สิ่งที่เราทุกคนมีและเป็นอยู่ในปัจจุบันคือผลอันเกิดจากการกระทำในอดีต และสิ่งที่เราจะมีและจะเป็นในอนาคตคือผลของการกระทำของเราในปัจจุบัน นี่คือนัยแห่งคำสอนของพระพุทธองค์ในส่วนที่เกี่ยวกับกฎแห่งกรรม ทั้งในส่วนที่เป็นกุศลและอกุศล
ถึงแม้ว่าคำสอนดังกล่าวข้างต้นเป็นสัจธรรมที่ใครไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งยังสอดคล้องกับหลักแห่งความจริงที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ตามธรรมชาติ
แต่ดูเหมือนว่าในสังคมของโลกที่กำลังเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุเฉกเช่นในทุกวันนี้ มีผู้คนอยู่จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจ และเป็นเหตุให้กระทำในสิ่งที่สวนทางกับกฎแห่งกรรมดังกล่าวข้างต้นด้วย ทั้งนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนกับการกระทำของผู้นำรัฐบาล และรัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลชุดนี้
เริ่มด้วยการที่พรรคพลังประชาชนได้ตั้งขึ้น และดำเนินกิจกรรมทางการเมืองภายใต้การอุปถัมภ์ค้ำชูในด้านการเงิน และแนวทางความคิดในเชิงการเมืองจากกลุ่มอำนาจเก่าเมื่อครั้งเป็นพรรคไทยรักไทย
ยิ่งกว่านี้ เมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นเสียงข้างมากในสภาฯ และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้คำบงการจากกลุ่มทุนจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นรัฐบาลตัวแทน หรือที่นักวิชาการบางท่านบอกว่าเป็นรัฐบาลลูกกรอก คือ กระทำกิจกรรมทุกอย่างภายใต้การบงการของจอมขมังเวท โดยไม่มีความคิดเห็นและเป็นตัวของตัวเองอย่างเสรีเท่าที่ควรจะเป็น
ด้วยเหตุนี้ จึงพูดได้ว่าการที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัครมีและเป็นอยู่ในขณะนี้ คือ ผลของการยอมเป็นตัวแทนหรือกระทำการเสมือนเป็นตัวแทนของนายทุนพรรคการเมือง ทั้งนี้จะอนุมานได้จากพฤติกรรมทางการเมืองดังต่อไปนี้
1. ในการฟอร์มรัฐบาล ใครจะได้รับตำแหน่งใดและเมื่อได้ตำแหน่งแล้วจะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างไร มิได้ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ และศักยภาพทางการเมืองที่แต่ละคนควรจะมี และควรจะเป็นตามแนวทางแห่งการกระจายอำนาจ และกระจายความรับผิดชอบ แต่ดูเหมือนว่าในการตัดสินในงานที่มีส่วนได้เสียกับบุคคล และพรรคจะมีการแทรกแซงจากอำนาจภายนอกแทบทุกครั้ง เช่น การแต่งตั้งบุคคลในหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ก็จะต้องคอยฟังคำสั่งหรือไม่ก็สอบถามความเห็นจากนายทุนพรรคแทบทุกครั้ง นี่คือผลของการที่รัฐบาลนี้ยอมให้ตนเองต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของกลุ่มทุนเก่าประการหนึ่ง
2. เมื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมาได้ระยะหนึ่ง และเป็นระยะเวลาไม่นานนัก บุคลากรทางการเมืองทั้งจากฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติต่างออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 237 เพื่อหนีการยุบสภาฯ และมาตรา 309 เพื่อช่วยเหลือให้กลุ่มทุนทางการเมืองที่ตกเป็นจำเลยในข้อหาทุจริตให้รอดพ้นไปจากเงื้อมมือกฎหมาย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่ารัฐบาลชุดนี้คือผลของการล่มสลายของพรรคไทยรักไทยเนื่องจากยุบพรรค และแจ้งเกิดใหม่ทางการเมืองในชื่อของพรรคพลังประชาชน
