"ไอเอ็นจี" ยันสภาพคล่องยังสูง หลังรับอัดฉีดเงินหมื่นล้านยูโรจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ระบุพร้อมขยายลงทุนต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจที่ลงทุนไปแล้วและธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจ คาดปีหน้ารายได้ในทุกธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกขยายตัว 20% ในอนาคตจะเพิ่มเป็น 40% และยังไม่มีแผนปรับลดพนักงาน
นายฮาน วาน เดอร์ นอร์ดา คณะกรรมการบริหารระดับสูง บริษัท ไอเอ็นจีกรุ๊ป เปิดเผยว่า เม็ดเงินที่ทางบริษัทได้รับการอัดฉีดจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์จำนวน 10,000 ล้านยูโรนั้น ในขณะนี้ยังไม่ได้นำไปใช้แต่อย่างไร โดยเม็ดเงินที่เข้ามาดังกล่าวก็เพื่อเสริมสภาพคล่องให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตามหากมีบริษัทไอเอ็นจีในประเทศไหนจะลงทุนเพิ่มและขอเข้ามาก็พร้อมจะช่วยเหลือเต็มที่ ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์ว่าในปีหน้ารายได้ในทุกธุรกิจของบริษัทที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีการขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 20% จากในปีนี้น่าจะขยายตัวอยู่ที่ 10% และในอนาคตคาดว่าจะมีการขยายตัวไปถึง 40% โดยเฉพาะการทำธุรกิจในส่วนของประกันชีวิต
สำหรับภูมิภาคที่สนใจลงทุนมากที่สุด คือ เอเชีย ลาตินอเมริกา เพราะดูจากฐานได้ของประชากรมีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทย จีน อินเดีย มาเลเซีย มีการเติบโตสูงและยังจะลงทุนในประเทศเหล่านี้ต่อไป ส่วนในประเทศญี่ปุ่นจะไม่ลงทุนเพราะตลาดอิ่มตัวแล้ว
ด้านผลประกอบการของไอเอ็นจีในไตรมาส 3 ที่ผ่านมานั้น มีผลขาดทุน 478 ล้านเหรียญยูโร เป็นผลขาดทุนทางบัญชี และเชื่อว่าไม่มีผลต่อการเติบโตในไตรมาส 4
ซึ่งไตรมาส 4 จะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับการขยายงานจากนี้ไปต้องดูตลาดเชิงลึกก่อนที่จะลงทุน เพราะต้องระมัดระวังในการใช้จ่ายในช่วงภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ และวิกฤตการณ์เงินในช่วงนี้ทำให้การดำเนินธุรกิจไม่ง่าย ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า และมุ่งให้บริการกับลูกค้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไอเอ็นจี มีนโยบายการลงทุนระยะยาว ทั้งธุรกิจประกันชีวิต หลักทรัพย์จัดการกองทุน และธนาคาร ดังนั้น จึงไม่ได้คาดหวังว่าในระยะสั้นจะได้รับผลตอบแทนคืนเร็ว มุ่งมั่นที่จะเติบโตในทุกธุรกิจที่ลงทุนไป ทุกครั้งที่ลงทุนจะมีการวางแผนธุรกิจเอาไว้ เช่นเดียวกันกับการเข้าไปลงทุนในธนาคารทหารไทย ซึ่งก็ได้วางแผนมาแล้ว และทุกอย่างก็เดินตามแผนที่วางไว้ และหากต้องการลงทุนเพิ่มเราก็พร้อมที่จะใส่เม็ดเงินเข้าไปใหม่เพื่อให้เติบโตต่อไป
สำหรับธุรกิจประกันชีวิต ในไทย ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในภาวะปัจจุบันไอเอ็นจีได้เตรียมเม็ดเงินลงทุนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหากมีบริษัทไหนสนใจเสนอที่จะให้เข้าไปซื้อบริษัทก็พร้อม แต่ต้องดูแผนและสภาพคล่องของไอเอ็นจีด้วย เพราะการลงทุนต้องหวังผลกำไรและผลประโยชน์ในการทำธุรกิจ แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีแผนเข้าไปซื้อกิจการของใคร และส่วนการลดจำนวนบุคลากรก็ไม่มีนโยบายด้วยเช่นกัน
