โยนกลองกันวุ่น เรื่องยกเลิกพาสปอร์ตแดง "สมพงษ์" อ้างเรื่องอยู่ที่สำนักนายกฯและเป็นอำนาจของนายกฯจะพิจารณา ขณะที่"สมชาย" ปัดกลับ บอกไม่มีเรื่องนี้ ยันเป็นอำนาจของกระทรวงการต่างประเทศ "สมพงษ์" เผยเตรียมเดินทางไปประชุมยูเอ็น พร้อมคุยนอกรอบกับเขมรเรื่องปราสาทพระวิหาร ยันมานั่งว่าการต่างประเทศไม่ใช่เพื่อสานต่อธุรกิจในเขมรให้แม้ว ด้าน"แม้ว" เจอหมายจับเป็นใบที่ 4 ในคดีหวยบนดิน
เมื่อเวลา 13.00 น.วานนี้ (26ก.ย.) นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมครม. ถึงการเดินทางเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ที่กรุงนิวยอร์ก ว่า ในตอนต้นก็มีความเป็นห่วง เพราะการไปครั้งนี้ยังไม่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งอาจจะทำให้มีปัญหา แต่จากการตรวจสอบข้อกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 176 ระบุว่า กรณีเร่งด่วน มีความสำคัญต่อบ้านเมือง กรณีนี้ก็สามารถไปได้ การประชุมยูเอ็นทุกปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีบทบาทมาโดยตลอด แต่ในปีนี้เผอิญว่ามีการปรับเปลี่ยน ครม. ความขลุกขลักจึงเกิดขึ้น ซึ่งเรามาดูว่า จะแก้ไขได้อย่างไร
ทั้งนี้เรื่องนโยบายก็มีความสำคัญ โดยจะเสนอต่อรัฐสภาในวันที่ 8-9 ต.ค. นี้ดังนั้นหากจะรอจนกว่าแถลงนโยบายเสร็จจะไม่ทันการ เพราะการประชุมยูเอ็นเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย - 2 ต.ค. แต่กำหนดเวลาที่ประเทศไทยจะแถลงบทบาทคือ วันที่ 29 ก.ย. ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศปรับแต่งเนื้อหาที่จะแถลง ไม่ให้เกี่ยวข้องกับนโยบายใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับบทบาทของประเทศไทยในการเป็นประธานอาเซียน จำเป็นที่จะต้องแถลงให้ประเทศอาเซียนทราบในเวทียูเอ็น เกี่ยวกับเรื่องข้อตกลงของอาเซียน ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียน ได้ทำไว้ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่สิงค์โปร์ เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งสานต่อที่ นายสหัส บัณฑิตกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ไปเจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารกับกัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะตอนแรกรัฐบาลกัมพูชา โดยนายฮอนัมฮง รมต.ต่างประเทศกัมพูชา อยากจะนำเรื่องนี้เสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แต่ประเทศอาเซียนหลายประเทศยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวควรจะอยู่ในกลุ่มอาเซียน และตกลงให้ไทยกับกัมพูชา ทำความเข้าใจกันก่อน ซึ่งได้ทำข้อตกลงแล้ว เมื่อครั้งที่ นายเตช บุนนาค เป็นรมว.ต่างประเทศ ทั้งนี้จะนำข้อตกลงดังกล่าว ไปชี้แจงให้อาเซียนทราบในเวทียูเอ็น ทั้งนี้ นายสมพงษ์ จะเดินทางคืนวันที่ 26 ก.ย.
