แม้จะยังไม่มีการประกาศตัวเลขการส่งออกในปี 2552 อย่างเป็นทางการ แต่ก็พอจะประเมินภาพการส่งออกของไทยในปีหน้าได้ว่าจะยังคงมีอัตราการขยายตัวเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากปีนี้ ที่คาดว่ายอดการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวได้สูงถึง 15-20% หลังจากที่ผ่านมา 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ไทยมีการส่งออกเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 120,057.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวไปแล้ว 24.5%
ในช่วงวันที่ 10-17 ก.ย.ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการส่งออก ได้ใช้โอกาสที่หัวหน้าสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ 56 แห่งทั่วโลก นำคณะผู้แทนการค้าจากประเทศต่างๆ มาเข้าร่วมงานแสดงสินค้าบางกอก เจมส์ ในไทย ทำการหารือเพื่อประเมินผลการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ และประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2552
ผลการหารือได้ข้อสรุปว่า การส่งออกไปยังประเทศต่างๆ จะยังคงมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งตลาดหลัก และตลาดใหม่ ตลาดหลักที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ คาดว่าจะส่งออกได้มูลค่า 21,770 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7% ญี่ปุ่น 21,648 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8% สหภาพยุโรป 22,282 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7% อาเซียน (5 ประเทศ) 29,832 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.1%
ส่วนตลาดใหม่ เช่น ลาตินอเมริกา 6,163 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% ยุโรปตะวันออก 3,097 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30% อินโดจีน 11,135 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% ตะวันออกกลาง 11,100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% แอฟริกา 8,083 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% แอฟริกาใต้ 2,234 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30% เอเชียใต้ 7,052 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% อินเดีย 4,662 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% จีน 21,365 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% ฮ่องกง 10,383 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10% โอเชียเนีย 9,845 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% ออสเตรเลีย 8,924 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% นิวซีแลนด์ 760 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% ไต้หวัน 3,419 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.5% เกาหลี 3,720 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12% เป็นต้น
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า กรมฯ จะนำตัวเลขที่ถูกประเมินโดยทูตพาณิชย์ไปหารือกับภาคเอกชนในกลุ่มต่างๆ อีกครั้งว่าเห็นด้วยกับเป้าหมายที่กรมฯ ประเมินไว้หรือไม่ จะมีการปรับลดหรือปรับเพิ่มตัวเลขหรือไม่ เพราะเป็นผู้ที่ส่งออกจริงๆ จากนั้นจะนำมาประเมินเพื่อจัดทำเป็นเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2552 ต่อไป โดยคาดว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการได้ในเดือนพ.ย.2551 นี้
อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มการส่งออกจะเพิ่มขึ้น ก็มีความจำเป็นที่จะต้องปรับแผนการส่งออกให้ทันเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
โดยจากนี้ไป จะเน้นการให้ความสำคัญกับธุรกิจบริการให้มากขึ้น ซึ่งได้มีการมอบหมายให้ทูตพาณิชย์เร่งหาข้อมูลเชิงลึก ศึกษาลู่ทางการขยายธุรกิจ เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ส่งออกของไทย ขณะเดียวกัน ขอให้ช่วยหาทางสนับสนุนให้ธุรกิจคนไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยให้ศึกษาถึงธุรกิจที่มีโอกาส และให้ช่วยประสานงานให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งการเปิดสาขา การขายแฟรนไชส์ และหาผู้ร่วมลงทุน
นอกจากนี้ จะให้ความสำคัญในการบุกเจาะตลาดการค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ที่ดูแลรับผิดชอบตลาดใหม่ เร่งจัดทำข้อมูลเชิงลึกด้านการค้าและการลงทุน รวมทั้งโอกาสใหม่ๆ แจ้งให้กับผู้ส่งออกของไทย โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะผลักดันให้สัดส่วนการส่งออกระหว่างตลาดหลักกับตลาดใหม่มีสัดส่วน 50/50 ให้ได้
ทั้งนี้ จะมีการเปิดสำนักงานใหม่เพิ่มขึ้นอีก 6 แห่งในปี 2552 ด้วย คือ 1.กรุงอิสลามาบัด ปากีสถาน 2.เมืองอาบูจา ไนจีเรีย 3.เมืองไนโรบี เคนยา 4.เมืองบรูโนสไอเรส อาร์เจนตินา 5.นครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกวางสี 6.นครซีอาน มณฑลส่านซี
ส่วนภารกิจอื่นๆ ทูตพาณิชย์จะต้องเร่งศึกษาข้อมูลด้านโลจิสติกส์ของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้ แล้วให้จัดส่งรายละเอียดมายังส่วนกลาง เพื่อศึกษารูปแบบและหาแนวทางสนับสนุนผู้ประกอบการของไทยต่อไป รวมทั้งขอให้มีการศึกษาและใช้วิธีการใหม่ๆ เช่น การหาตัวแทนจัดซื้อมาซื้อสินค้าในไทย ในการบุกเจาะตลาด โดยเฉพาะตลาดหลัก เพราะการใช้วิธีการแบบเดิมๆ อาจจะไม่ได้ผล ที่สำคัญ ของให้มีการติดตามสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิด หากสินค้าตัวใดมีการส่งออกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขอให้แจ้งส่วนกลางรับทราบ เพื่อที่จะได้หาทางแก้ไขต่อไป
ถือเป็นการวางกรอบและแนวทางในการทำงานไว้ล่วงหน้า เพื่อผลักดันการส่งออกของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และไม่เกิดอาการสะดุดได้อย่างทันท่วงที !