3. เมื่อแนวโน้มการแก้ไขกฎหมายเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลให้กลุ่มอำนาจเก่ารอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีจะผ่านพ้นไปไม่ได้ และในขณะเดียวกันกระบวนการดำเนินคดีได้ดำเนินไปจนเกือบจะเรียกได้ว่าพอจะคาดคะเนผลที่จะเกิดขึ้นได้แล้วในระดับหนึ่งว่า โอกาสที่ผู้ตกเป็นจำเลย โดยเฉพาะอดีตนายกฯ ทักษิณจะรอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมายคงเป็นไปได้ยาก รัฐบาลภายใต้การดำเนินงานของนายสมัคร สุนทรเวช และฝ่ายนิติบัญญัติที่สังกัดพรรคพลังประชาชนก็เริ่มมีพฤติกรรมดิ้นรนนานาประการ ที่จะปกป้องรวมไปถึงการเดินหน้าเต็มรูปแบบในการเผชิญหน้ากับกลุ่มพลังที่คอยกดดันให้รัฐบาลต้องทำงาน เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่ามีความเป็นอิสระในทางการเมือง ไม่รับใช้อำนาจเก่าด้วยการเร่งรัดการดำเนินคดีต่อกลุ่มคนที่แสดงพฤติกรรมต่อต้านบุคคล และระบอบที่กลุ่มนี้เห็นว่าเป็นอุปสรรคขัดขวางกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่มตน นี่ก็อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นผลมาจากการยอมรับเป็นรัฐบาลหุ่นรับใช้กลุ่มอำนาจเก่า
3 ประการที่กล่าวมาคือเหตุปัจจัยที่เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า ความมีและความเป็นของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช คือผลของการสืบทอดอำนาจ และเจตนารมณ์ทางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่าที่กำลังประสบภาวะยุ่งยาก ทั้งทางการเมืองและทางสังคมอยู่ในขณะนี้
แต่วันนี้และเวลานี้ สิ่งที่รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช กำลังเดินหน้าล่าฝันที่จะสนองความเป็นทายาททางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่า โดยการแสดงความพยายามในการขจัดศัตรูทางการเมืองที่เป็นเหตุให้กลุ่มทุนทางการเมืองของตนเองต้องระเหเร่ร่อนด้วยการหนีหมายจับอยู่ต่างประเทศ ด้วยการใช้กลไกของกฎหมายที่ตนเองสามารถหาได้ โดยอาศัยอำนาจรัฐตอบโต้ และตามรังแกดังที่เกิดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่ในขณะนี้
แต่อย่างไรก็ตาม จากพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าวข้างต้น รัฐบาลได้ประสบชะตากรรมทั้งทางการเมือง และสังคม
ในด้านการเมือง เมื่อผู้นำรัฐบาลเป็นเพียงผู้ดำเนินการภายใต้การบงการจากอำนาจแฝงเร้นภายนอก สถานภาพทางการเมืองในตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนแทบจะไม่มีภาวะผู้นำปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม จึงไม่สามารถชี้นำทิศทางทางการเมืองให้เป็นไปในทิศทางของตนเองได้
แต่ต้องตกอยู่ภายใต้ภาวะกดดันจากผู้นำมุ้งต่างๆ ภายในพรรค และหัวหน้ามุ้งต่างรับคำบงการจากนายทุนพรรคอีกทอดหนึ่ง
ไม่เพียงแต่สถานะทางการเมืองในตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเท่านั้นที่ตกอยู่ในภาวะไร้ทิศทางแห่งการนำ
สถานภาพทางการบริหารในตำแหน่งผู้นำรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ก็มีภาวะไม่แตกต่างกัน เพราะไม่สามารถชี้นำรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงให้ดำเนินการตามที่ต้องการได้ ทั้งนี้เนื่องด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ในการสรรหาผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรี และตำแหน่งทางการเมืองตามโควตาที่พรรคพลังประชาชนได้รับในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลผสมเท่าที่ปรากฏเป็นข่าว เชื่อได้ว่าได้มีอำนาจแห่งนายทุนทางด้านการเงินของพรรคคัดเลือกมาให้ในลักษณะที่ต้องทำตามชนิดไม่มีทางเลือกมากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจะเป็นเสียงนายทุนมากกว่าผู้ที่นายสมัครแต่งตั้ง ซึ่งไม่แตกต่างไปจากคนเดินสารเท่าใดนัก
2. เมื่อการคัดเลือกบุคคลที่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งขึ้นอยู่กับอำนาจแฝงเร้นมากกว่าหัวหน้ารัฐบาล ก็แน่นอนว่าความเป็นเอกภาพของรัฐบาลคงเกิดขึ้นได้ยากในเรื่องของผลประโยชน์ที่ต่างคนต่างมี และต่างคนต่างแสวงหาเพื่อสนองความต้องการของนายทุนทางการเมืองของตน
ด้วยเหตุ 2 ประการนี้ รัฐบาลที่มีอายุเพียง 6 เดือนกว่า จึงมีรอยแตกรอยร้าวให้เห็นอย่างชัดเจน
นอกจากความไม่มีเอกภาพภายในรัฐบาล และภายในพรรคพลังประชาชนแล้ว รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ยังต้องพบกับปัจจัยต้านภายนอก ทั้งในแง่ของการเมืองและสังคมไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดังจะได้เห็นการชุมนุมต่อต้านอยู่ในทำเนียบฯ ในขณะนี้
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ได้พบกับปัจจัยต้านทั้งภายนอกพรรค และภายในพรรค ในด้านการเมืองและด้านสังคมพร้อมๆ กัน จึงพยากรณ์ได้ว่าอวสานของรัฐบาลชุดนี้จะมาถึงไม่เกินเดือนกันยายนนี้แน่นอน ไม่ด้วยการลาออกเพราะแรงบีบคั้นก็ด้วยคำสั่งของศาลที่หัวหน้ารัฐบาลตกเป็นผู้ต้องหาอยู่หลายคดี
ส่วนประเด็นใดจะมาก่อนมาหลัง ผู้เขียนเชื่อว่าเกิดขึ้นได้พอๆ กัน แต่ที่จะไม่เกิดขึ้นและทำให้รัฐบาลต้องอวสานก็เห็นจะได้แก่การโค่นล้ม หรือทำรัฐประหารจากกองทัพ และการที่รัฐบาลไม่จบด้วย ในทำนองนี้ถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งของประชาธิปไตยในเมืองไทย
ถึงแม้ว่าคำสอนดังกล่าวข้างต้นเป็นสัจธรรมที่ใครไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งยังสอดคล้องกับหลักแห่งความจริงที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ตามธรรมชาติ
แต่ดูเหมือนว่าในสังคมของโลกที่กำลังเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุเฉกเช่นในทุกวันนี้ มีผู้คนอยู่จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจ และเป็นเหตุให้กระทำในสิ่งที่สวนทางกับกฎแห่งกรรมดังกล่าวข้างต้นด้วย ทั้งนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนกับการกระทำของผู้นำรัฐบาล และรัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลชุดนี้
เริ่มด้วยการที่พรรคพลังประชาชนได้ตั้งขึ้น และดำเนินกิจกรรมทางการเมืองภายใต้การอุปถัมภ์ค้ำชูในด้านการเงิน และแนวทางความคิดในเชิงการเมืองจากกลุ่มอำนาจเก่าเมื่อครั้งเป็นพรรคไทยรักไทย
ยิ่งกว่านี้ เมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นเสียงข้างมากในสภาฯ และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้คำบงการจากกลุ่มทุนจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นรัฐบาลตัวแทน หรือที่นักวิชาการบางท่านบอกว่าเป็นรัฐบาลลูกกรอก คือ กระทำกิจกรรมทุกอย่างภายใต้การบงการของจอมขมังเวท โดยไม่มีความคิดเห็นและเป็นตัวของตัวเองอย่างเสรีเท่าที่ควรจะเป็น
ด้วยเหตุนี้ จึงพูดได้ว่าการที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัครมีและเป็นอยู่ในขณะนี้ คือ ผลของการยอมเป็นตัวแทนหรือกระทำการเสมือนเป็นตัวแทนของนายทุนพรรคการเมือง ทั้งนี้จะอนุมานได้จากพฤติกรรมทางการเมืองดังต่อไปนี้
1. ในการฟอร์มรัฐบาล ใครจะได้รับตำแหน่งใดและเมื่อได้ตำแหน่งแล้วจะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างไร มิได้ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ และศักยภาพทางการเมืองที่แต่ละคนควรจะมี และควรจะเป็นตามแนวทางแห่งการกระจายอำนาจ และกระจายความรับผิดชอบ แต่ดูเหมือนว่าในการตัดสินในงานที่มีส่วนได้เสียกับบุคคล และพรรคจะมีการแทรกแซงจากอำนาจภายนอกแทบทุกครั้ง เช่น การแต่งตั้งบุคคลในหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ก็จะต้องคอยฟังคำสั่งหรือไม่ก็สอบถามความเห็นจากนายทุนพรรคแทบทุกครั้ง นี่คือผลของการที่รัฐบาลนี้ยอมให้ตนเองต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของกลุ่มทุนเก่าประการหนึ่ง
2. เมื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมาได้ระยะหนึ่ง และเป็นระยะเวลาไม่นานนัก บุคลากรทางการเมืองทั้งจากฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติต่างออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 237 เพื่อหนีการยุบสภาฯ และมาตรา 309 เพื่อช่วยเหลือให้กลุ่มทุนทางการเมืองที่ตกเป็นจำเลยในข้อหาทุจริตให้รอดพ้นไปจากเงื้อมมือกฎหมาย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่ารัฐบาลชุดนี้คือผลของการล่มสลายของพรรคไทยรักไทยเนื่องจากยุบพรรค และแจ้งเกิดใหม่ทางการเมืองในชื่อของพรรคพลังประชาชน
3. เมื่อแนวโน้มการแก้ไขกฎหมายเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลให้กลุ่มอำนาจเก่ารอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีจะผ่านพ้นไปไม่ได้ และในขณะเดียวกันกระบวนการดำเนินคดีได้ดำเนินไปจนเกือบจะเรียกได้ว่าพอจะคาดคะเนผลที่จะเกิดขึ้นได้แล้วในระดับหนึ่งว่า โอกาสที่ผู้ตกเป็นจำเลย โดยเฉพาะอดีตนายกฯ ทักษิณจะรอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมายคงเป็นไปได้ยาก รัฐบาลภายใต้การดำเนินงานของนายสมัคร สุนทรเวช และฝ่ายนิติบัญญัติที่สังกัดพรรคพลังประชาชนก็เริ่มมีพฤติกรรมดิ้นรนนานาประการ ที่จะปกป้องรวมไปถึงการเดินหน้าเต็มรูปแบบในการเผชิญหน้ากับกลุ่มพลังที่คอยกดดันให้รัฐบาลต้องทำงาน เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่ามีความเป็นอิสระในทางการเมือง ไม่รับใช้อำนาจเก่าด้วยการเร่งรัดการดำเนินคดีต่อกลุ่มคนที่แสดงพฤติกรรมต่อต้านบุคคล และระบอบที่กลุ่มนี้เห็นว่าเป็นอุปสรรคขัดขวางกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่มตน นี่ก็อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นผลมาจากการยอมรับเป็นรัฐบาลหุ่นรับใช้กลุ่มอำนาจเก่า
3 ประการที่กล่าวมาคือเหตุปัจจัยที่เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า ความมีและความเป็นของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช คือผลของการสืบทอดอำนาจ และเจตนารมณ์ทางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่าที่กำลังประสบภาวะยุ่งยาก ทั้งทางการเมืองและทางสังคมอยู่ในขณะนี้
แต่วันนี้และเวลานี้ สิ่งที่รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช กำลังเดินหน้าล่าฝันที่จะสนองความเป็นทายาททางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่า โดยการแสดงความพยายามในการขจัดศัตรูทางการเมืองที่เป็นเหตุให้กลุ่มทุนทางการเมืองของตนเองต้องระเหเร่ร่อนด้วยการหนีหมายจับอยู่ต่างประเทศ ด้วยการใช้กลไกของกฎหมายที่ตนเองสามารถหาได้ โดยอาศัยอำนาจรัฐตอบโต้ และตามรังแกดังที่เกิดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่ในขณะนี้
แต่อย่างไรก็ตาม จากพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าวข้างต้น รัฐบาลได้ประสบชะตากรรมทั้งทางการเมือง และสังคม
ในด้านการเมือง เมื่อผู้นำรัฐบาลเป็นเพียงผู้ดำเนินการภายใต้การบงการจากอำนาจแฝงเร้นภายนอก สถานภาพทางการเมืองในตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนแทบจะไม่มีภาวะผู้นำปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม จึงไม่สามารถชี้นำทิศทางทางการเมืองให้เป็นไปในทิศทางของตนเองได้
แต่ต้องตกอยู่ภายใต้ภาวะกดดันจากผู้นำมุ้งต่างๆ ภายในพรรค และหัวหน้ามุ้งต่างรับคำบงการจากนายทุนพรรคอีกทอดหนึ่ง
ไม่เพียงแต่สถานะทางการเมืองในตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเท่านั้นที่ตกอยู่ในภาวะไร้ทิศทางแห่งการนำ
สถานภาพทางการบริหารในตำแหน่งผู้นำรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ก็มีภาวะไม่แตกต่างกัน เพราะไม่สามารถชี้นำรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงให้ดำเนินการตามที่ต้องการได้ ทั้งนี้เนื่องด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ในการสรรหาผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรี และตำแหน่งทางการเมืองตามโควตาที่พรรคพลังประชาชนได้รับในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลผสมเท่าที่ปรากฏเป็นข่าว เชื่อได้ว่าได้มีอำนาจแห่งนายทุนทางด้านการเงินของพรรคคัดเลือกมาให้ในลักษณะที่ต้องทำตามชนิดไม่มีทางเลือกมากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจะเป็นเสียงนายทุนมากกว่าผู้ที่นายสมัครแต่งตั้ง ซึ่งไม่แตกต่างไปจากคนเดินสารเท่าใดนัก
2. เมื่อการคัดเลือกบุคคลที่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งขึ้นอยู่กับอำนาจแฝงเร้นมากกว่าหัวหน้ารัฐบาล ก็แน่นอนว่าความเป็นเอกภาพของรัฐบาลคงเกิดขึ้นได้ยากในเรื่องของผลประโยชน์ที่ต่างคนต่างมี และต่างคนต่างแสวงหาเพื่อสนองความต้องการของนายทุนทางการเมืองของตน
ด้วยเหตุ 2 ประการนี้ รัฐบาลที่มีอายุเพียง 6 เดือนกว่า จึงมีรอยแตกรอยร้าวให้เห็นอย่างชัดเจน
นอกจากความไม่มีเอกภาพภายในรัฐบาล และภายในพรรคพลังประชาชนแล้ว รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ยังต้องพบกับปัจจัยต้านภายนอก ทั้งในแง่ของการเมืองและสังคมไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดังจะได้เห็นการชุมนุมต่อต้านอยู่ในทำเนียบฯ ในขณะนี้
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ได้พบกับปัจจัยต้านทั้งภายนอกพรรค และภายในพรรค ในด้านการเมืองและด้านสังคมพร้อมๆ กัน จึงพยากรณ์ได้ว่าอวสานของรัฐบาลชุดนี้จะมาถึงไม่เกินเดือนกันยายนนี้แน่นอน ไม่ด้วยการลาออกเพราะแรงบีบคั้นก็ด้วยคำสั่งของศาลที่หัวหน้ารัฐบาลตกเป็นผู้ต้องหาอยู่หลายคดี
ส่วนประเด็นใดจะมาก่อนมาหลัง ผู้เขียนเชื่อว่าเกิดขึ้นได้พอๆ กัน แต่ที่จะไม่เกิดขึ้นและทำให้รัฐบาลต้องอวสานก็เห็นจะได้แก่การโค่นล้ม หรือทำรัฐประหารจากกองทัพ และการที่รัฐบาลไม่จบด้วย ในทำนองนี้ถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งของประชาธิปไตยในเมืองไทย