“นปก.ก็เป็นเนื้อเดียวกับรัฐบาล” รศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สรุปความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) กับรัฐบาลสมัคร
ภาพการระดมพล นปก. เคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐบาลสมัคร พร้อมประกาศเดินหน้าชนกับกลุ่มพันธมิตรฯ เวลานี้ โดยมีเครือข่ายบริวารอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง จึงเป็นเรื่องที่ไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมายเท่าใดนัก
เช่นเดียวกันกับท่าทีของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ไล่ลงมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อย ซึ่งเคยลุยปราบม็อบ นปก.หน้าบ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ทั้งยังประกาศกร้าวเอาผิดแกนนำนปก. จาบจ้วงหมิ่นสถานบันกษัตริย์อย่างเด็ดขาด ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุที่ว่า ณ วันนี้ นปก. คือรัฐบาล และรัฐบาล คือ นปก.
ย้อนรอย ตร.ลุยม็อบ นปก.
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา กลุ่ม นปก.ซึ่งได้น้ำเลี้ยงอุดมสมบูรณ์จากกลุ่มอำนาจเก่า ได้ออกอาละวาดรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในยุคคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อย่างถึงพริกถึงขิงด้วยสารพัดกลยุทธ์ สารพัดรูปแบบ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสุรยุทธ์ว่าเป็นขิงแก่ที่หน่อมแน้ม
แต่ความถ่อย ความเถื่อนสุดๆ จนได้ฉายาแก๊งนรกป่วนกรุง (นปก.) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2550 กลุ่ม นปก. ระดมพลชุมนุมบริเวณหน้าบ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
แกนนำของกลุ่ม นปก. ขณะนั้น ประกอบด้วย "วีระ มุสิกพงศ์ - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - จตุพร พรหมพันธ์ - จักรภพ เพ็ญแข" ปลุกระดมมวลชน พาประชาชนเข้าบุกบ้านสี่เสาเทเวศน์ ด่าทอประธานองคมนตรีด้วยถ้อยวาจาหยาบคาย และสุดท้ายนำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงทำลายข้าวของทรัพย์สินทางราชการ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องนำกำลังเข้าสลายม็อบ
เหตุการณ์สลายม็อบ นปก. ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรง ทั้งทุบตีด้วยกระบอง ยิงแก๊สน้ำตา มุ่งเป้าต้องสลายให้ได้
การเข้าสลายม็อบ นปก.ครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ารุกจู่โจมยิงแก๊สน้ำตา ถึง 3 ครั้ง เนื่องจากกลุ่ม นปก.ป่วนเมืองต่อสู้ ต่อต้านโดยการทำลายทรัพย์สินหน้าบ้านพลเอกเปรม ใช้อิฐตัวหนอนปาหัวตำรวจ ใช้เหล็กใช้ไม้เข้าห้ำหั่น เพื่อต้านกำลังตำรวจที่เข้าสลาย แต่ในที่สุด กลุ่มผู้ชุมนุม นปก.ก็พ่ายแพ้แตกกระเจิดกระเจิงไปกันคนละทิศละทาง
เหตุการณ์ครั้งนั้น มีเลือดตกยางออกจากทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกลุ่มม็อบ นปก. ที่มีผู้บาดเจ็บ และถูกจับกุมจำนวนหลายคน
ขั้วอำนาจเปลี่ยน ตำรวจเปลี่ยน
ต่อมา หลังการเลือกตั้งใหญ่เมื่อเดือนธันวาคม 2550 ขั้วอำนาจการเมืองเปลี่ยนมือจากคณะรัฐประหารสู่กำมือนักเลือกตั้ง โดยพรรคพลังประชาชน ร่างทรงของพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบไป ครองเสียงข้างมากได้จัดตั้งรัฐบาล พร้อมๆ กับการตบรางวัลอย่างงามให้กับแกนนำ นปก. ชุดที่นำม็อบลุยหน้าบ้านประธานองคมนตรี ไม่ว่าจะเป็น จักรภพ เพ็ญแข หรือ ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์