"ปัญหาทางการเมืองไทยคงเป็นช่วงสั้น ๆ และคงจะดีขึ้นตามลำดับ แต่การลงทุนของไอเอ็นจีนั้นจะเน้นการลงทุนในระยะยาวจึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบอะไร อีกทั้งทางไอเอ็นจียังคงจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย"
นายฮาน วาน เดอร์ นอร์ดา คณะกรรมการบริหารระดับสูง บริษัท ไอเอ็นจีกรุ๊ป เปิดเผยว่า เม็ดเงินที่ทางบริษัทได้รับการอัดฉีดจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์จำนวน 10,000 ล้านยูโรนั้น ในขณะนี้ยังไม่ได้นำไปใช้แต่อย่างไร โดยเม็ดเงินที่เข้ามาดังกล่าวก็เพื่อเสริมสภาพคล่องให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตามหากมีบริษัทไอเอ็นจีในประเทศไหนจะลงทุนเพิ่มและขอเข้ามาก็พร้อมจะช่วยเหลือเต็มที่ ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์ว่าในปีหน้ารายได้ในทุกธุรกิจของบริษัทที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีการขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 20% จากในปีนี้น่าจะขยายตัวอยู่ที่ 10% และในอนาคตคาดว่าจะมีการขยายตัวไปถึง 40% โดยเฉพาะการทำธุรกิจในส่วนของประกันชีวิต
สำหรับภูมิภาคที่สนใจลงทุนมากที่สุด คือ เอเชีย ลาตินอเมริกา เพราะดูจากฐานได้ของประชากรมีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทย จีน อินเดีย มาเลเซีย มีการเติบโตสูงและยังจะลงทุนในประเทศเหล่านี้ต่อไป ส่วนในประเทศญี่ปุ่นจะไม่ลงทุนเพราะตลาดอิ่มตัวแล้ว
ด้านผลประกอบการของไอเอ็นจีในไตรมาส 3 ที่ผ่านมานั้น มีผลขาดทุน 478 ล้านเหรียญยูโร เป็นผลขาดทุนทางบัญชี และเชื่อว่าไม่มีผลต่อการเติบโตในไตรมาส 4
ซึ่งไตรมาส 4 จะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับการขยายงานจากนี้ไปต้องดูตลาดเชิงลึกก่อนที่จะลงทุน เพราะต้องระมัดระวังในการใช้จ่ายในช่วงภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ และวิกฤตการณ์เงินในช่วงนี้ทำให้การดำเนินธุรกิจไม่ง่าย ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า และมุ่งให้บริการกับลูกค้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไอเอ็นจี มีนโยบายการลงทุนระยะยาว ทั้งธุรกิจประกันชีวิต หลักทรัพย์จัดการกองทุน และธนาคาร ดังนั้น จึงไม่ได้คาดหวังว่าในระยะสั้นจะได้รับผลตอบแทนคืนเร็ว มุ่งมั่นที่จะเติบโตในทุกธุรกิจที่ลงทุนไป ทุกครั้งที่ลงทุนจะมีการวางแผนธุรกิจเอาไว้ เช่นเดียวกันกับการเข้าไปลงทุนในธนาคารทหารไทย ซึ่งก็ได้วางแผนมาแล้ว และทุกอย่างก็เดินตามแผนที่วางไว้ และหากต้องการลงทุนเพิ่มเราก็พร้อมที่จะใส่เม็ดเงินเข้าไปใหม่เพื่อให้เติบโตต่อไป
สำหรับธุรกิจประกันชีวิต ในไทย ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในภาวะปัจจุบันไอเอ็นจีได้เตรียมเม็ดเงินลงทุนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหากมีบริษัทไหนสนใจเสนอที่จะให้เข้าไปซื้อบริษัทก็พร้อม แต่ต้องดูแผนและสภาพคล่องของไอเอ็นจีด้วย เพราะการลงทุนต้องหวังผลกำไรและผลประโยชน์ในการทำธุรกิจ แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีแผนเข้าไปซื้อกิจการของใคร และส่วนการลดจำนวนบุคลากรก็ไม่มีนโยบายด้วยเช่นกัน
"ปัญหาทางการเมืองไทยคงเป็นช่วงสั้น ๆ และคงจะดีขึ้นตามลำดับ แต่การลงทุนของไอเอ็นจีนั้นจะเน้นการลงทุนในระยะยาวจึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบอะไร อีกทั้งทางไอเอ็นจียังคงจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย"