xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

บิ๊กจิ๋ว, หมอประเวศ และ...พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย!

เผยแพร่:   โดย: คำนูณ สิทธิสมาน

สถานการณ์ทางการเมือง “ในระบบ” ขณะนี้ไม่มีอะไรใหม่ ทั้งเก่า ทั้งน่าเบื่อหน่าย คิดดูก็แล้วกันล่าสุดวันนี้กลุ่มนายเนวิน ชิดชอบที่ผิดหวังไม่ได้รับบทบาทมากเท่าเดิมประกาศเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลคอยจับตาการทำงานของรัฐมนตรี

ทำให้สถานการณ์การเมือง “นอกระบบ” คือการชุมนุมปักหลักพักค้างยืดเยื้อยาวนานของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่พัฒนาข้อเสนอมาโดยลำดับ และลงท้ายที่ “การเมืองใหม่ – ประชาภิวัฒน์” มีน้ำหนักขึ้นอย่างมหาศาล

แม้จะยังไม่เห็นว่าจะจบลงอย่างไรในเร็ววัน
แต่เชื่อเถอะว่านับจากนี้ไปไม่นาน – การเมืองไทย “ในระบบ” จะไม่หวนกลับไปจุดเดิมอย่างแน่นอน!


ว่าไปแล้ว การเมืองไทยวันนี้แบ่งได้คร่าวๆ เป็น 4 กลุ่มใหญ่

- พรรคเพื่อไทย
- พรรคสุวรรณภูมิ
- พรรคประชาธิปัตย์
- พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย


โดย 3 กลุ่มแรกทำงานในระบบเป็นหลัก กลุ่มสุดท้ายทำงานนอกระบบ

ในกลุ่มแรกที่ผมใช้คำว่าพรรคเพื่อไทยนั้น ก็เพราะเบื้องหลังการจัดรัฐบาลชุดที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธเป็นรองนายกรัฐมนตรี นี้ ได้มองข้ามพรรคพลังประชาชนไปแล้ว แม้ตัวนายสมชายฯ เองก็มีภารกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านไม่ยาวนักเท่านั้น เพราะยอมรับกันว่าพรรคพลังประชาชนถูกยุบแน่ กรรมการบริหารจำนวนหนึ่งรวมทั้งตัวนายสมชายฯ ถูกเว้นวรรค 5 ปีแน่ การสลายกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบก็เพื่อทำให้กลุ่มก๊วนการเมืองที่รวมกันขณะนี้มีความเหนียวแน่นเป็นเอกภาพขึ้นภายใต้การนำหนึ่งเดียว

ซึ่งต่อไปจะปรากฏคราบร่างใหม่ในนามพรรคเพื่อไทย
และนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของพรรคเพื่อไทยจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากอดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ...

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ !

นอกจากพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบแล้ว พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยก็จะไม่รอดด้วยมาตรฐานเดียวกัน นักการเมืองตัวเก๋าๆ จะหายไปอีกอื้อ ทำให้ระดับลูกแถวต้องวิ่งเข้าหาพรรคเพื่อไทยที่ยังมีพลังอยู่ จำนวนหนึ่งอาจจะไปพรรคประชาธิปัตย์ และจำนวนไม่น้อยที่ถูกเตะออกมาจากพรรคเพื่อไทยจะไปรวมกันที่พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ที่มีทุนรอนหนาพอสมควร ว่ากันว่าเขาจะใช้ชื่อให้รู้กันไปเลยว่าใครอยู่ข้างหลัง

พรรคสุวรรณภูมิ!

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าน่าจะเป็นศึก 3 เส้า 3 พรรคการเมืองใหญ่ โอกาสที่ขั้วจะพลิกไปที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์เองว่าจะปรับตัวรับสถานการณ์ใหม่ได้ขนาดไหน

แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าสถานการณ์จะพลิกกลับไปเป็นศึก 2 เส้า 2 พรรคการเมืองใหญ่

เพราะพรรคสุวรรณภูมิมีโอกาสแท้งได้หากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาคดีกล้ายางเป็นโทษแก่นายเนวิน ชิดชอบ!

ถ้าอย่างนั้น... พรรคเพื่อไทยก็จะใหญ่ยิ่งขึ้น และโอกาสของพรรคประชาธิปัตย์จะยิ่งน้อยลง
ถามว่าพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธคิดอย่างไรถึงมาเสี่ยงกับการเสียหมาตอนแก่
ตอบว่าเจ้าของสมญา “บิ๊กจิ๋ว” คนนี้อยากได้โอกาสอีกสักครั้ง และสถานการณ์ในขณะนี้ก็ทำให้เชื่อมั่นว่าตนน่าจะทำให้ดีในระดับสำคัญ ก่อนหน้านี้บิ๊กจิ๋วก็เจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรมาแล้วรอบหนึ่ง แต่แพ้ทางนายสมัคร สุนทรเวช ก็เลยไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีนอมินีรอบแรก

บิ๊กจิ๋วมั่นใจว่าจะทำได้ดีในสองสามเรื่อง

เรื่องหนึ่งก็คือดับไฟใต้ !

จะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ประมาทบิ๊กจิ๋วในเรื่องนี้ไม่ได้ คนคนนี้มีส่วนสำคัญในการดับไฟใต้มาแล้วในช่วงปี 2530 – 2531 มีสายสัมพันธ์กับมุสลิมชีอะห์ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ขณะนี้ก็ได้ยินมาว่ากำลังเจรจากับแกนนำ “ตัวจริง” ที่อยู่เบื้องหลังวิกฤตจังหวัดชายแดนภาคใต้

อีกเรื่องก็คือความสัมพันธ์กับกัมพูชา!!
ถ้าจะมีอีกสักเรื่องก็เห็นจะเป็นเรื่องการปฏิรูปการเมืองการปกครอง และเลยมาถึงเรื่องการพูดคุยกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย

บิ๊กจิ๋วเป็นคนที่มีแนวคิดพื้นฐานว่าระบอบการเมืองปัจจุบันไม่ใช่ประชาธิปไตย หากแต่เป็นเผด็จการรัฐสภา และการสร้างประชาธิปไตยขึ้นมานั้นไม่ใช่ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ด้วยการใช้อำนาจรัฐกำหนดนโยบายประชาธิปไตยก่อนเป็นสำคัญ ประกาศวันนี้ ก็เป็นประชาธิปไตยวันนี้พรุ่งนี้ได้เลย ไม่ต้องรอร่างรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งจะต้องเป็นเรื่องที่ตามมา

แนวความคิดของบิ๊กจิ๋วแม้จะได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร และเคยเป็นธงนำของกลุ่ม “ทหารประชาธิปไตย” ที่มีพล.ต.ระวี วันเพ็ญ, พล.ต.ประสิทธิ์ นวาวัตร และเพื่อนๆ เป็นแกน เมื่อช่วงประมาณปี 2520 กว่าๆ แต่หากคัดเอาสาระ ไม่เอาภาษา ก็จะพบว่าตรงกับแนวคิดของนักคิดนักวิชาการอีกหลายคนที่ศึกษามาคนละทาง

ล่าสุด เราจะพบในงานเขียนของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี!

บทบาทของอาจารย์หมอประเวศฯ ในขณะนี้ถือว่ามาก ล่าสุดอธิการบดี 24 สถาบันก็เสนอให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการเมืองและการปกครอง ให้หมอประเวศฯ เป็นประธาน กรรมการสุดแท้แต่ประธานจะเลือกเข้ามา ให้เวลาทำงาน 120 วัน

ผมเชื่อว่ารัฐบาลจะรับแนวคิดนี้ เพราะ “ระบบคณะกรรมการ” ดูเหมือนดี แต่ไม่มีหลักประกันว่ารัฐบาลจะต้องปฏิบัติตาม แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่น่าจะรับอย่างง่ายๆ

ไม่ใช่ไม่เชื่อหมอประเวศฯ แต่ไม่เชื่อรัฐบาล ไม่เชื่อสภา ว่าจะยอมแก้ไขกฎเกณฑ์ที่ตนเองได้ประโยชน์อยู่

ได้ยินมาว่าบิ๊กจิ๋วฝากความหวังไว้ที่หมอประเวศฯ มาก และระยะหลังท่านก็คุยกันบ่อยขึ้น

อย่าลืมว่าคนทั้งสองน่ะรุ่นเดียวกัน เป็นมิตรสหายกันในระดับหนึ่ง!


ผมเชื่อว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังจะต้องธำรงการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลไว้ ไม่ไปฝากความหวังไว้กับระบบคณะกรรมการไม่ว่าจะมีใครเป็นประธานสถานเดียว

อย่าลืมว่าหมอประเวศฯ เป็นประธาน คพป.มาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2537 ส่งมอบผลงานในเดือนเมษายน 2538 แต่กว่า ส.ส.ร. 1 จะเกิดขึ้นก็ในอีก 1 ปีต่อมา

โดยมีการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเป็นตัวขับเคลื่อนและกดดัน
กำลังโหลดความคิดเห็น