ในช่วงวันที่ 10-17 ก.ย.ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการส่งออก ได้ใช้โอกาสที่หัวหน้าสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ 56 แห่งทั่วโลก นำคณะผู้แทนการค้าจากประเทศต่างๆ มาเข้าร่วมงานแสดงสินค้าบางกอก เจมส์ ในไทย ทำการหารือเพื่อประเมินผลการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ และประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2552
ผลการหารือได้ข้อสรุปว่า การส่งออกไปยังประเทศต่างๆ จะยังคงมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งตลาดหลัก และตลาดใหม่ ตลาดหลักที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ คาดว่าจะส่งออกได้มูลค่า 21,770 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7% ญี่ปุ่น 21,648 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8% สหภาพยุโรป 22,282 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7% อาเซียน (5 ประเทศ) 29,832 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.1%
ส่วนตลาดใหม่ เช่น ลาตินอเมริกา 6,163 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% ยุโรปตะวันออก 3,097 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30% อินโดจีน 11,135 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% ตะวันออกกลาง 11,100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% แอฟริกา 8,083 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% แอฟริกาใต้ 2,234 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30% เอเชียใต้ 7,052 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% อินเดีย 4,662 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% จีน 21,365 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% ฮ่องกง 10,383 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10% โอเชียเนีย 9,845 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% ออสเตรเลีย 8,924 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% นิวซีแลนด์ 760 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% ไต้หวัน 3,419 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.5% เกาหลี 3,720 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12% เป็นต้น
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า กรมฯ จะนำตัวเลขที่ถูกประเมินโดยทูตพาณิชย์ไปหารือกับภาคเอกชนในกลุ่มต่างๆ อีกครั้งว่าเห็นด้วยกับเป้าหมายที่กรมฯ ประเมินไว้หรือไม่ จะมีการปรับลดหรือปรับเพิ่มตัวเลขหรือไม่ เพราะเป็นผู้ที่ส่งออกจริงๆ จากนั้นจะนำมาประเมินเพื่อจัดทำเป็นเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2552 ต่อไป โดยคาดว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการได้ในเดือนพ.ย.2551 นี้
อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มการส่งออกจะเพิ่มขึ้น ก็มีความจำเป็นที่จะต้องปรับแผนการส่งออกให้ทันเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
โดยจากนี้ไป จะเน้นการให้ความสำคัญกับธุรกิจบริการให้มากขึ้น ซึ่งได้มีการมอบหมายให้ทูตพาณิชย์เร่งหาข้อมูลเชิงลึก ศึกษาลู่ทางการขยายธุรกิจ เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ส่งออกของไทย ขณะเดียวกัน ขอให้ช่วยหาทางสนับสนุนให้ธุรกิจคนไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยให้ศึกษาถึงธุรกิจที่มีโอกาส และให้ช่วยประสานงานให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งการเปิดสาขา การขายแฟรนไชส์ และหาผู้ร่วมลงทุน
นอกจากนี้ จะให้ความสำคัญในการบุกเจาะตลาดการค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ที่ดูแลรับผิดชอบตลาดใหม่ เร่งจัดทำข้อมูลเชิงลึกด้านการค้าและการลงทุน รวมทั้งโอกาสใหม่ๆ แจ้งให้กับผู้ส่งออกของไทย โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะผลักดันให้สัดส่วนการส่งออกระหว่างตลาดหลักกับตลาดใหม่มีสัดส่วน 50/50 ให้ได้
ทั้งนี้ จะมีการเปิดสำนักงานใหม่เพิ่มขึ้นอีก 6 แห่งในปี 2552 ด้วย คือ 1.กรุงอิสลามาบัด ปากีสถาน 2.เมืองอาบูจา ไนจีเรีย 3.เมืองไนโรบี เคนยา 4.เมืองบรูโนสไอเรส อาร์เจนตินา 5.นครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกวางสี 6.นครซีอาน มณฑลส่านซี
ส่วนภารกิจอื่นๆ ทูตพาณิชย์จะต้องเร่งศึกษาข้อมูลด้านโลจิสติกส์ของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้ แล้วให้จัดส่งรายละเอียดมายังส่วนกลาง เพื่อศึกษารูปแบบและหาแนวทางสนับสนุนผู้ประกอบการของไทยต่อไป รวมทั้งขอให้มีการศึกษาและใช้วิธีการใหม่ๆ เช่น การหาตัวแทนจัดซื้อมาซื้อสินค้าในไทย ในการบุกเจาะตลาด โดยเฉพาะตลาดหลัก เพราะการใช้วิธีการแบบเดิมๆ อาจจะไม่ได้ผล ที่สำคัญ ของให้มีการติดตามสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิด หากสินค้าตัวใดมีการส่งออกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขอให้แจ้งส่วนกลางรับทราบ เพื่อที่จะได้หาทางแก้ไขต่อไป
ถือเป็นการวางกรอบและแนวทางในการทำงานไว้ล่วงหน้า เพื่อผลักดันการส่งออกของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และไม่เกิดอาการสะดุดได้อย่างทันท่วงที !