"ทักษิณ ชินวัตร" ปิดตำนานการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลอังกฤษ เมื่อล่าสุดกลุ่มทุน อาบูดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป ฟอร์ ดีเวลอปเมนท์ ออกแถลงการณ์บ่ายวานนี้ (ตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ว่าบรรลุการเจรจาซื้อหุ้นสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้เรียบร้อยแล้ว กลุ่มทุนจากอาหรับได้ใช้เงิน 150 ล้านปอนด์ หรือ 9,750 ล้านบาทซื้อสโมสร "เรือใบสีฟ้า" จากอดีตผู้นำแห่งประเทศไทย
ความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับข่าวการขายสโมสร "เรือใบสีฟ้า" ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นั้นสำนักข่าวเอเอฟพี ได้ยืนยันว่ากลุ่มนักลงทุนเศรษฐีน้ำมันจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประสบความสำเร็จในการเจรจาซื้อสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของอังกฤษเรียบร้อยแล้ว เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
โดยกลุ่ม ดิ อาบู ดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป ฟอร์ ดีเวลอปเมนท์ หรือ (ADUG) ได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการถึงความสำเร็จในการเจรจากับสโมสร "เรือใบสีฟ้า" และเผยว่าพร้อมจะดัน ดร.ซูไลมาน อัล ฟาห์อิม ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานบริหารของไฮดรา พรอเพอร์ตี เข้าไปเป็นบอร์ดบริหาร "นี่คือเรื่องที่ยอดเยี่ยมสำหรับสโมสรและอาบู ดาบี"
ดร.อัล ฟาห์อิม ประกาศกร้าวถึงเป้าหมายในการทำทีมทันทีว่า "เป้าหมายของเราไม่มีอะไรซับซ้อน คือการทำให้ แมนฯซิตี กลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน พรีเมียร์ ลีก และเริ่มตั้งแต่ในฤดูกาลนี้ก็คือการพาทีมจบอันดับ 4 ของตารางพรีเมียร์ลีกให้จงได้"
นอกจากนี้ยังมีการระบุด้วยว่ากลุ่มผู้บริหารใหม่จะเข้ามาแก้ปัญหาทุกอย่างภายในสโมสร รวมทั้งภาระหนี้หรือเงินค้างจ่ายใดๆ นอกจากนี้ในอนาคตยังพร้อมจะดึงตัวซูเปอร์สตาร์จากทั่วโลกเข้ามาเสริมทีมอีกด้วย ส่วนประธานสโมสรคนเดิมอย่าง ทักษิณ ชินวัตรนั้นจะได้เก้าอี้ประธานกิตติมศักดิ์ปลอบใจ แต่จะไม่มีอำนาจในการบริหารใดๆทั้งสิ้น
สำหรับรายละเอียดนั้นได้มีการเปิดเผยว่ากลุ่มนักลงทุนอาราเบียนทำการเจรจากับสโมสรแมนฯซิตี้ มาเป็นเวลาถึง 3 สัปดาห์แล้ว และมาเสร็จสิ้นสมบูรณ์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาตามเวลาของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยก่อนหน้านั้นเมื่อการเจรจาดูท่าว่าคืบหน้าไปด้วยดี สโมสรก็เริ่มมีการดึงตัวนักฟุตบอลเข้ามาเสริมทัพก่อนตลาดปิด อาทิ ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ ด้วยราคา 9 ล้านปอนด์
ดร.อัล ฟาห์อิม ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "เราในฐานะตัวแทนกลุ่ม อาบู ดาบี มีความต้องการที่จะเข้าไปพัฒนาหรือลงทุนด้านการกีฬาในหลายๆรูปแบบ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับเยาวชนยุคใหม่ในชาติของเรา เพื่อแสดงออกถึงความเป็นอยู่และอนาคตที่ยอดเยี่ยมของชาวอาหรับ เราพร้อมจะเปิดโลกใหม่ในทุกประเภทกีฬา เพื่อเป็นทางเลือกแห่งการเรียนรู้ทั้งด้านสภาพร่างกายและจิตใจของเยาวชน"
"หลังจากนี้เราจะทำการเปิดเผยแผนการตลาด การลงทุนโฆษณาทางโทรทัศน์และทุกช่องทางในการประชาสัมพันธ์สโมสร และพร้อมจะใช้เม็ดเงินในการการปรับปรุงอุปกรณ์ต่างๆในสโมสรให้เป็นสปอร์ต ซิตี้อันทันสมัย รวมถึงการซื้อผู้เล่นฝีเท้าดีๆด้วย"
โดย แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ ได้เปิดเผยว่าเศรษฐีจากตะวันออกกลาง กลุ่ม The Abu Dhabi United Group for Development ใช้เงินในการเข้าเทคโอเวอร์ "เรือใบสีฟ้า" ครั้งนี้ทั้งสิ้นถึง 150 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 9,750 ล้านบาท การได้นักลงทุนใหม่เข้ามาครั้งนี้จะทำให้สโมสรแมนฯซิตี้ สามารถขยายฐานทางการเงิน ถึงขนาดมีข่าวว่าโค้งสุดท้ายในตลาดซื้อขายนักเตะนั้น "เรือใบสีฟ้า" ท้าชิงตัว ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ จากทีมร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เลยทีเดียว เพราะต้องการให้ทีมยกระดับเพื่อไปถึงเป้าหมายนั่นคือการได้เล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ภายใน 2 ฤดูกาลนับจากนี้
แกร์รี คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันให้รายละเอียดว่า "เราไม่จำเป็นต้องปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่า สโมสรเราต้องการผู้ร่วมลงทุนเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ผมยังไม่สามารถพูดอะไรมากกว่านี้เนื่องจากเหตุผลด้านกฎหมาย
การตัดสินใจขายสโมสรครั้งนี้ ถือเป็นการปิดฉากตำนานคนไทยเป็นเจ้าของฟุตบอลอังกฤษครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเทกโอเวอร์แมนฯซิตี ด้วยเงิน 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,360 ล้านบาท) เมื่อฤดูร้อนปีที่ผ่านมา โดยตลอดเส้นทางนั้นได้สร้างความฮือฮา ด้วยการจ้างอดีตโค้ชทีมชาติอังกฤษอย่าง สเวน โกรัน อีริคส์สัน มาทำงาน รวมทั้งจ้างมาประชาสัมพันธ์การเซ็นสัญญา 3 นักเตะไทยอย่าง เกียรติประวุฒิ สายแวว, ธีรศิลป์ แดงดา และ สุรีย์ สุขะ ถึงบ้านเกิด เพื่อขายฝันว่านักบอลไทยสามารถเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ เป็นการสร้างภาพเพื่อหวังผลทางการเมืองพร้อมกับการเก็งกำไร ท่ามกลางข่าวฟอกเงินกระฉ่อนทั้งในและต่างประเทศ หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาในประเทศไทย
รายงานข่าวระบุว่าแม้ช่วงที่ทักษิณเป็นประธาน สโมสรจะใช้เงินซื้อตัวนักเตะชั้นยอดไปกว่า 60 ล้านปอนด์ แต่เป็นเงินงบประมาณสโมสร ดังนั้นการขายครั้งนี้ทักษิณฟันกำไรเกือบ 100%
ความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับข่าวการขายสโมสร "เรือใบสีฟ้า" ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นั้นสำนักข่าวเอเอฟพี ได้ยืนยันว่ากลุ่มนักลงทุนเศรษฐีน้ำมันจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประสบความสำเร็จในการเจรจาซื้อสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของอังกฤษเรียบร้อยแล้ว เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
โดยกลุ่ม ดิ อาบู ดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป ฟอร์ ดีเวลอปเมนท์ หรือ (ADUG) ได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการถึงความสำเร็จในการเจรจากับสโมสร "เรือใบสีฟ้า" และเผยว่าพร้อมจะดัน ดร.ซูไลมาน อัล ฟาห์อิม ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานบริหารของไฮดรา พรอเพอร์ตี เข้าไปเป็นบอร์ดบริหาร "นี่คือเรื่องที่ยอดเยี่ยมสำหรับสโมสรและอาบู ดาบี"
ดร.อัล ฟาห์อิม ประกาศกร้าวถึงเป้าหมายในการทำทีมทันทีว่า "เป้าหมายของเราไม่มีอะไรซับซ้อน คือการทำให้ แมนฯซิตี กลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน พรีเมียร์ ลีก และเริ่มตั้งแต่ในฤดูกาลนี้ก็คือการพาทีมจบอันดับ 4 ของตารางพรีเมียร์ลีกให้จงได้"
นอกจากนี้ยังมีการระบุด้วยว่ากลุ่มผู้บริหารใหม่จะเข้ามาแก้ปัญหาทุกอย่างภายในสโมสร รวมทั้งภาระหนี้หรือเงินค้างจ่ายใดๆ นอกจากนี้ในอนาคตยังพร้อมจะดึงตัวซูเปอร์สตาร์จากทั่วโลกเข้ามาเสริมทีมอีกด้วย ส่วนประธานสโมสรคนเดิมอย่าง ทักษิณ ชินวัตรนั้นจะได้เก้าอี้ประธานกิตติมศักดิ์ปลอบใจ แต่จะไม่มีอำนาจในการบริหารใดๆทั้งสิ้น
