ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่านายสมัคร สุนทรเวช ขาดคุณสมบัติและสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผลให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง แต่ให้รักษาการต่อไป ยกเว้นนายสมัคร สุนทรเวช คนเดียวที่การดำรงตำแหน่งสิ้นสุดลงโดยรักษาการไม่ได้
เหตุผลสำคัญไม่ใช่เรื่องการทำอาหารแล้วถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง แต่เป็นเรื่องการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญในสาระสำคัญ คือดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วยังไปเป็นพิธีกรจัดรายการทางโทรทัศน์โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทน อันเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งศาลถือว่าเป็นสาระสำคัญในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
และอีกประการหนึ่งซึ่งสำคัญมากคือศาลวินิจฉัยว่ามีการแสดงพยานหลักฐานที่ขัดกับข้อเท็จจริง พูดง่ายๆ ก็คือทำและแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในศาลว่าไม่ได้รับผลประโยชน์ ซึ่งเป็นข้อสาระสำคัญในคดี อันเป็นความผิดทั้งในเรื่องจรรยาบรรณและกฎหมาย ที่อาจมีโทษทางอาญาอีกด้วย
การสิ้นสุดและการพ้นจากตำแหน่งของนายสมัคร สุนทรเวช จึงไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดหรือเรื่องเล็กน้อยดังที่บางคนเข้าใจและพยายามอ้างหลอกลวงประชาชนอยู่ในขณะนี้
ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากศาลรัฐธรรมนูญพิพากษา พรรคพลังประชาชนก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะสนับสนุนให้นายสมัคร สุนทรเวช กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป
และแกนนำบางคนได้แถลงว่าพรรคพลังประชาชนจะพิสูจน์ให้เห็นว่าระบบตุลาการนั้นทำอะไรพวกเขาไม่ได้ โอ้โห! อะไรกันนักกันหนา มันจะบ้ากันใหญ่แล้ว!
พูดง่าย ๆ ก็คือท่าทีที่จะสนับสนุนให้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งของพรรคพลังประชาชนนั้นคือการตบหน้าสั่งสอนระบบตุลาการของประเทศ ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่ากระทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ว่าทำอะไรพวกเขาไม่ได้
ทั้งเป็นการตบหน้าประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะบรรดานักวิชาการ นักธุรกิจ และผู้นำทางสังคมทั้งปวง ที่คัดค้านไม่ให้นายสมัคร สุนทรเวช กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง โดยอ้างเหตุผลว่าขืนกลับมาบ้านเมืองคงฉิบหายแน่
เป็นการท้าทายพลังของประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่มีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ และก่อความชอบธรรมให้ประชาชนเหล่านั้นชุมนุมคัดค้านและต่อต้านพรรคพลังประชาชนต่อไป
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่านายสมัคร สุนทรเวช นั้นยังมีคดีติดพันพะรุงพะรัง เฉพาะหน้านี้ก็จะมีการพิพากษาคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ซึ่งศาลให้เหตุผลว่าจำเลยกระทำความผิดหลายครั้ง ไม่เข็ดหลาบ จึงต้องลงโทษ
คดีดังกล่าว นายสมัคร สุนทรเวช ได้ขอเลื่อนคดี อ้างว่าจะไปประชุมสหประชาชาติ แต่ขณะนี้คงไปไม่ได้แล้ว และศาลมีคำสั่งนัดฟังคำสั่งในวันที่ 25 กันยายน ศกนี้ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันตัดสินคดี
ผลก็คือนายสมัคร สุนทรเวช ต้องไปฟังคำสั่งศาลในวันที่ 25 กันยายน ศกนี้ และคงได้รับฟังคำพิพากษาพร้อมกันไปด้วย และถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกตามศาลชั้นต้น นายสมัคร สุนทรเวช ก็จะถูกส่งตัวเข้าเรือนจำเพราะคดีนี้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ และไม่มีปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระอันควรแก่การฎีกาได้เลย คดีจึงน่าจะถึงที่สุดเพียงแค่ศาลอุทธรณ์เท่านั้น
นอกจากคดีนี้แล้ว ยังมีคดีที่ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญจ่อวินิจฉัยและตัดสินอยู่อีกหลายเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องก็มีผลให้พ้นจากตำแหน่งได้ทั้งสิ้น
ก็ลองดูถ้าหากพรรคพลังประชาชนยังเชื่อมั่นว่าระบบยุติธรรมของประเทศทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ก็คงจะได้เห็นกัน
ทว่าการลองของกันแบบนี้เป็นการลองของบนความพินาศฉิบหายของประเทศชาติและประชาชน แล้วใครเขาจะยอม?