ณ วันนี้ วันเวลาผันผ่านมากว่าขวบปี กลุ่มนปก.มวลชนของกลุ่มอำนาจเก่า กลายเป็นฝ่ายรัฐบาล หากเปรียบรัฐบาลสมัคร เป็นรัฐนาวา กลุ่มเถื่อน นปก. เปรียบเหมือนโจรที่นั่งเรือ ซึ่งมีฝีพายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ทรงเกียรติ พายเรือให้โจร นปก.นั่ง
บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหลาย คงจะลืมเลือนเหตุการณ์ที่เคยเข้าสลายม็อบ นปก.ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ถึงได้ยืนยิ้มกริ่ม สดชื่น กับดอกไม้ได้ที่รับจากกลุ่มม็อบถ่อย นปก.ผู้ที่เคยสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองเมื่อกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาหมดสิ้น
การเข้าสลายการชุมนุมของ นปก. หน้าบ้าน"ป๋าเปรม"นายตำรวจระดับสูงใน สตช. บช.น. ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า กระทำเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ เนื่องจาก นปก.สร้างความแตกแยกในสังคม พูดจาจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดังนั้นตำรวจจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเฉียบขาด
แต่เพียงแค่ช่วงข้ามคืนวัน กาลเวลาเปลี่ยนแปลง รัฐบาลสามารถเปลี่ยนนายตำรวจระดับสูงในวงการสีกาสีให้สนองตอบตนเองได้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ตำรวจหันกระบอกปืน หันหัวยิงแก๊สน้ำตาหน้า บช.น. ยิงเข้าสลายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ อีกทั้งยังบุกเข้าทุบตี ผลักดัน ประชาชนมือเปล่าในทำเนียบรัฐบาลที่ต่อต้านรัฐบาลคอร์รัปชั่น ไม่โปร่งใส ขับไล่นายกรัฐมนตรี "สมัคร สุนทรเวช" ออกจากตำแหน่ง พร้อมกับตะโกนบอกกล่าวให้คนทั้งชาติรับรู้ถึงพฤติกรรม การกระทำที่บ้าระห่ำ ย่ำยีทั้งเกียรติ ศักดิ์ศรี ทำร้ายร่างกาย และจิตใจ จนประชาชนได้รับบาดเจ็บหัวแตก แขนหัก เบ้าตาแดงแสบจากควันแก๊สน้ำตา
นี่หรือคือตำรวจในยุค "พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ" นี่หรือคืออำนาจเต็มที่ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" มท. 1 ร่วมกันประสานงานสนอง "หมักหอกหัก" ผู้แต่งตั้งบุคคลทั้งสองดูแลการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และนี่คือคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า ใครเป็นใหญ่ในขณะนี้ ตำรวจก็สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามกระแสขาขึ้นขาลงได้ทันที หรือว่าผู้ถือกฎหมายสามารถใช้อำนาจทำร้ายประชาชนได้ทุกเมื่อ
เชคบิลคดี นปก.หมิ่นสุดอืด
ไม่เพียงหันมาเล่นงานกลุ่มผู้ชุมนุมในนามพันธมิตรฯ ตามคำสั่งของ “นายใหญ่” ผู้มองเห็นกลุ่มพันธมิตรฯเป็นศัตรูทางการเมืองเท่านั้น ในส่วนการเอาผิดกับกลุ่ม นปก.ซึ่งกลายมาเป็นพรรคพวกเดียวกัน ก็ดำเนินไปอย่างล่าช้า
แม้ว่าที่ผ่านมา ตำรวจจะตามล้างตามเช็ดกับการที่ นปก.หมิ่นเบื้องสูง โดยออกหมายจับสมุน นปก. ที่ปราศรัยโจมตี พูดจาจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูง ไม่ว่าจะเป็น "วีระ มุสิกพงศ์ " ที่ปราศรัยที่ท้องสนามหลวงหมิ่มองค์รัชทายาท
นางสาวดารณี เชิงชาญศิลปกุล "ดา ตอร์ปิโด" แกนนำกลุ่มสภาประชาชนสนามหลวง ที่ปราศรัยพาดพิงก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 50