นายสมพงษ์ กล่าวด้วยว่า การไปครั้งนี้ จะมีการเจรจานอกรอบกับ รมต.ต่างประเทศกัมพูชาด้วย ซึ่งขณะนี้ไทยต้องการดำเนินการ 3-4 เรื่อง คือ เรื่องความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา อยากให้แน่นแฟ้นขึ้น และในฐานะประธานอาเซียน จำเป็นต้องพูดคุยกับกัมพูชา ว่าประเทศไทยคงมีความสามารถที่จะจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนได้อย่างแน่นอน
เมื่อถามว่า ไทยมีความพร้อมแค่ไหน หากกัมพูชานำแผนที่เสนอต่อยูเนสโก เรื่องประสาทพระวิหาร นายสมพงษ์ กล่าวว่า เราจะใช้ร่างแบบเดิมตามที่นายเตช บุนนาค ได้หารือกันไว้เป็นแนวทางในการปฎิบัติ ส่วนของชุมชนที่อยู่บนเขาพระวิหาร ก็ต้องทำความเข้าใจแบบที่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ส่วนเรื่องการปักปันเขตแดน ต้องทำต่อแน่นอน ความจริงเรื่องนี้หยุดชะงักมานานแล้ว เพิ่งจะมาเริ่มทำในช่วงนี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงตวามมั่นใจถึงการมารับตำแหน่งนี้จะไม่เสียมวยให้กับเขมรอีก นายสมพงษ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ฝึกมวย
โบ้ยนายกฯ เลิกพาสปอร์ตแดง
นายสมพงษ์ ยังกล่าวถึงจุดยืนต่อการเพิกถอนหนังสือเดินทางทางการทูต (พาสปอร์ตแดง) ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า จะทำตามระเบียบและกฎหมายทุกอย่าง จะเอียงกระเท่เร่ได้อย่างไร ถ้าติดตามเรื่องนี้จะทราบว่า ขณะนี้เรื่องไม่ได้อยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศแล้ว เพราะนายเตช บุนนาค ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว อำนาจตัดสินใจจึงอยู่ที่นายกฯ
ผู้สื่อข่าวแย้งว่า การยกเลิกพาสปอร์ตแดง เป็นอำนาจของกระทรวงการต่างประเทศ นายสมพงษ์ กล่าวว่า แล้วทำไมนายเตช จึงส่งไป จากนั้นผู้สื่อข่าวอาวุโสกล่าวแย้งว่า เป็นการปัดสวะ นายสมพงษ์ จึงกล่าวว่า "อ้าว! แล้วจะให้ผมไปเก็บขยะต่อหรือ" จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องรอให้นายกฯเป็นผู้ตัดสินใจ ใช่หรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า เข้าใจว่ากำลังทำความเข้าใจกันอยู่ ตนเพิ่งรับทราบจากปลัดกระทรวงเมื่อเช้านี้เอง
นายกฯ โบ้ยกลับสมพงษ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวไปถามเรื่องการยกเลิกพาสปอร์ตแดง กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ก็ได้รับคำตอบว่า โดยหลักการแล้วเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้พิจารณา เมื่อผู้สื่อข่าวแย้งว่านายสมพงษ์ ระบุว่า ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักนายกฯแล้ว นายสมชาย กล่าวว่า ยังไม่มี เมื่อถามว่า โดยหลักการแล้วเป็นอำนาจของนายกฯในการตัดสินใจ นายสมชาย ย้ำว่า ไม่มี เมื่อถามว่านายกฯ มีความเห็นส่วนตัวว่าควรที่จะยกเลิก หรือคงไว้ นายสมชาย ตอบว่า ต้องไปถามทางกระทรวงการต่างประเทศก่อน
ยันไม่ใช่คนสานต่อธุรกิจให้ "แม้ว"
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม ในตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ และการเข้ามาอยู่ตรงนี้เพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า คิดว่าไม่มีใครที่เหมาะสมอยู่กระทรวงการต่างประเทศขณะนี้มากกว่า ตนเองก็ตกใจที่มาอยู่ตรงนี้ เมื่อถามว่า เป็นการเข้ามาสืบสานธุรกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กัมพูชาหรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า ให้ตนเข้าไปสืบทอด หรือผลักดันคงไม่ เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่า การเข้ามาดำรงตำแหน่งเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ นายสมพงษ์ กล่าวว่า แน่นอน ไม่งั้นถอยไปแล้ว ไม่พยายามอย่างนี้หรอก ผู้สื่อข่าวถามย้ำอีกว่า ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช่หรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวยืนยันว่า ไม่มี
นายสมพงษ์ กล่าวว่า หลังจากเสร็จการประชุมที่ยูเอ็นแล้ว จะเดินทางไปลอนดอน เพื่อเยี่ยมลูก เมื่อถามว่าไม่กลัวข้อครหาว่าไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณหรือ นายสมพงษ์ กล่าวว่า โถ่!ไปออกบ่อย เขาก็ครหากันอยู่แล้ว เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สบายดีหรือไม่เท่าที่ได้คุย นายสมพงษ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตนยังไม่รู้เลยว่า ใครเป็นคนกำหนดให้ตนมาอยู่ตรงนี้
อย่างไรก็ตาม ตนไม่หนักใจที่ต้องมาเป็นรมว.ต่างประเทศ จะพยายามเต็มที่ ถ้าทำไม่ได้ก็จะถอนสมอ ทดลองอยู่เท่านั้นเอง เมื่อถามอีกว่า จะทดลองนานแค่ไหน นายสมพงษ์ กล่าวว่า 1 ปี
หมายจับทักษิณหนีคดีหวยบนดิน
เวลา 11.00 น. วานนี้ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายรุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ รองประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนทุจริตโครงการออกสลากพิเศษ เลขท้าย 2 และ 3 ตัว ( หวยบนดิน ) พร้อมองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การจำเลย คดีหมายเลขดำที่ อม.1/2551 ที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ แทน คตส. ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, คณะรัฐมนตรี (ครม.) และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 47 คน เป็นจำเลย ในคดีหวยบนดิน
