xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยเรื่อง(อดีต)นายกฯ เศรษฐี/อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

"จริงๆ นะพี่ ลองสังเกตดูสิ เวลาคุยกับพวกที่เชียร์ทักษิณนะ พวกนี้ส่วนใหญ่เวลาคุยด้วยมันมักจะยกเหตุผลแล้วก็มองแต่เรื่องที่มันเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ หรือว่าผลประโยชน์อะไรซะเป็นส่วนมากทั้งนั้นแหละ..."

เสียงรุ่นน้องในออฟฟิศแสดงความคิดเห็นบอกเล่าขึ้นมาในวงสนทนาค่ำคืนหนึ่งระหว่างที่เรากำลังกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งผมนั้นค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่าอยู่พอสมควร

ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะผมมีอคติกับอดีตนายกฯ คนนี้ หรือว่าเป็นเพราะตัวผมเองทำงานอยู่ในองค์กรที่ต้องทำกิจกรรมดังกล่าวนะครับ หากแต่ผมรู้สึกว่าชั่วระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีที่คนๆ นี้เข้ามามีบทบาทในการบริหารบ้านเมือง เข้ามาเป็นบุคคลที่สื่อฯ ต้องนำเสนอข่าว อย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกและสัมผัสได้ด้วยตัวของตนเอง-จากการบอกเล่า-จากพฤติกรรมของคนรอบข้างก็คือ นับวันนานเข้าๆ ประชาชนส่วนใหญ่ของบ้านเราต่างก็มีพฤติกรรมและมีทัศนะคติที่ว่า คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คนที่มีคุณค่าแก่การยกย่อง คนที่น่าไหว้ คนที่ควรจะให้ความเคารพนบนอบก็คือคนที่สามารถหาเงินได้เยอะๆ, คนที่มีบ้านหลังใหญ่มีคนรับใช้หลายๆ คน, คนที่มีตำแหน่งที่จะต้องมีรถตำรวจขับนำหน้า หรือคนที่เดินไปไหนจะต้องมีบอดี้การ์ดเดินคุม ฯ

...โดยไม่สนใจเลยว่าคนๆ นั้นได้สิ่งเหล่านี้มาด้วยกลวิธีการเช่นใด หากรู้สึกหรือคิดแต่เพียงว่าวันใดวันหนึ่งตนจะได้รับอานิสงส์จากฐานะ ตำแหน่งและความร่ำรวยเงินทองของคนๆ นั้นบ้าง

"มีรัฐบาลไหนบ้างที่ไม่โกง นี่เขาโกงแต่เขาก็ยังทำงาน..."

ประโยคยอดฮิตของใครหลายคนซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึง "ความเห็นแก่ตัว" ของผู้พูดที่มองถึงเรื่องของผลประโยชน์ที่พึงได้มากกว่าเรื่องของระเบียบ ข้อบังคับ กฏกติกา หรือเรื่องของความซื่อสัตย์ ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่าเราจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากของคนในสังคมเมืองพุทธที่สอนถึงเรื่องคุณธรรม ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

ถามจริงๆ นะครับว่า มันน่าภาคภูมิใจกันนักหรือครับกับเศรษฐีคนหนึ่งที่ร่ำรวยขึ้นมาทั้งๆ ที่รู้ว่าคนอื่นๆ กำลังจะหายนะ

มันน่ายกย่องกันนักกันหนาหรือไงครับกับการที่คนๆ หนึ่งคิดได้ว่าจะเอา(เศษ)เงินที่ได้มาจากการมอมเมาประชาชนในเรื่องของหวยมาเป็นทุนให้เด็กไปเรียนเมืองนอก

หรือมันน่ากราบไหว้น่าชื่นชมกันมากนักหรือไงครับกับไอ้คนที่มันมีความคิดที่จะหาเงินจากการทำบ่อน ทำคาสิโน ทั้งๆ ที่ต่างก็รู้กันดีว่านอกจากการพนันจะไม่เคยทำให้คนเจริญแล้ว สถานที่ตรงนี้มันยังคือแหล่งฟอกเงินชั้นดีอีกต่างหาก (ถ้าเป็นเงินที่สะอาด เป็นเงินที่บริสุทธิ์ ใครเขาจะเอาไปฟอกกันทำไม?)

เรียนตรงๆ ว่าก่อน ที่ฟุตบอลยูโรฯ ปีนี้จะเตะนัดชิงชนะเลิศ ผมรู้สึกทุเรศมากๆ กับข่าวที่พนักงานของไปรษณีย์แห่งหนึ่งทั้งชาย-หญิงออกมาแต่งชุดนักบอลแล้วเต้นเย้วๆ ชูป้ายรณรงค์ให้คนส่งไปรษณียบัตรเพื่อทายว่าทีมชาติอะไรจะได้แชมป์กันให้เยอะๆ

ทำไมเราไม่มาลองคิดกันง่ายๆ นะครับว่า ต่อให้มีคนหนึ่งที่เป็นคนขยันสุดๆ เป็นคนเก่งเป็นคนฉลาดมากๆ แต่ถ้าคนๆ นั้นไม่เห็นแก่ตัว มีแต่ความเสียสละ ในใจมีแต่ความเอื้อเฟื้อ มีความพอเพียงในชีวิต ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ทะเยอทะยาน ทำธุรกิจไม่หวังกำไรมากมาย หาเงินมาได้ส่วนหนึ่งก็บริจาคช่วยองค์กรเด็กกำพร้า คนแก่ คนป่วย หรือที่มันเกี่ยวกับการศึกษาสิ่งแวดล้อมต่างๆ เพราะสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติสิ่งแวดล้อมจริงๆ ถามว่าโอกาสที่คนๆ นี้จะเป็นเจ้าของหุ้น มีเงินเก็บสะสมระดับที่จะไปยืนอยู่ในฐานะของคนที่พอจะถูกเรียกได้ว่าเศรษฐี-มหาเศรษฐีที่มีเงินเป็นร้อยล้าน พันล้านชนิดที่ใช้จ่ายในเรื่องจำเป็นสักสิบชาติก็ยังไม่หมดได้หรือไม่

ใครที่นับถือยกย่องคนรวย ใครที่คิดว่าคนพวกนี้รวยแล้วจะไม่โกง รวยแล้วจะใจดี รวยแล้วพอแล้ว รวยแล้วจะแบ่งเงินมาให้กินให้ใช้ หรือว่าเขาสามารถเอาสติปัญญามาช่วยชาติ มาบริหารบ้านเมือง แน่ใจแล้วหรือครับ?

พอดีผมได้มีโอกาสอ่านคอลัมน์ "หมายเหตุประเทศไทย" ของ "คุณลมเปลี่ยนทิศ" ในนสพ.ไทยรัฐฯ เมื่อวันเสาร์ที่ 20 มิถุนายนแล้วเห็นว่าเกี่ยวกันอยู่บ้างจึงขอยกมาเล่าสู่กันฟัง

เป็นเรื่องที่น่าแปลกนะครับที่แม้ในรอบปีสองปีนี้จะมีวิกฤติมากมายเกิดขึ้นทว่ากลับมีคนรวยเพิ่มมากขึ้นในโลกนี้

แล้วเคยสงสัยกันมั้ยครับว่าเศรษฐี มหาเศรษฐี อภิมหาเศรษฐีส่วนใหญ่เขาเอาเงินที่มีอยู่ไปทำอะไร?

ในคอลัมน์ดังกล่าวมีคำตอบครับว่า ส่วนใหญ่คนพวกนี้จะเอาเงินไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ย และลงทุนในตราสารหนี้ที่มีผลตอบแทนประจำซึ่งสูงถึงร้อยละ 44 ของเงินที่มีอยู่ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ธุรกิจไพรเวท แบงกิ้ง หรือบริการธนาคารส่วนบุคคลเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อให้บริการเศรษฐีเหล่านี้

โดยเฉพาะธนาคารของประเทศที่เป็นสวรรค์ของนักเลี่ยงภาษีอย่างสวิตเซอร์แลนด์ และสิงคโปรค์ ซึ่งประเทศหลังนี้ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์สองของประเทศที่เป็นสวรรค์การเลี่ยงภาษีรองจากสวิตฯ ไปแล้วเนื่องจากได้รับความนิยมจากเศรษฐีจีน ฮ่องกง ไต้หวัน รัสเซีย ยุโรป และเศรษฐีไทย นักการเมืองไทย และรัฐมนตรีไทย เอาเงินไปฝากไว้ที่นั่นมากมายเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ เพาะสิงคโปร์มีกฏหมายปกป้องความลับลูกค้าที่เด็ดขาด...

ครับ นี่แหละพฤติกรรมและวิธีการคิดของคนที่พร่ำบ่นว่าตนเองจะเสียสละ ตนเองจะทำงานให้ชาติให้ประชาชนมีความอยู่ดีกินดีมีคุณภาพที่สูงขึ้น

เรียนตามตรงนะครับว่า เมื่อเทียบกับปัจจัยในส่วนของรายได้ อัตราการว่าจ้าง ค่าแรง กับค่าครองชีพทุกๆ ด้านแล้ว ผมแทบจะไม่เห็นความแตกต่างเลยว่าคนไทยจะมีคุณภาพชีวิตหรือได้รับสวัสดิตลอดจนการศึกษาที่ดีขึ้นในระหว่างที่มีหรือไม่มีเศรษฐีเข้ามาบริหารชาติแต่อย่างใด

แต่ที่ชัดเจนก็คือ การเพิ่มขึ้นทางทรัพย์สินเงินทองของท่านผู้นำและบริวารว่านเครือทั้งหลาย รวมถึงอัตราค่าเฉลี่ยการเป็นหนี้ของคนไทยต่อหัว/ครัวเรือน

และที่ลดน้อยลงอย่างน่าใจหายก็คือเรื่องของศีลธรรม จิตสำนึกในผิด-ชอบ ชั่ว-ดี และความสามัคคีนั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น