สำหรับรายละเอียดนั้นได้มีการเปิดเผยว่ากลุ่มนักลงทุนอาราเบียนทำการเจรจากับสโมสรแมนฯซิตี้ มาเป็นเวลาถึง 3 สัปดาห์แล้ว และมาเสร็จสิ้นสมบูรณ์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาตามเวลาของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยก่อนหน้านั้นเมื่อการเจรจาดูท่าว่าคืบหน้าไปด้วยดี สโมสรก็เริ่มมีการดึงตัวนักฟุตบอลเข้ามาเสริมทัพก่อนตลาดปิด อาทิ ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ ด้วยราคา 9 ล้านปอนด์
ดร.อัล ฟาห์อิม ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "เราในฐานะตัวแทนกลุ่ม อาบู ดาบี มีความต้องการที่จะเข้าไปพัฒนาหรือลงทุนด้านการกีฬาในหลายๆรูปแบบ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับเยาวชนยุคใหม่ในชาติของเรา เพื่อแสดงออกถึงความเป็นอยู่และอนาคตที่ยอดเยี่ยมของชาวอาหรับ เราพร้อมจะเปิดโลกใหม่ในทุกประเภทกีฬา เพื่อเป็นทางเลือกแห่งการเรียนรู้ทั้งด้านสภาพร่างกายและจิตใจของเยาวชน"
"หลังจากนี้เราจะทำการเปิดเผยแผนการตลาด การลงทุนโฆษณาทางโทรทัศน์และทุกช่องทางในการประชาสัมพันธ์สโมสร และพร้อมจะใช้เม็ดเงินในการการปรับปรุงอุปกรณ์ต่างๆในสโมสรให้เป็นสปอร์ต ซิตี้อันทันสมัย รวมถึงการซื้อผู้เล่นฝีเท้าดีๆด้วย"
โดย แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ ได้เปิดเผยว่าเศรษฐีจากตะวันออกกลาง กลุ่ม The Abu Dhabi United Group for Development ใช้เงินในการเข้าเทคโอเวอร์ "เรือใบสีฟ้า" ครั้งนี้ทั้งสิ้นถึง 150 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 9,750 ล้านบาท การได้นักลงทุนใหม่เข้ามาครั้งนี้จะทำให้สโมสรแมนฯซิตี้ สามารถขยายฐานทางการเงิน ถึงขนาดมีข่าวว่าโค้งสุดท้ายในตลาดซื้อขายนักเตะนั้น "เรือใบสีฟ้า" ท้าชิงตัว ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ จากทีมร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เลยทีเดียว เพราะต้องการให้ทีมยกระดับเพื่อไปถึงเป้าหมายนั่นคือการได้เล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ภายใน 2 ฤดูกาลนับจากนี้
แกร์รี คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันให้รายละเอียดว่า "เราไม่จำเป็นต้องปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่า สโมสรเราต้องการผู้ร่วมลงทุนเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ผมยังไม่สามารถพูดอะไรมากกว่านี้เนื่องจากเหตุผลด้านกฎหมาย
การตัดสินใจขายสโมสรครั้งนี้ ถือเป็นการปิดฉากตำนานคนไทยเป็นเจ้าของฟุตบอลอังกฤษครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเทกโอเวอร์แมนฯซิตี ด้วยเงิน 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,360 ล้านบาท) เมื่อฤดูร้อนปีที่ผ่านมา โดยตลอดเส้นทางนั้นได้สร้างความฮือฮา ด้วยการจ้างอดีตโค้ชทีมชาติอังกฤษอย่าง สเวน โกรัน อีริคส์สัน มาทำงาน รวมทั้งจ้างมาประชาสัมพันธ์การเซ็นสัญญา 3 นักเตะไทยอย่าง เกียรติประวุฒิ สายแวว, ธีรศิลป์ แดงดา และ สุรีย์ สุขะ ถึงบ้านเกิด เพื่อขายฝันว่านักบอลไทยสามารถเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ เป็นการสร้างภาพเพื่อหวังผลทางการเมืองพร้อมกับการเก็งกำไร ท่ามกลางข่าวฟอกเงินกระฉ่อนทั้งในและต่างประเทศ หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาในประเทศไทย
รายงานข่าวระบุว่าแม้ช่วงที่ทักษิณเป็นประธาน สโมสรจะใช้เงินซื้อตัวนักเตะชั้นยอดไปกว่า 60 ล้านปอนด์ แต่เป็นเงินงบประมาณสโมสร ดังนั้นการขายครั้งนี้ทักษิณฟันกำไรเกือบ 100%