รูปการณ์เห็นได้ชัดว่าหากดึงดันเอานายสมัคร สุนทรเวช กลับมาอีกครั้งหนึ่ง พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดก็จะถูกขนานนามแบบเดียวกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นพวกพรรคมารที่ล้างผลาญชาติบ้านเมืองโดยไม่มีโอกาสแก้ไขกลับตัวได้อีก
ดีร้ายก็จะถูกกวาดล้างตกเวทีประวัติศาสตร์และถูกฝังกลบไปโดยไม่อาจผุดเกิดได้อีกเลย เพราะคราวนี้คงไม่หน่อมแน้มเหมือนกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นแน่
ได้แต่หวังว่าบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรคจะรู้สึกผิดชอบชั่วดีและรับผิดชอบต่อบ้านเมืองบ้าง และหากเป็นเช่นนั้นก็เป็นอันว่านายสมัคร สุนทรเวช ถึงกาลอวสานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างถาวร
พ้นจากนายสมัคร สุนทรเวช ไปแล้ว พรรคพลังประชาชนได้แสดงท่าทีว่าอาจสนับสนุนนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือไม่ก็นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
แบบนี้ก็เท่ากับหุ่นเชิดตัวหนึ่งล้มลงไปแล้วเอาหุ่นเชิดตัวใหม่เข้ามาอีก มีหรือที่วิกฤตของชาติบ้านเมืองจะผ่านพ้นไปด้วยดีได้
ดังนั้นข่าวคราวที่จะสับเปลี่ยนให้นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรีจึงเกิดขึ้นและอย่าได้ดูแคลนฝีมือบริหารจัดการของพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ เป็นอันขาด
นายบรรหาร ศิลปอาชา อาจเป็นนายกรัฐมนตรีได้ด้วย 2 แนวทาง คือ เป็นโดยอาศัย ส.ส. ในขั้วเก่า ซึ่งก็คงไม่พ้นจากความเป็นหุ่นเชิดอีก แต่คงจะเจือจางลงไปบ้าง หรือไม่ก็เปลี่ยนขั้วไปเชิญเอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาล
แบบนี้ดีกว่าแบบที่นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคพลังประชาชนหน่อยหนึ่ง แต่วิกฤตก็ไม่สิ้นสุดลงไปได้ นายบรรหาร ศิลปอาชา จะถูกบี้ ถูกเหยียบ และถูกกดดันจากทั้งสองฟากฝั่ง รวมทั้งแรงกดดันจากนอกสภาอีกทางหนึ่งด้วย
รวมความว่าทั้งสองแนวทางของนายบรรหาร ศิลปอาชา แม้จะดีกว่านายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคพลังประชาชนหน่อยหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจแก้ไขวิกฤตได้ กลับจะเผชิญศึกหนักถึง 3 เส้าและต้องยุบสภาในที่สุด
เหลือแนวทางสุดท้ายคือบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรคจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งแม้จะมีเสียงปริ่มน้ำสักหน่อย แต่คงมีเสถียรภาพและดีกว่าแบบอื่น ๆ
พรรคประชาธิปัตย์นั้นเล่นการเมืองเป็น ประเล้าประโลมให้บรรยากาศคลี่คลายวิกฤตเป็น และใช้อำนาจรัฐเป็น แม้เสียงจะปริ่มน้ำก็คงสามารถพารัฐนาวาต่อไปได้ และเหตุวิกฤตก็น่าจะสิ้นสุดลงได้โดยเร็ว
ระยะเวลาอีก 6 เดือนจากนี้ไปเป็นสมัยสามัญนิติบัญญัติ ไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จึงมีเวลาพอที่จะตั้งตัวและบริหารราชการแผ่นดินให้ราบรื่นได้
ถ้าพวกนักการเมืองเลือกจะแจวสยามรัฐนาวาต่อไป ก็ต้องช่วยกันอุ้มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าเลือกจะจอดก็จับขั้วมั่วกันไว้ตามเดิมนั่นแหละ.
เหตุผลสำคัญไม่ใช่เรื่องการทำอาหารแล้วถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง แต่เป็นเรื่องการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญในสาระสำคัญ คือดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วยังไปเป็นพิธีกรจัดรายการทางโทรทัศน์โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทน อันเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งศาลถือว่าเป็นสาระสำคัญในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
และอีกประการหนึ่งซึ่งสำคัญมากคือศาลวินิจฉัยว่ามีการแสดงพยานหลักฐานที่ขัดกับข้อเท็จจริง พูดง่ายๆ ก็คือทำและแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในศาลว่าไม่ได้รับผลประโยชน์ ซึ่งเป็นข้อสาระสำคัญในคดี อันเป็นความผิดทั้งในเรื่องจรรยาบรรณและกฎหมาย ที่อาจมีโทษทางอาญาอีกด้วย
การสิ้นสุดและการพ้นจากตำแหน่งของนายสมัคร สุนทรเวช จึงไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดหรือเรื่องเล็กน้อยดังที่บางคนเข้าใจและพยายามอ้างหลอกลวงประชาชนอยู่ในขณะนี้
ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากศาลรัฐธรรมนูญพิพากษา พรรคพลังประชาชนก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะสนับสนุนให้นายสมัคร สุนทรเวช กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป
และแกนนำบางคนได้แถลงว่าพรรคพลังประชาชนจะพิสูจน์ให้เห็นว่าระบบตุลาการนั้นทำอะไรพวกเขาไม่ได้ โอ้โห! อะไรกันนักกันหนา มันจะบ้ากันใหญ่แล้ว!
พูดง่าย ๆ ก็คือท่าทีที่จะสนับสนุนให้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งของพรรคพลังประชาชนนั้นคือการตบหน้าสั่งสอนระบบตุลาการของประเทศ ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่ากระทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ว่าทำอะไรพวกเขาไม่ได้
ทั้งเป็นการตบหน้าประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะบรรดานักวิชาการ นักธุรกิจ และผู้นำทางสังคมทั้งปวง ที่คัดค้านไม่ให้นายสมัคร สุนทรเวช กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง โดยอ้างเหตุผลว่าขืนกลับมาบ้านเมืองคงฉิบหายแน่
เป็นการท้าทายพลังของประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่มีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ และก่อความชอบธรรมให้ประชาชนเหล่านั้นชุมนุมคัดค้านและต่อต้านพรรคพลังประชาชนต่อไป
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่านายสมัคร สุนทรเวช นั้นยังมีคดีติดพันพะรุงพะรัง เฉพาะหน้านี้ก็จะมีการพิพากษาคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ซึ่งศาลให้เหตุผลว่าจำเลยกระทำความผิดหลายครั้ง ไม่เข็ดหลาบ จึงต้องลงโทษ
คดีดังกล่าว นายสมัคร สุนทรเวช ได้ขอเลื่อนคดี อ้างว่าจะไปประชุมสหประชาชาติ แต่ขณะนี้คงไปไม่ได้แล้ว และศาลมีคำสั่งนัดฟังคำสั่งในวันที่ 25 กันยายน ศกนี้ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันตัดสินคดี
ผลก็คือนายสมัคร สุนทรเวช ต้องไปฟังคำสั่งศาลในวันที่ 25 กันยายน ศกนี้ และคงได้รับฟังคำพิพากษาพร้อมกันไปด้วย และถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกตามศาลชั้นต้น นายสมัคร สุนทรเวช ก็จะถูกส่งตัวเข้าเรือนจำเพราะคดีนี้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ และไม่มีปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระอันควรแก่การฎีกาได้เลย คดีจึงน่าจะถึงที่สุดเพียงแค่ศาลอุทธรณ์เท่านั้น
นอกจากคดีนี้แล้ว ยังมีคดีที่ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญจ่อวินิจฉัยและตัดสินอยู่อีกหลายเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องก็มีผลให้พ้นจากตำแหน่งได้ทั้งสิ้น
ก็ลองดูถ้าหากพรรคพลังประชาชนยังเชื่อมั่นว่าระบบยุติธรรมของประเทศทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ก็คงจะได้เห็นกัน
ทว่าการลองของกันแบบนี้เป็นการลองของบนความพินาศฉิบหายของประเทศชาติและประชาชน แล้วใครเขาจะยอม?
รูปการณ์เห็นได้ชัดว่าหากดึงดันเอานายสมัคร สุนทรเวช กลับมาอีกครั้งหนึ่ง พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดก็จะถูกขนานนามแบบเดียวกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นพวกพรรคมารที่ล้างผลาญชาติบ้านเมืองโดยไม่มีโอกาสแก้ไขกลับตัวได้อีก
ดีร้ายก็จะถูกกวาดล้างตกเวทีประวัติศาสตร์และถูกฝังกลบไปโดยไม่อาจผุดเกิดได้อีกเลย เพราะคราวนี้คงไม่หน่อมแน้มเหมือนกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นแน่
ได้แต่หวังว่าบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรคจะรู้สึกผิดชอบชั่วดีและรับผิดชอบต่อบ้านเมืองบ้าง และหากเป็นเช่นนั้นก็เป็นอันว่านายสมัคร สุนทรเวช ถึงกาลอวสานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างถาวร
พ้นจากนายสมัคร สุนทรเวช ไปแล้ว พรรคพลังประชาชนได้แสดงท่าทีว่าอาจสนับสนุนนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือไม่ก็นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
แบบนี้ก็เท่ากับหุ่นเชิดตัวหนึ่งล้มลงไปแล้วเอาหุ่นเชิดตัวใหม่เข้ามาอีก มีหรือที่วิกฤตของชาติบ้านเมืองจะผ่านพ้นไปด้วยดีได้
ดังนั้นข่าวคราวที่จะสับเปลี่ยนให้นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรีจึงเกิดขึ้นและอย่าได้ดูแคลนฝีมือบริหารจัดการของพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ เป็นอันขาด
นายบรรหาร ศิลปอาชา อาจเป็นนายกรัฐมนตรีได้ด้วย 2 แนวทาง คือ เป็นโดยอาศัย ส.ส. ในขั้วเก่า ซึ่งก็คงไม่พ้นจากความเป็นหุ่นเชิดอีก แต่คงจะเจือจางลงไปบ้าง หรือไม่ก็เปลี่ยนขั้วไปเชิญเอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาล
แบบนี้ดีกว่าแบบที่นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคพลังประชาชนหน่อยหนึ่ง แต่วิกฤตก็ไม่สิ้นสุดลงไปได้ นายบรรหาร ศิลปอาชา จะถูกบี้ ถูกเหยียบ และถูกกดดันจากทั้งสองฟากฝั่ง รวมทั้งแรงกดดันจากนอกสภาอีกทางหนึ่งด้วย
รวมความว่าทั้งสองแนวทางของนายบรรหาร ศิลปอาชา แม้จะดีกว่านายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคพลังประชาชนหน่อยหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจแก้ไขวิกฤตได้ กลับจะเผชิญศึกหนักถึง 3 เส้าและต้องยุบสภาในที่สุด
เหลือแนวทางสุดท้ายคือบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรคจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งแม้จะมีเสียงปริ่มน้ำสักหน่อย แต่คงมีเสถียรภาพและดีกว่าแบบอื่น ๆ
พรรคประชาธิปัตย์นั้นเล่นการเมืองเป็น ประเล้าประโลมให้บรรยากาศคลี่คลายวิกฤตเป็น และใช้อำนาจรัฐเป็น แม้เสียงจะปริ่มน้ำก็คงสามารถพารัฐนาวาต่อไปได้ และเหตุวิกฤตก็น่าจะสิ้นสุดลงได้โดยเร็ว
ระยะเวลาอีก 6 เดือนจากนี้ไปเป็นสมัยสามัญนิติบัญญัติ ไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จึงมีเวลาพอที่จะตั้งตัวและบริหารราชการแผ่นดินให้ราบรื่นได้
ถ้าพวกนักการเมืองเลือกจะแจวสยามรัฐนาวาต่อไป ก็ต้องช่วยกันอุ้มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าเลือกจะจอดก็จับขั้วมั่วกันไว้ตามเดิมนั่นแหละ.