรฯ ประกาศทันทีว่าจะให้โอกาสรัฐบาลในการบริหารประเทศ
กระทั่งรัฐบาลได้มีพฤติการณ์เหิมเกริมแทรกแซงและคุกคามสื่อสารมวลชนรัฐบาลใช้อำนาจในการแทรกแซงและตัดตอนกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ทักษิณพ้นผิด โดยการย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่กำลังดำเนินคดีสำคัญต่อทักษิณ และครอบครัวให้พ้นตำแหน่งอย่างเร่งด่วน
นอกจากนั้นยังมีการกลั่นแกล้งโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรม มีการประกาศจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดของตัวเอง พันธมิตรฯ มองเห็นว่า พฤติกรรมลุแก่อำนาจเช่นนี้ แอบแฝงด้วยวาระซ่อนเร้นในการปกป้องระบอบทักษิณอย่างชัดเจน อันเป็นเหตุทำให้เกิดวิกฤตของบ้านเมืองขึ้นมาใหม่
พันธมิตรฯ จึงออกมาชุมนุมอีกครั้ง
จะเห็นได้ว่า แม้ว่าพันธมิตรฯ จะชุมนุมมากกว่า 160 วันแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้เงื่อนไขเหล่านั้นหายไป แถมระหว่างทางของการชุมนุมรัฐบาลก็ทำผิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนทำให้พันธมิตรฯ หยิบมาเป็นเงื่อนไขในการโจมตี ไม่ว่าจะเป็นกรณีเขาพระวิหารที่ยกพื้นที่ซับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชา เพื่อแลกกับผลประโยชน์ในอ่าวไทย ซึ่งเป็นคำพูดของรัฐมนตรีกัมพูชาเอง หรือประเด็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของนายจักรภพ เพ็ญแข และผลประโยชน์ทับซ้อนของนายสมัคร สุนทรเวช จนพ้นจากตำแหน่ง
และขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ขึ้นจากใต้ดินมาบนดิน
เป้าประสงค์ที่แท้จริงของการชุมนุมของพันธมิตรฯ ไม่เคยเปลี่ยนเลย นอกจากความพยายามของนักวิชาการและสื่อมวลชนที่อิงแอบอยู่กับระบอบทักษิณ แต่ใช้วิชาชีพบังหน้าเท่านั้นที่อ้างว่า พันธมิตรฯ เปลี่ยนเงื่อนไขการชุมนุมไปเรื่อยๆ โดยหยิบเอาประเด็นที่เกิดขึ้นรายทางมาเป็นข้ออ้าง
พันธมิตรฯ ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชุมนุมเลยตั้งแต่วันแรกที่เริ่มชุมนุมคือ 25 พฤษภาคม คือ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และต่อต้านรัฐบาลนอมินี และเงื่อนไขเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ถึงวันนี้
นอกเหนือจากการชุมนุมขับไล่รัฐบาลพร้อมกับการเปิดโปงความชั่วช้าต่างๆ พันธมิตรฯ จึงได้เสนอทางออกด้วยการระดมความคิด เพื่อสร้างรูปธรรมต่อสิ่งที่เรียกว่า “การเมืองใหม่” ที่เป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
ไม่ใช่ขับไล่อย่างเดียว แต่ชี้ทางออกให้ด้วย
ถ้าพันธมิตรฯ ไม่ออกมาเคลื่อนไหวในวันนั้น วันนี้คดีต่างๆ ของทักษิณก็คงจบไปหมดแล้ว ทักษิณไม่มีความผิดเพราะกฎหมายไม่อาจเงื้อมมือไปถึงตัวทักษิณ เพราะความผิดต่างๆ ถูกกระบวนการประชาธิปไตยในสภาฯ ทำให้ความผิดละลายไปหมดสิ้น และไม่ถูกพิจารณาความผิดด้วยหลักการของกฎหมาย
แต่พอพันธมิตรฯ ออกมาและยังยืนหยัดอยู่ ทักษิณก็เลยต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และถูกศาลชี้ว่ามีความผิด นักวิชาการและสื่อมวลชนที่อัญชลี ไพรีรัก เรียกว่า “กลางลวง” ซึ่งมีพิษสงมากกว่า “กลางกลวง” ก็ออกมาเคลื่อนไหวถี่ยิบขึ้น ทั้งในนามของ “สานเสวนา” และ “สันติวิธี”
พวก “กลางลวง” ออกมาทั้งในภาพของสื่อสารมวลชน ผู้ปรารถนาดีต่อสังคม และนักวิชาการ พวกนี้จึงไม่เขอะเขินที่จะเข้าไปไปคุยกับฆาตกรที่เพิ่งสั่งฆ่าประชาชน และพออกพอใจที่ฆาตกรสวมเสื้อที่เขียนว่า “ยุติความรุนแรง” ราวกับว่า เสื้อตัวนั้นได้ไถ่ถอนความชั่วของฆาตกรและปิดบังความชั่วร้ายของฆาตกรไว้อย่างมิดชิดแล้ว
สื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง สวมวิญญาณ “ดาวสยามยุคใหม่” ว่า การรวมพลังของคนจำนวนมากที่เสียสละตัวเองออกมาชุมนุมเป็นร้อยๆ วันนั้น เป็นอุดมการณ์ของความชั่วร้าย พวกเขาพยายามยัดเยียดคนที่ถูกตำรวจยิงเสียชีวิต แขนขาดขาขาดว่า เป็นอาชญากรยัดระเบิดใส่มือของจิตรกรที่มีอุดมการณ์ต่างกับตัวเอง มันเออออกับตำรวจที่บอกว่า คนตายพกระเบิดมาเอง
หรืออ้างว่า พันธมิตรฯ ทำให้ปลาในทำเนียบฯ ตาย สนามหญ้าทำเนียบฯ เสียหาย เกิดกองขยะเน่าเหม็น
นักกฎหมาย และนักสันติวิธี และสื่อมวลชนที่ออกมาเรียกร้องต่อฝ่ายพันธมิตรฯ ไม่เคยตั้งคำถามและทบทวนว่า ใครคือฝ่ายที่ก่อความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นที่เชียงราย มหาสารคาม บุรีรัมย์ สกลนคร และที่กรุงเทพฯ พวกเขาพูดแบบตัดตอนว่า พันธมิตรฯใช้ด้ามธงแทงตำรวจ ขับรถชนตำรวจ ทั้งที่การกระทำนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ตำรวจใช้ปืนยิงผู้ชุมนุมแขนขาขาด และเสียชีวิต
โคทม อารียา นักสันติวิธี และสื่อบางกลุ่ม คงอยากบอกว่า พันธมิตรฯ ควรจะนั่งเฉยๆ ไม่ตอบโต้ปล่อยให้ตำรวจยิงฝ่ายเดียว ตอนที่ นปก.ยกพลมาบุกมัฆวานฯ ด้วยอาวุธครบมือ พันธมิตรฯ ก็ไม่ควรตอบโต้ และควรยื่นศีรษะให้ นปก.ฟาดกระหน่ำลงมา
สื่อมวลชนบอกว่า พันธมิตรฯ มีปืน เพราะยิงสู้กับวัยรุ่นที่ขับรถพุ่งเข้ามาชน แสดงว่า มีอาวุธและไม่ได้สันติ อหิงสา แต่ไม่พูดว่า ก่อนหน้านั้นสองวันมีคนเอาระเบิดมาขว้างใส่พันธมิตรฯ ปางตายไปหลายคน พวกเขาไม่ประณามคนกระทำ แต่เขาประณามพันธมิตรฯ ที่ไม่สามารถพึ่งหาตำรวจได้และพยายามป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณ เพราะตำรวจได้ปล่อยให้ นปก.ไล่ตีพันธมิตรฯ หัวร้างข้างแตกมาตั้งแต่ชุมนุมวันแรก
พวกเขาไม่เคยพูดเลยว่า พันธมิตรฯ ที่ถูกฝ่ายรัฐบาลกระทืบปางตายที่อุดรธานีจะถูกตำรวจแจ้งข้อหาเป็นจำเลยได้อย่างไร
พวก “กลางลวง” ออกมาแสดงความเห็นเพื่อบั่นทอนและทำลายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ พอพันธมิตรฯ ออกมาตอบโต้ ก็จะเกิดขบวนการกล่าวหาว่า พันธมิตรฯไม่รับฟังความเห็นต่าง และทำลายแนวร่วม ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นแนวร่วมของระบอบทักษิณ
มีคนถามว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเลิกชุมนุมและออกจากทำเนียบรัฐบาลเมื่อไหร่
ผมบอกว่า ให้ไปดูเงื่อนไขตั้งแต่แรกที่เราประกาศชุมนุมใหญ่ คือขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด และคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