ต่อมา 15 ส.ค. 51 ออกหมายจับ “นางบุญยืน ประเสริฐยิ่ง” แกนนำกลุ่มประชาธิปไตยก้าวหน้า แก๊ง นปก. ที่ขึ้นปราศรัยที่เวทีท้องสนามหลวง ซึ่งในการปราศรัย มีบางช่วงกล่าวพาดพิงถึงองค์รัชทายาท เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
แต่สำหรับ "ชูชีพ ชีววิสุทธิ์" ประธานชมรมพิทักษ์รัฐ คนสนิท "ทักษิณ ชินวัตร" ถือว่าสุดอืดกว่าตำรวจจะคลอดหมายจับ เมื่อเร็ว ๆ นี้
นายชูชีพ ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือที่เปลี่ยนมาเป็น แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) บริเวณท้องสนามหลวง เมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 มิ.ย.2551 มีถ้อยคำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างต่อเนื่องตลอดการปราศรัยนานกว่า 1 ชั่วโมง รวมถึงคำพูดของ นายชูชีพ ที่พูดผ่านทางรายการวิทยุชุมชนเวทีทวงคืนประชาธิปไตยและการนำมาเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ตด้วย
ส่วน "จักรภพ เพ็ญแข" ที่จำต้องออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยเพราะเหตุพูดจาจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นกัน แต่คดีหมิ่นพระมหากษัตรย์ของนายจักรภพ จะมีจุดจบอย่างไร เวลานี้เรื่องยังคงค้างอยู่ที่คณะกรรมการระดับ ตร. ที่มี "วงกต มณีรินทร์" เพื่อนรักของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานพิจารณาชี้ขาดว่า จะให้ติดคุกหรือลอยนวล
รัฐบาลปลุกผี นปก.ป่วนกรุง
30 ส.ค. 51 เวลา 14.00 น. กลุ่ม นปก.ประมาณ 200 คน นัดรวมพลกันที่ท้องสนามหลวง เพื่อออกมาปั่นป่วน สร้างความแยกแตกในมวลชน เดินหน้าสร้างกระแสต้านพันธมิตรฯ โดยได้ขู่จะเคลื่อนพลมารุกรานสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แต่ต่อมาก็เป็นแค่การพ่นน้ำลายเท่านั้น
เวลา 21.00 น. นปก.ระดมคนกว่าหมื่น โดยรัฐบาลจัดฉากวิ่งเทิดพระเกียรติบังหน้า แท้จริงขนอันธพาลเตรียมชนพันธมิตร หลัง " 3 เกลอหัวเกรียน" ออกมาจ้อในรายการ"ความจริงวันนี้" ที่สถานี NBT ปลุกระดมคนนปก.อีกครั้ง ขณะที่ตำรวจ รีบปฏิเสธเสียงแข็งไม่เคยทำร้ายพันธมิตรฯ และจะไม่มีการสลายการชุมนุมที่รุนแรง
31 ส.ค. 51 เวลา 09.00 น. นปก. กว่าพันโผล่ไปหน้ารัฐสภา มอบดอกไม้ให้นายตำรวจระดับสูง สนับสนุนให้ "หมักหอกหัก" นั่งทำลายชาติต่อไป พร้อมทั้ง นปก. ที่ตำรวจเคยสลายหน้าบ้านป๋าเปรม ทั้งถูกตีหัวแตก และโดนแก๊สน้ำตา ก็ได้มอบดอกไม้ให้"โกวิท -สุรพล" ที่ยืนทำหน้าระรื่นรับดอกไม้ที่นปก.มาให้กำลังใจ อยู่บนคราบน้ำตาของพันธมิตรฯผู้รักชาติ
ความอหังการ ที่ นปก.นรกป่วนกรุง ออกมาสร้างความฮึกเหิมในครั้งนี้ยังไม่หยุดการกระทำที่สร้างความร้าวฉาน ความแตกแยกในสังคม 1 ก.ย. 51 เวลา 09.10 น. "พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์" รองผบ.ตร.พูดถึงเรื่องเหตุระเบิด ป้อมตำรวจจราจรบริเวณเชิงสะพานตรงข้ามคุรุสภา โดยฟันธงว่าเป็นมือที่สาม ที่หวังผลทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้แอะใจ หรือ สงสัย กลุ่ม นปก.แม้แต่น้อย
ท้ายสุด ความเป็นธรรม จะมีเกิดขึ้นในบ้านเมืองหรือไม่ ยังต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป ผู้บริสุทธิ์จะต้องสูญเสียเลือดเนื้อ แลกกับความถูกต้องกันอีกมากน้อยแค่ไหน ตำรวจผู้กุมอำนาจจะเลือกพายเรือให้โจร(นปก.)นั่ง ท่ามกลางกระแสต่อต้านผู้นำประเทศ จะเลือกข้างถูกหรือข้างที่ผิด ตามที่ "สมัคร สุนทรเวช" พูดชี้นำสร้างความแตกแยกในประเทศชาติมากขึ้น ....กันยาทมิฬ นี้รู้แน่!
ภาพการระดมพล นปก. เคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐบาลสมัคร พร้อมประกาศเดินหน้าชนกับกลุ่มพันธมิตรฯ เวลานี้ โดยมีเครือข่ายบริวารอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง จึงเป็นเรื่องที่ไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมายเท่าใดนัก
เช่นเดียวกันกับท่าทีของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ไล่ลงมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อย ซึ่งเคยลุยปราบม็อบ นปก.หน้าบ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ทั้งยังประกาศกร้าวเอาผิดแกนนำนปก. จาบจ้วงหมิ่นสถานบันกษัตริย์อย่างเด็ดขาด ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุที่ว่า ณ วันนี้ นปก. คือรัฐบาล และรัฐบาล คือ นปก.
ย้อนรอย ตร.ลุยม็อบ นปก.
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา กลุ่ม นปก.ซึ่งได้น้ำเลี้ยงอุดมสมบูรณ์จากกลุ่มอำนาจเก่า ได้ออกอาละวาดรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในยุคคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อย่างถึงพริกถึงขิงด้วยสารพัดกลยุทธ์ สารพัดรูปแบบ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสุรยุทธ์ว่าเป็นขิงแก่ที่หน่อมแน้ม
แต่ความถ่อย ความเถื่อนสุดๆ จนได้ฉายาแก๊งนรกป่วนกรุง (นปก.) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2550 กลุ่ม นปก. ระดมพลชุมนุมบริเวณหน้าบ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
แกนนำของกลุ่ม นปก. ขณะนั้น ประกอบด้วย "วีระ มุสิกพงศ์ - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - จตุพร พรหมพันธ์ - จักรภพ เพ็ญแข" ปลุกระดมมวลชน พาประชาชนเข้าบุกบ้านสี่เสาเทเวศน์ ด่าทอประธานองคมนตรีด้วยถ้อยวาจาหยาบคาย และสุดท้ายนำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงทำลายข้าวของทรัพย์สินทางราชการ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องนำกำลังเข้าสลายม็อบ
เหตุการณ์สลายม็อบ นปก. ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรง ทั้งทุบตีด้วยกระบอง ยิงแก๊สน้ำตา มุ่งเป้าต้องสลายให้ได้
การเข้าสลายม็อบ นปก.ครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ารุกจู่โจมยิงแก๊สน้ำตา ถึง 3 ครั้ง เนื่องจากกลุ่ม นปก.ป่วนเมืองต่อสู้ ต่อต้านโดยการทำลายทรัพย์สินหน้าบ้านพลเอกเปรม ใช้อิฐตัวหนอนปาหัวตำรวจ ใช้เหล็กใช้ไม้เข้าห้ำหั่น เพื่อต้านกำลังตำรวจที่เข้าสลาย แต่ในที่สุด กลุ่มผู้ชุมนุม นปก.ก็พ่ายแพ้แตกกระเจิดกระเจิงไปกันคนละทิศละทาง
เหตุการณ์ครั้งนั้น มีเลือดตกยางออกจากทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกลุ่มม็อบ นปก. ที่มีผู้บาดเจ็บ และถูกจับกุมจำนวนหลายคน
ขั้วอำนาจเปลี่ยน ตำรวจเปลี่ยน
ต่อมา หลังการเลือกตั้งใหญ่เมื่อเดือนธันวาคม 2550 ขั้วอำนาจการเมืองเปลี่ยนมือจากคณะรัฐประหารสู่กำมือนักเลือกตั้ง โดยพรรคพลังประชาชน ร่างทรงของพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบไป ครองเสียงข้างมากได้จัดตั้งรัฐบาล พร้อมๆ กับการตบรางวัลอย่างงามให้กับแกนนำ นปก. ชุดที่นำม็อบลุยหน้าบ้านประธานองคมนตรี ไม่ว่าจะเป็น จักรภพ เพ็ญแข หรือ ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์
ณ วันนี้ วันเวลาผันผ่านมากว่าขวบปี กลุ่มนปก.มวลชนของกลุ่มอำนาจเก่า กลายเป็นฝ่ายรัฐบาล หากเปรียบรัฐบาลสมัคร เป็นรัฐนาวา กลุ่มเถื่อน นปก. เปรียบเหมือนโจรที่นั่งเรือ ซึ่งมีฝีพายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ทรงเกียรติ พายเรือให้โจร นปก.นั่ง
บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหลาย คงจะลืมเลือนเหตุการณ์ที่เคยเข้าสลายม็อบ นปก.ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ถึงได้ยืนยิ้มกริ่ม สดชื่น กับดอกไม้ได้ที่รับจากกลุ่มม็อบถ่อย นปก.ผู้ที่เคยสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองเมื่อกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาหมดสิ้น
การเข้าสลายการชุมนุมของ นปก. หน้าบ้าน"ป๋าเปรม"นายตำรวจระดับสูงใน สตช. บช.น. ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า กระทำเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ เนื่องจาก นปก.สร้างความแตกแยกในสังคม พูดจาจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดังนั้นตำรวจจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเฉียบขาด
แต่เพียงแค่ช่วงข้ามคืนวัน กาลเวลาเปลี่ยนแปลง รัฐบาลสามารถเปลี่ยนนายตำรวจระดับสูงในวงการสีกาสีให้สนองตอบตนเองได้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ตำรวจหันกระบอกปืน หันหัวยิงแก๊สน้ำตาหน้า บช.น. ยิงเข้าสลายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ อีกทั้งยังบุกเข้าทุบตี ผลักดัน ประชาชนมือเปล่าในทำเนียบรัฐบาลที่ต่อต้านรัฐบาลคอร์รัปชั่น ไม่โปร่งใส ขับไล่นายกรัฐมนตรี "สมัคร สุนทรเวช" ออกจากตำแหน่ง พร้อมกับตะโกนบอกกล่าวให้คนทั้งชาติรับรู้ถึงพฤติกรรม การกระทำที่บ้าระห่ำ ย่ำยีทั้งเกียรติ ศักดิ์ศรี ทำร้ายร่างกาย และจิตใจ จนประชาชนได้รับบาดเจ็บหัวแตก แขนหัก เบ้าตาแดงแสบจากควันแก๊สน้ำตา
นี่หรือคือตำรวจในยุค "พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ" นี่หรือคืออำนาจเต็มที่ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" มท. 1 ร่วมกันประสานงานสนอง "หมักหอกหัก" ผู้แต่งตั้งบุคคลทั้งสองดูแลการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และนี่คือคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า ใครเป็นใหญ่ในขณะนี้ ตำรวจก็สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามกระแสขาขึ้นขาลงได้ทันที หรือว่าผู้ถือกฎหมายสามารถใช้อำนาจทำร้ายประชาชนได้ทุกเมื่อ
เชคบิลคดี นปก.หมิ่นสุดอืด
ไม่เพียงหันมาเล่นงานกลุ่มผู้ชุมนุมในนามพันธมิตรฯ ตามคำสั่งของ “นายใหญ่” ผู้มองเห็นกลุ่มพันธมิตรฯเป็นศัตรูทางการเมืองเท่านั้น ในส่วนการเอาผิดกับกลุ่ม นปก.ซึ่งกลายมาเป็นพรรคพวกเดียวกัน ก็ดำเนินไปอย่างล่าช้า
แม้ว่าที่ผ่านมา ตำรวจจะตามล้างตามเช็ดกับการที่ นปก.หมิ่นเบื้องสูง โดยออกหมายจับสมุน นปก. ที่ปราศรัยโจมตี พูดจาจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูง ไม่ว่าจะเป็น "วีระ มุสิกพงศ์ " ที่ปราศรัยที่ท้องสนามหลวงหมิ่มองค์รัชทายาท
นางสาวดารณี เชิงชาญศิลปกุล "ดา ตอร์ปิโด" แกนนำกลุ่มสภาประชาชนสนามหลวง ที่ปราศรัยพาดพิงก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 50
ต่อมา 15 ส.ค. 51 ออกหมายจับ “นางบุญยืน ประเสริฐยิ่ง” แกนนำกลุ่มประชาธิปไตยก้าวหน้า แก๊ง นปก. ที่ขึ้นปราศรัยที่เวทีท้องสนามหลวง ซึ่งในการปราศรัย มีบางช่วงกล่าวพาดพิงถึงองค์รัชทายาท เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
แต่สำหรับ "ชูชีพ ชีววิสุทธิ์" ประธานชมรมพิทักษ์รัฐ คนสนิท "ทักษิณ ชินวัตร" ถือว่าสุดอืดกว่าตำรวจจะคลอดหมายจับ เมื่อเร็ว ๆ นี้
นายชูชีพ ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือที่เปลี่ยนมาเป็น แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) บริเวณท้องสนามหลวง เมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 มิ.ย.2551 มีถ้อยคำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างต่อเนื่องตลอดการปราศรัยนานกว่า 1 ชั่วโมง รวมถึงคำพูดของ นายชูชีพ ที่พูดผ่านทางรายการวิทยุชุมชนเวทีทวงคืนประชาธิปไตยและการนำมาเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ตด้วย
ส่วน "จักรภพ เพ็ญแข" ที่จำต้องออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยเพราะเหตุพูดจาจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นกัน แต่คดีหมิ่นพระมหากษัตรย์ของนายจักรภพ จะมีจุดจบอย่างไร เวลานี้เรื่องยังคงค้างอยู่ที่คณะกรรมการระดับ ตร. ที่มี "วงกต มณีรินทร์" เพื่อนรักของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานพิจารณาชี้ขาดว่า จะให้ติดคุกหรือลอยนวล
รัฐบาลปลุกผี นปก.ป่วนกรุง
30 ส.ค. 51 เวลา 14.00 น. กลุ่ม นปก.ประมาณ 200 คน นัดรวมพลกันที่ท้องสนามหลวง เพื่อออกมาปั่นป่วน สร้างความแยกแตกในมวลชน เดินหน้าสร้างกระแสต้านพันธมิตรฯ โดยได้ขู่จะเคลื่อนพลมารุกรานสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แต่ต่อมาก็เป็นแค่การพ่นน้ำลายเท่านั้น
เวลา 21.00 น. นปก.ระดมคนกว่าหมื่น โดยรัฐบาลจัดฉากวิ่งเทิดพระเกียรติบังหน้า แท้จริงขนอันธพาลเตรียมชนพันธมิตร หลัง " 3 เกลอหัวเกรียน" ออกมาจ้อในรายการ"ความจริงวันนี้" ที่สถานี NBT ปลุกระดมคนนปก.อีกครั้ง ขณะที่ตำรวจ รีบปฏิเสธเสียงแข็งไม่เคยทำร้ายพันธมิตรฯ และจะไม่มีการสลายการชุมนุมที่รุนแรง
31 ส.ค. 51 เวลา 09.00 น. นปก. กว่าพันโผล่ไปหน้ารัฐสภา มอบดอกไม้ให้นายตำรวจระดับสูง สนับสนุนให้ "หมักหอกหัก" นั่งทำลายชาติต่อไป พร้อมทั้ง นปก. ที่ตำรวจเคยสลายหน้าบ้านป๋าเปรม ทั้งถูกตีหัวแตก และโดนแก๊สน้ำตา ก็ได้มอบดอกไม้ให้"โกวิท -สุรพล" ที่ยืนทำหน้าระรื่นรับดอกไม้ที่นปก.มาให้กำลังใจ อยู่บนคราบน้ำตาของพันธมิตรฯผู้รักชาติ
ความอหังการ ที่ นปก.นรกป่วนกรุง ออกมาสร้างความฮึกเหิมในครั้งนี้ยังไม่หยุดการกระทำที่สร้างความร้าวฉาน ความแตกแยกในสังคม 1 ก.ย. 51 เวลา 09.10 น. "พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์" รองผบ.ตร.พูดถึงเรื่องเหตุระเบิด ป้อมตำรวจจราจรบริเวณเชิงสะพานตรงข้ามคุรุสภา โดยฟันธงว่าเป็นมือที่สาม ที่หวังผลทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้แอะใจ หรือ สงสัย กลุ่ม นปก.แม้แต่น้อย
ท้ายสุด ความเป็นธรรม จะมีเกิดขึ้นในบ้านเมืองหรือไม่ ยังต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป ผู้บริสุทธิ์จะต้องสูญเสียเลือดเนื้อ แลกกับความถูกต้องกันอีกมากน้อยแค่ไหน ตำรวจผู้กุมอำนาจจะเลือกพายเรือให้โจร(นปก.)นั่ง ท่ามกลางกระแสต่อต้านผู้นำประเทศ จะเลือกข้างถูกหรือข้างที่ผิด ตามที่ "สมัคร สุนทรเวช" พูดชี้นำสร้างความแตกแยกในประเทศชาติมากขึ้น ....กันยาทมิฬ นี้รู้แน่!