โดย พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 , นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จำเลยที่ 31 และนางสตรี ประทีปะเสน ผู้แทนสำนักงบประมาณ ในฐานะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จำเลยที่ 39 ไม่มาศาล ซึ่งจำเลยที่ 31 และ 39 แจ้งเหตุให้ทราบแล้ว ศาลได้อนุญาตให้จำเลยทั้งสอง เดินทางมาศาลเพื่อสอบคำให้การ ในวันนัดตรวจสอบพยานหลักฐาน ซึ่งกำหนดนัดวันที่ 22–24 ธ.ค.นี้ ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 ทราบนัดโดยชอบแล้ว ไม่มาศาล พฤติการณ์มีเหตุควรน่าสงสัยว่าจะหลบหนี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 และให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของ จำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้นำตัวมาพิจารณาคดี
ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ถูกศาลออกหมายจับไปแล้ว 5 ใบ และถูกยกเลิกหมายจับไป 1 ใบ รวมขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณมีหมายจับทั้งสิ้น 4 ใบ
แพ้ยกแรกคดีฟ้อง"แก้วสรร"
วันเดียวกัน เวลา 13.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 914 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์ นัดฟังคำสั่งในคดีหมายเลขดำ ที่ อ.1985/2550 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มอบอำนาจให้นายถาลัด สมบัติบุญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) บริษัท โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เจ้าของ นสพ.โพสต์ทูเดย์ และกรรมการผู้มีอำนาจ เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท โดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และ พ.ร.บ.การพิมพ์ กรณีจำเลยในฐานะกรรมการคตส. ให้สัมภาษณ์ลงตีพิมพ์ในนสพ.โพสต์ทูเดย์ ทำนองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำทุจริตต่อหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อ บริษัทในเครือชินคอร์ป โดยการแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต ที่เปรียบได้กับการขายชาติ เหตุเกิดวันที่ 8 ก.ค.50
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์แล้ว เห็นว่า การที่จำเลยออกมาแถลงข่าวตามฟ้อง เป็นการทำหน้าที่ในฐานะ คณะกรรมการ คตส. ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องความเสียหายของรัฐ อีกทั้งถ้อยคำในคำแถลงข่าวของจำเลยไม่มีข้อความใดที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
เมื่อเวลา 13.00 น.วานนี้ (26ก.ย.) นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมครม. ถึงการเดินทางเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ที่กรุงนิวยอร์ก ว่า ในตอนต้นก็มีความเป็นห่วง เพราะการไปครั้งนี้ยังไม่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งอาจจะทำให้มีปัญหา แต่จากการตรวจสอบข้อกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 176 ระบุว่า กรณีเร่งด่วน มีความสำคัญต่อบ้านเมือง กรณีนี้ก็สามารถไปได้ การประชุมยูเอ็นทุกปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีบทบาทมาโดยตลอด แต่ในปีนี้เผอิญว่ามีการปรับเปลี่ยน ครม. ความขลุกขลักจึงเกิดขึ้น ซึ่งเรามาดูว่า จะแก้ไขได้อย่างไร
ทั้งนี้เรื่องนโยบายก็มีความสำคัญ โดยจะเสนอต่อรัฐสภาในวันที่ 8-9 ต.ค. นี้ดังนั้นหากจะรอจนกว่าแถลงนโยบายเสร็จจะไม่ทันการ เพราะการประชุมยูเอ็นเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย - 2 ต.ค. แต่กำหนดเวลาที่ประเทศไทยจะแถลงบทบาทคือ วันที่ 29 ก.ย. ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศปรับแต่งเนื้อหาที่จะแถลง ไม่ให้เกี่ยวข้องกับนโยบายใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับบทบาทของประเทศไทยในการเป็นประธานอาเซียน จำเป็นที่จะต้องแถลงให้ประเทศอาเซียนทราบในเวทียูเอ็น เกี่ยวกับเรื่องข้อตกลงของอาเซียน ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียน ได้ทำไว้ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่สิงค์โปร์ เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งสานต่อที่ นายสหัส บัณฑิตกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ไปเจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารกับกัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะตอนแรกรัฐบาลกัมพูชา โดยนายฮอนัมฮง รมต.ต่างประเทศกัมพูชา อยากจะนำเรื่องนี้เสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แต่ประเทศอาเซียนหลายประเทศยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวควรจะอยู่ในกลุ่มอาเซียน และตกลงให้ไทยกับกัมพูชา ทำความเข้าใจกันก่อน ซึ่งได้ทำข้อตกลงแล้ว เมื่อครั้งที่ นายเตช บุนนาค เป็นรมว.ต่างประเทศ ทั้งนี้จะนำข้อตกลงดังกล่าว ไปชี้แจงให้อาเซียนทราบในเวทียูเอ็น ทั้งนี้ นายสมพงษ์ จะเดินทางคืนวันที่ 26 ก.ย.
นายสมพงษ์ กล่าวด้วยว่า การไปครั้งนี้ จะมีการเจรจานอกรอบกับ รมต.ต่างประเทศกัมพูชาด้วย ซึ่งขณะนี้ไทยต้องการดำเนินการ 3-4 เรื่อง คือ เรื่องความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา อยากให้แน่นแฟ้นขึ้น และในฐานะประธานอาเซียน จำเป็นต้องพูดคุยกับกัมพูชา ว่าประเทศไทยคงมีความสามารถที่จะจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนได้อย่างแน่นอน
เมื่อถามว่า ไทยมีความพร้อมแค่ไหน หากกัมพูชานำแผนที่เสนอต่อยูเนสโก เรื่องประสาทพระวิหาร นายสมพงษ์ กล่าวว่า เราจะใช้ร่างแบบเดิมตามที่นายเตช บุนนาค ได้หารือกันไว้เป็นแนวทางในการปฎิบัติ ส่วนของชุมชนที่อยู่บนเขาพระวิหาร ก็ต้องทำความเข้าใจแบบที่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ส่วนเรื่องการปักปันเขตแดน ต้องทำต่อแน่นอน ความจริงเรื่องนี้หยุดชะงักมานานแล้ว เพิ่งจะมาเริ่มทำในช่วงนี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงตวามมั่นใจถึงการมารับตำแหน่งนี้จะไม่เสียมวยให้กับเขมรอีก นายสมพงษ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ฝึกมวย
โบ้ยนายกฯ เลิกพาสปอร์ตแดง
นายสมพงษ์ ยังกล่าวถึงจุดยืนต่อการเพิกถอนหนังสือเดินทางทางการทูต (พาสปอร์ตแดง) ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า จะทำตามระเบียบและกฎหมายทุกอย่าง จะเอียงกระเท่เร่ได้อย่างไร ถ้าติดตามเรื่องนี้จะทราบว่า ขณะนี้เรื่องไม่ได้อยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศแล้ว เพราะนายเตช บุนนาค ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว อำนาจตัดสินใจจึงอยู่ที่นายกฯ
ผู้สื่อข่าวแย้งว่า การยกเลิกพาสปอร์ตแดง เป็นอำนาจของกระทรวงการต่างประเทศ นายสมพงษ์ กล่าวว่า แล้วทำไมนายเตช จึงส่งไป จากนั้นผู้สื่อข่าวอาวุโสกล่าวแย้งว่า เป็นการปัดสวะ นายสมพงษ์ จึงกล่าวว่า "อ้าว! แล้วจะให้ผมไปเก็บขยะต่อหรือ" จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องรอให้นายกฯเป็นผู้ตัดสินใจ ใช่หรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า เข้าใจว่ากำลังทำความเข้าใจกันอยู่ ตนเพิ่งรับทราบจากปลัดกระทรวงเมื่อเช้านี้เอง
นายกฯ โบ้ยกลับสมพงษ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวไปถามเรื่องการยกเลิกพาสปอร์ตแดง กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ก็ได้รับคำตอบว่า โดยหลักการแล้วเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้พิจารณา เมื่อผู้สื่อข่าวแย้งว่านายสมพงษ์ ระบุว่า ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักนายกฯแล้ว นายสมชาย กล่าวว่า ยังไม่มี เมื่อถามว่า โดยหลักการแล้วเป็นอำนาจของนายกฯในการตัดสินใจ นายสมชาย ย้ำว่า ไม่มี เมื่อถามว่านายกฯ มีความเห็นส่วนตัวว่าควรที่จะยกเลิก หรือคงไว้ นายสมชาย ตอบว่า ต้องไปถามทางกระทรวงการต่างประเทศก่อน
ยันไม่ใช่คนสานต่อธุรกิจให้ "แม้ว"
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม ในตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ และการเข้ามาอยู่ตรงนี้เพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า คิดว่าไม่มีใครที่เหมาะสมอยู่กระทรวงการต่างประเทศขณะนี้มากกว่า ตนเองก็ตกใจที่มาอยู่ตรงนี้ เมื่อถามว่า เป็นการเข้ามาสืบสานธุรกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กัมพูชาหรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า ให้ตนเข้าไปสืบทอด หรือผลักดันคงไม่ เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่า การเข้ามาดำรงตำแหน่งเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ นายสมพงษ์ กล่าวว่า แน่นอน ไม่งั้นถอยไปแล้ว ไม่พยายามอย่างนี้หรอก ผู้สื่อข่าวถามย้ำอีกว่า ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช่หรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวยืนยันว่า ไม่มี
นายสมพงษ์ กล่าวว่า หลังจากเสร็จการประชุมที่ยูเอ็นแล้ว จะเดินทางไปลอนดอน เพื่อเยี่ยมลูก เมื่อถามว่าไม่กลัวข้อครหาว่าไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณหรือ นายสมพงษ์ กล่าวว่า โถ่!ไปออกบ่อย เขาก็ครหากันอยู่แล้ว เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สบายดีหรือไม่เท่าที่ได้คุย นายสมพงษ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตนยังไม่รู้เลยว่า ใครเป็นคนกำหนดให้ตนมาอยู่ตรงนี้
อย่างไรก็ตาม ตนไม่หนักใจที่ต้องมาเป็นรมว.ต่างประเทศ จะพยายามเต็มที่ ถ้าทำไม่ได้ก็จะถอนสมอ ทดลองอยู่เท่านั้นเอง เมื่อถามอีกว่า จะทดลองนานแค่ไหน นายสมพงษ์ กล่าวว่า 1 ปี
หมายจับทักษิณหนีคดีหวยบนดิน
เวลา 11.00 น. วานนี้ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายรุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ รองประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนทุจริตโครงการออกสลากพิเศษ เลขท้าย 2 และ 3 ตัว ( หวยบนดิน ) พร้อมองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การจำเลย คดีหมายเลขดำที่ อม.1/2551 ที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ แทน คตส. ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, คณะรัฐมนตรี (ครม.) และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 47 คน เป็นจำเลย ในคดีหวยบนดิน
โดย พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 , นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จำเลยที่ 31 และนางสตรี ประทีปะเสน ผู้แทนสำนักงบประมาณ ในฐานะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จำเลยที่ 39 ไม่มาศาล ซึ่งจำเลยที่ 31 และ 39 แจ้งเหตุให้ทราบแล้ว ศาลได้อนุญาตให้จำเลยทั้งสอง เดินทางมาศาลเพื่อสอบคำให้การ ในวันนัดตรวจสอบพยานหลักฐาน ซึ่งกำหนดนัดวันที่ 22–24 ธ.ค.นี้ ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 ทราบนัดโดยชอบแล้ว ไม่มาศาล พฤติการณ์มีเหตุควรน่าสงสัยว่าจะหลบหนี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 และให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของ จำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้นำตัวมาพิจารณาคดี
ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ถูกศาลออกหมายจับไปแล้ว 5 ใบ และถูกยกเลิกหมายจับไป 1 ใบ รวมขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณมีหมายจับทั้งสิ้น 4 ใบ
แพ้ยกแรกคดีฟ้อง"แก้วสรร"
วันเดียวกัน เวลา 13.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 914 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์ นัดฟังคำสั่งในคดีหมายเลขดำ ที่ อ.1985/2550 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มอบอำนาจให้นายถาลัด สมบัติบุญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) บริษัท โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เจ้าของ นสพ.โพสต์ทูเดย์ และกรรมการผู้มีอำนาจ เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท โดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และ พ.ร.บ.การพิมพ์ กรณีจำเลยในฐานะกรรมการคตส. ให้สัมภาษณ์ลงตีพิมพ์ในนสพ.โพสต์ทูเดย์ ทำนองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำทุจริตต่อหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อ บริษัทในเครือชินคอร์ป โดยการแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต ที่เปรียบได้กับการขายชาติ เหตุเกิดวันที่ 8 ก.ค.50
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์แล้ว เห็นว่า การที่จำเลยออกมาแถลงข่าวตามฟ้อง เป็นการทำหน้าที่ในฐานะ คณะกรรมการ คตส. ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องความเสียหายของรัฐ อีกทั้งถ้อยคำในคำแถลงข่าวของจำเลยไม่มีข้อความใดที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง