ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (29 ส.ค.) มีการประชุมสภากลาโหม โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุม โดยมี ผบ.เหล่าทัพ และปลัดกระทรวงกลาโหมประชุมกันครบ ประกอบด้วย พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. พล.ร.อ.สถิรพันธ์ เกยานนท์ ผบ.ทร.
พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมlสภากลาโหม ว่า มีความเป็นห่วงสถานการณ์การบ้านเมืองไม่อยากให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชน ที่ไม่มีอาวุธอะไร ซึ่งในการประชุมสภากลาโหมไม่มีวาระเรื่องนี้
ส่วนกระแสข่าวที่ประชาชนหวั่นวิตกเพราะมีการเคลื่อนกำลังทหารนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การเคลื่อนกำลังเป็นเรื่องของกำลังที่มาจากการฝึกของทหาร ได้แจ้งเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสื่อก็เสนอไปแล้วเช่นกัน ส่วนเหตุการณ์ คาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะสามารถดำเนินการได้เพียงแต่ว่าอยากให้ดำเนินการโดยที่ไม่มีความรุนแรง
ผู้สื่อข่าวถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการร้องขอกำลังจากกองทัพให้ไปช่วยหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ต้องอยู่ที่รัฐบาล รัฐบาลจะเป็นผู้สั่งการ เพราะตนไม่สามารถที่จะไปดำเนินการอะไรได้ ส่วนในเรื่องการปฏิวัติ ยืนยันได้ว่าไม่มี เพราะการปฏิวัติไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นห่วงหรือไม่ ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ประชาชนจะเดินทาง เข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำนวนมาก และทหารจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการสั่งการของรัฐบาล เพราะเราไม่สามารถเอาทหารออกมาได้ ทั้งนี้ ยืนยันใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ น่าจะมีความเหมาะสม และพอเพียงที่จะรักษาสถานการณ์ให้เรียบร้อยได้
อนุพงษ์สาวตรงผบ.ตร.อย่ารุนแรง
ส่วนที่ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการถอนกำลังออกจากบริเวณสถานที่ การชุมนุมแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่อย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ซึ่งเมื่อตอนบ่ายได้เรียนผ่านไปถึง ผบ.ตร. ว่า น่าจะไม่ใช้มาตรการรุนแรง
ผู้สื่อข่าวถามว่าในที่ประชุมสภากลาโหมแสดงว่านายกรัฐมนตรี ไม่ได้ขอความคิดเห็นกับผบ.เหล่าทัพ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีวาระ ในส่วนของผู้ที่มาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ว่า กลุ่มดังกล่าว น่าจะลดความรุนแรงในการปฏิบัติการลง และหาทางออกเพื่อประเทศชาติร่วมกัน อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้วย ถ้ายึดถือตามกฎหมายและตามที่ศาลสั่ง เหตุการณ์ต่างๆ ก็จะคลี่คลายลงไปได้ โดยเฉพาะคนที่เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์และอาจจะได้รับการกระทบกระทั่งจากการปฏิบัติงาน
ทั้งนี้ ทางกองทัพประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่ สหภาพการบินไทย และการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ประกาศหยุด ซึ่งประเด็นนี้ทางรัฐบาลจะแก้ไข เราคงไม่อยากให้เกิด เราไม่อยากให้มีผลแบบนั้น เพราะจะมีผลกระทบไปทุกมิติ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มปัญหาส่วนสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ยังไม่ถึงขั้นต้องใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ส่วนควรจะ นำพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.บ.ด้านความมั่นคงมาใช้ หากตำรวจ ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การจะใช้หรือไม่ใช้ เป็นเรื่องของทางรัฐบาล แต่ขณะนี้ ตนเห็นว่า ยังไม่ถึงขั้นที่น่าจะต้องใช้ ถ้าไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น การที่ทหารออกมา บางทีมันก็ไม่เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ ภาพลักษณ์ที่ออกไปทั่วโลก บางทีมันอาจจะไม่ดี ดังนั้น มาช่วยกัน ร่วมมือกันทั้ง 2 ฝ่ายได้แก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องทำตามหน้าที่ของเขา แต่ก็อย่าให้รุนแรงนัก ส่วนทางฝ่ายชุมนุมก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และลดความรุนแรงลง
เราคนไทยด้วยกัน และเป็นปัญหาภายในประเทศไทย ถ้าบอกว่าแค่นี้ แล้วมันไม่มีทางที่จะแก้ ผมคิดว่า มันคงไม่ได้ มันจะต้องแก้ให้ได้ ทั้งนี้หากมีการพูดคุยกันได้คงดี แต่ถ้าหากไม่พูดคุยกัน ก็ควรหาทางออกของตัวเองกัน พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
สมัครเรียกอนุพงษ์ถกด่วนอีกรอบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงเวลานี้ ทุกฝ่ายควรคำนึงถึงสถาบัน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าทุกคนระลึกถึงก็คงจะเรียบร้อย
มีรายงานว่า ภายหลังจากที่พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์เสร็จก็เดินทางออก จากกระทรวงกลาโหมทันที แต่หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ก็ได้เดินทางกลับมาที่กระทรวงกลาโหมอีกครั้ง เนื่องจาก นายสมัคร ได้เรียกเข้าพบที่ห้องทำงาน ในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม โดยบอกผู้สื่อข่าวว่า ขอไปพบนายกรัฐมนตรีก่อน แล้วออกมาจะบอกให้ฟัง ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ได้หารือกับ นายสมัคร ประมาณ 15 นาที ก่อนหลบผู้สื่อข่าวออกจากกระทรวงโดยใช้ประตูทางลงอีกทางหนึ่ง
เสนอนายกฯอย่าใช้ความรุนแรง
อย่างไรก็ตาม พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงการเข้าพบนายกรัฐมนตรีว่า นายกรัฐมนตรีเรียกเข้ามาหารือถึงการจัดโครงการจากวันแม่ ถึงวันพ่อ 116 สร้างความสามัคคี ซึ่งกำหนดเดิมจะจัดที่ทำเนียบรัฐบาลแต่ต้องย้ายไปจัดที่สวนอัมพร ในวันที่ 30 ส.ค. เพราะ เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงสถานการณ์ความวุ่นวายของกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนได้เรียนท่านไปว่า การใช้ความรุนแรงกับกลุ่มพันธมิตรฯ คงไม่ได้ ซึ่งตนเสนอท่านไปอย่างนั้น
แหล่งข่าวจากกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า การที่นายกฯเรียก พล.อ.อนุพงษ์ กลับเข้ามาภายในกระทรวงกลาโหม เพื่อเข้ามาประเมินสถานการณ์การชุมนุม ของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล ภายในทำเนียบรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นที่มีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุมตามคำสั่งของพล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปรื้อถอนเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งนายสมัคร ได้สอบถาม ความคิดเห็น พล.อ.อนุพงษ์ว่า จะมีการดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยพล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการด้วยความละมุนละม่อม ไม่อยากให้เกิดความรุนแรง เพราะจะทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายได้
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พร้อมด้วยนักกฎหมายจำนวน 3 คน ได้เดินทางเข้ามายังกระทรวงกลาโหม เพื่อหารือกับนายกฯถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเฉพาะการพิจารณาถึงข้อดี ข้อเสีย หากมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อเข้ามาควบคุม สถานการณ์ไม่ให้เกิดความวุ่นวาย
บุญสร้างเตือนรุนแรงแก้ปัญหาไม่ได้
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนเป็นสาเหตุให้ การรถไฟแห่งประเทศไทยหยุดเดินรถว่า ก็คงเหมือนกับรถที่ 4 แยก บางที่รถ 2 คันก็ตกลงกันไม่ได้ ทำให้รถติดวุ่นวายกันไปหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องถอยกันคนละก้าวเพื่อยุติปัญหาใช่หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า คงเทียบกันไม่ได้ บางทีก็ไม่ต้องถอยแต่เดินหน้า ไปในทางที่ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ต้องคิดผู้ที่มีปัญญาทั้งหลาย ให้เอาแต่พองาม เมื่อถามว่า การสลายการชุมนุมไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า อะไรที่รุนแรงแก้ปัญหาไม่ได้ และไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการใช้ความรุนแรง เราต้องใช้ปัญญาและจดจำในสิ่งที่แก้ปัญหาเพื่อไปใช้ในอนาคต เพราะปัญหาแบบนี้เดียวก็เกิดใหม่
เตือนชนะแล้วจิตใจพังไม่มีประโยขน์
ส่วนทางออกของทหารน่าจะใช้แนวทางใดนั้น พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ทหารเดียวนี้ค่อนข้างจะเป็นประชาธิปไตยและชอบสันติภาพอยากให้เป็นไปในแนวนั้น ทหารได้รับการสอนมาว่า ไม่มีอะไรทดแทนชัยชนะได้ แต่กรณีนี้ใช้กับข้าศึก แต่ในประเทศด้วยกันเองคนไทยด้วยกันไม่มีอะไรทดแทนความสามัคคีได้ จะมีความคิดดีอย่างไรก็แล้วแต่ หากทำให้คนแตกแยกแล้วไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรทดแทนความสามัคคีได้
ส่วนความพ่ายแพ้หรือชนะไม่สำคัญเท่ากับบ้านเมืองใช่หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เคยตรัสไว้ครั้งหนึ่งว่า เอาชัยชนะไปทำอะไร เมื่อชนะแล้วไปอยู่กับซากปรักหักพัง ไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งปรักหักพังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าคนจิตใจพัง คนในชาติแตกแยก จิตใจสลายไม่มีประโยชน์อะไร
ต้องใชัปัญญาออกมาแก้ปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่ากองทัพเคยให้คำแนะนำกับรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า เราพูดเสมอผ่านสื่อมวลชน รัฐบาลก็อ่าน แต่ไม่ใช่การแนะนำรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็คงไม่ใช้ความรุนแรง เมื่อถามว่า ทางรัฐบาลไม่ใช้ความรุนแรง ทางกลุ่มผู้ชุมนุมน่าจะปรับเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ไม่อยากออกความเห็นแต่อยากให้ช่วยกันคิดว่า ควรจะทำอย่างไร เพราะทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้วและเก่งๆกันทุกคน มีสติปัญญา ต้องใช้ปัญญาออกมาเล่นมากว่าอย่าเอาอย่างอื่นออกมา
ส่วนทางออกในการแก้ปัญหาทำอย่างไรนั้น พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ต้องพยายามตั้งตัวเพราะทุกวันนี้เราพูดกันในห้องแอร์ ถ้าไปพูดกลางแดด กลางฝนลำบากยากเย็นชีวิตก็น่าเห็นใจ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นแกนนำต้องตั้งสติให้ได้ไม่ว่าจะลำบากอย่างไร เพราะบางฝ่ายไม่ได้ลำบากายแต่ลำบากใจ ลำบากอารมณ์ ต้องตั้งตัวให้ได้ ทุกคนต้องใช้ปัญญา ไม่เช่นนั้นก็คงเหมือนรถชนกันที่ 4 แยก ทำให้รถคันอื่นติดเป็นอัมพาตไปไหนไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าไม่ควรรอให้มีการปะทะหรือนองเลือดใช่หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า วิธีนี้อยู่ในทวีปอื่น บ้านเราไม่มีแล้วเรื่องแบบนี้ที่จะปะทะแล้วนองเลือด
ต่อข้อถามว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะย้อนกลับไปเหมือนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า คนเราคงได้บทเรียนอะไรดีๆ ต้องขีดเส้นแดงว่า ต้องไม่มีความรุนแรง อย่างอื่นก็คิดกันไปว่าจะทำอย่างไร จะถูกหรือผิดช้าหรือเร็ว แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง ถ้าจะใช้ความรุนแรงก็ไม่ต้องคิดอย่างอื่นแล้ว เพราะมันจะแย่กันไปหมด ต้องตั้งสติให้ดี เห็นแก่บ้านเมือง และคิดว่าทุกฝ่ายคือคนไทยด้วยกัน ซึ่งมีคนไทยอีก 90 % ที่ไม่ได้มาร่วมอะไรด้วย บางคนก็ทำไร่ทำนา ถ้าข้างบนมีการบริหารที่ดี หากข้างบนมีความขัดแย้งกัน ก็สามารถพูดจากันได้ ทุกคนก็มีความสุข ประมุขของประเทศของเรา พระองค์ท่านก็จะได้สบายพระทัยขึ้น เปรียบเสมือนผู้ที่เป็นพ่อ ถึงแม้ว่าลูกจะมีนิสัยอย่างไร ก็ยังรักเหมือนกันทั้งนั้น แต่ข้อสำคัญไม่อยากให้ลูกทะเลาะกัน แล้วมาบอกว่าเกินไปควรที่จะพูดคุยกันได้แล้ว ตนคิดว่าลองคิดดูให้ดีจะมีลู่ทาง ไม่มีอะไรที่หมดหวังตนเชื่ออย่างนั้น
ย้ำทหารจะไม่เต้นตามกระแส
ส่วนสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นจะทำให้ทหารออกมาดูแลความสงบเรียบร้อยหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ทหารไม่ไปตามแรงกระตุ้น และก็ไม่เต้นเหมือนตัวอะไรก็ไม่รู้ คงไม่ใช่อย่างนั้น เราทำตามระบบเพราะทหารเรามีระเบียบ วินัยมีขั้นตอน เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้แล้ว ผู้นำรัฐบาลควรทบทวนด้วยการลาออกหรือยุบสภา พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า จะไปคิดแทนหรือพูดแทนท่านคงไม่ได้ แต่ท่านคงไตร่ตรองอะไรที่ดี
ผู้สื่อข่าวถามว่าพอจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า อยู่ที่คน บางที่มีแสงเต็มไปหมด แต่พรรคพวกก็ไปปิดไม่ให้เห็นแสง ก็ทำให้เรามองไม่เห็น หรือหลับตาก็ไม่เห็น บางคนแม้ไม่มีแสงยังเดินไปถูกทาง เพราะฉะนั้นเราอยู่แบบนี้แล้วมีความหวังจะทำอะไรให้ดีก็ได้ เช่นในสมัยยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ลำบากมากมายมหาศาล คนตายไม่รู้เท่าไหร่ ซึ่งเหตุการณ์ขณะนี้ยังห่างไกล จะเรียกว่าเป็นความขัดแย้งตามความคิดก็อาจจะมีบ้างในการขัดแย้ง ทางอารมณ์มากกว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของคนที่อยู่แล้วสบายเกินไปก็เริ่มคิดและทะเลาะกันเอง แต่ถ้ามีศึกสงครามก็จะเสียสละชีวิต มันต่างกันเยอะ
อยากให้ดูยุค จอม พล ป. ที่ลำบากกว่านี้มาก จึงอยากฝากให้คนไทยทุกคน ช่วยกันคิดและทำให้เกิดอารมณ์หรือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์บ้านเมืองให้ได้ ไม่ใช่อยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คิดว่ายังมีคนที่มุ่งหวังในสิ่งที่สร้างสรรค์ก็ยังมีอยู่ในกลุ่มต่างๆ มีความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่ต้องช่วยกันคิดว่าจะลงเอยอย่างไร ไม่ใช่ความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่จะมีด้วยชัยชนะ เพราะจะทำให้อยู่บนสิ่งปรักหักพัง เพราะความฝันไม่ใช่ความจริง ในความจริงต้องแก้ปัญหาความจริงเป็นพื้นฐาน ในที่สุดก็จะไปถึงความฝันได้ อยู่ๆ จะมาบังคับความจริงให้เหมือนความฝันคงไม่ได้ เรื่องทั้งหลาย ต้องใช้ความเป็นคนไทยด้วยกันเป็นหลัก เรื่องอื่นอาจจะต้องเพล่าเอาไว้เพื่อให้ไปด้วยกันได้ ให้บ้านเมืองไปได้ ทั้งนี้คนไทยยังสามารถรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้”พล.อ.บุญสร้าง กล่าว
ย้ำทหารไม่มีแนวคิดที่แตกแยกกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าผบ. เหล่าทัพได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหากับนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ไม่มี แต่บางคนอาจจะพูดเป็นการส่วนตัวกันบ้าง แต่เป็นทางการไม่มี แต่ ผบ. เหล่าทัพพูดเหมือนกันว่าไม่เห็นด้วยที่จะใช้ความรุนแรง
ส่วนที่ พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอรมน.) จะออกมาเป็นแกนนำแทน พล.ต. จำลอง ศรีเมือง พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ พล.อ.พัลลภ ถ้าออกมาจริงแล้วจะทำอะไรในทางสร้างสรรค์หรือไป ในทางไหนอยู่ที่ท่านเพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว
เมื่อถามว่า แนวความคิดของ ผบ. เหล่าทัพไม่มีความแตกแยกใช่หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า กองทัพไม่ได้แตกแยก บางทีก็พูดไปเรื่อย บางทีเราฝันกันเอง ฝันร้าย ยืนยันว่าไม่มีแตกแยกอะไร เมื่อถามว่ายุทธวิธีที่กลุ่มพันธมิตรฯนำมาใช้คล้ายกับยุทธวิธีของทหาร มีทหารอยู่เบื้องหลังหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ตนไม่ทราบ
พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมlสภากลาโหม ว่า มีความเป็นห่วงสถานการณ์การบ้านเมืองไม่อยากให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชน ที่ไม่มีอาวุธอะไร ซึ่งในการประชุมสภากลาโหมไม่มีวาระเรื่องนี้
ส่วนกระแสข่าวที่ประชาชนหวั่นวิตกเพราะมีการเคลื่อนกำลังทหารนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การเคลื่อนกำลังเป็นเรื่องของกำลังที่มาจากการฝึกของทหาร ได้แจ้งเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสื่อก็เสนอไปแล้วเช่นกัน ส่วนเหตุการณ์ คาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะสามารถดำเนินการได้เพียงแต่ว่าอยากให้ดำเนินการโดยที่ไม่มีความรุนแรง
ผู้สื่อข่าวถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการร้องขอกำลังจากกองทัพให้ไปช่วยหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ต้องอยู่ที่รัฐบาล รัฐบาลจะเป็นผู้สั่งการ เพราะตนไม่สามารถที่จะไปดำเนินการอะไรได้ ส่วนในเรื่องการปฏิวัติ ยืนยันได้ว่าไม่มี เพราะการปฏิวัติไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นห่วงหรือไม่ ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ประชาชนจะเดินทาง เข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำนวนมาก และทหารจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการสั่งการของรัฐบาล เพราะเราไม่สามารถเอาทหารออกมาได้ ทั้งนี้ ยืนยันใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ น่าจะมีความเหมาะสม และพอเพียงที่จะรักษาสถานการณ์ให้เรียบร้อยได้
อนุพงษ์สาวตรงผบ.ตร.อย่ารุนแรง
ส่วนที่ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการถอนกำลังออกจากบริเวณสถานที่ การชุมนุมแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่อย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ซึ่งเมื่อตอนบ่ายได้เรียนผ่านไปถึง ผบ.ตร. ว่า น่าจะไม่ใช้มาตรการรุนแรง
ผู้สื่อข่าวถามว่าในที่ประชุมสภากลาโหมแสดงว่านายกรัฐมนตรี ไม่ได้ขอความคิดเห็นกับผบ.เหล่าทัพ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีวาระ ในส่วนของผู้ที่มาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ว่า กลุ่มดังกล่าว น่าจะลดความรุนแรงในการปฏิบัติการลง และหาทางออกเพื่อประเทศชาติร่วมกัน อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้วย ถ้ายึดถือตามกฎหมายและตามที่ศาลสั่ง เหตุการณ์ต่างๆ ก็จะคลี่คลายลงไปได้ โดยเฉพาะคนที่เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์และอาจจะได้รับการกระทบกระทั่งจากการปฏิบัติงาน
ทั้งนี้ ทางกองทัพประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่ สหภาพการบินไทย และการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ประกาศหยุด ซึ่งประเด็นนี้ทางรัฐบาลจะแก้ไข เราคงไม่อยากให้เกิด เราไม่อยากให้มีผลแบบนั้น เพราะจะมีผลกระทบไปทุกมิติ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มปัญหาส่วนสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ยังไม่ถึงขั้นต้องใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ส่วนควรจะ นำพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.บ.ด้านความมั่นคงมาใช้ หากตำรวจ ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การจะใช้หรือไม่ใช้ เป็นเรื่องของทางรัฐบาล แต่ขณะนี้ ตนเห็นว่า ยังไม่ถึงขั้นที่น่าจะต้องใช้ ถ้าไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น การที่ทหารออกมา บางทีมันก็ไม่เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ ภาพลักษณ์ที่ออกไปทั่วโลก บางทีมันอาจจะไม่ดี ดังนั้น มาช่วยกัน ร่วมมือกันทั้ง 2 ฝ่ายได้แก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องทำตามหน้าที่ของเขา แต่ก็อย่าให้รุนแรงนัก ส่วนทางฝ่ายชุมนุมก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และลดความรุนแรงลง
เราคนไทยด้วยกัน และเป็นปัญหาภายในประเทศไทย ถ้าบอกว่าแค่นี้ แล้วมันไม่มีทางที่จะแก้ ผมคิดว่า มันคงไม่ได้ มันจะต้องแก้ให้ได้ ทั้งนี้หากมีการพูดคุยกันได้คงดี แต่ถ้าหากไม่พูดคุยกัน ก็ควรหาทางออกของตัวเองกัน พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
สมัครเรียกอนุพงษ์ถกด่วนอีกรอบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงเวลานี้ ทุกฝ่ายควรคำนึงถึงสถาบัน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าทุกคนระลึกถึงก็คงจะเรียบร้อย
มีรายงานว่า ภายหลังจากที่พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์เสร็จก็เดินทางออก จากกระทรวงกลาโหมทันที แต่หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ก็ได้เดินทางกลับมาที่กระทรวงกลาโหมอีกครั้ง เนื่องจาก นายสมัคร ได้เรียกเข้าพบที่ห้องทำงาน ในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม โดยบอกผู้สื่อข่าวว่า ขอไปพบนายกรัฐมนตรีก่อน แล้วออกมาจะบอกให้ฟัง ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ได้หารือกับ นายสมัคร ประมาณ 15 นาที ก่อนหลบผู้สื่อข่าวออกจากกระทรวงโดยใช้ประตูทางลงอีกทางหนึ่ง
เสนอนายกฯอย่าใช้ความรุนแรง
อย่างไรก็ตาม พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงการเข้าพบนายกรัฐมนตรีว่า นายกรัฐมนตรีเรียกเข้ามาหารือถึงการจัดโครงการจากวันแม่ ถึงวันพ่อ 116 สร้างความสามัคคี ซึ่งกำหนดเดิมจะจัดที่ทำเนียบรัฐบาลแต่ต้องย้ายไปจัดที่สวนอัมพร ในวันที่ 30 ส.ค. เพราะ เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงสถานการณ์ความวุ่นวายของกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนได้เรียนท่านไปว่า การใช้ความรุนแรงกับกลุ่มพันธมิตรฯ คงไม่ได้ ซึ่งตนเสนอท่านไปอย่างนั้น
แหล่งข่าวจากกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า การที่นายกฯเรียก พล.อ.อนุพงษ์ กลับเข้ามาภายในกระทรวงกลาโหม เพื่อเข้ามาประเมินสถานการณ์การชุมนุม ของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล ภายในทำเนียบรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นที่มีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุมตามคำสั่งของพล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปรื้อถอนเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งนายสมัคร ได้สอบถาม ความคิดเห็น พล.อ.อนุพงษ์ว่า จะมีการดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยพล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการด้วยความละมุนละม่อม ไม่อยากให้เกิดความรุนแรง เพราะจะทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายได้
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พร้อมด้วยนักกฎหมายจำนวน 3 คน ได้เดินทางเข้ามายังกระทรวงกลาโหม เพื่อหารือกับนายกฯถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเฉพาะการพิจารณาถึงข้อดี ข้อเสีย หากมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อเข้ามาควบคุม สถานการณ์ไม่ให้เกิดความวุ่นวาย
บุญสร้างเตือนรุนแรงแก้ปัญหาไม่ได้
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนเป็นสาเหตุให้ การรถไฟแห่งประเทศไทยหยุดเดินรถว่า ก็คงเหมือนกับรถที่ 4 แยก บางที่รถ 2 คันก็ตกลงกันไม่ได้ ทำให้รถติดวุ่นวายกันไปหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องถอยกันคนละก้าวเพื่อยุติปัญหาใช่หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า คงเทียบกันไม่ได้ บางทีก็ไม่ต้องถอยแต่เดินหน้า ไปในทางที่ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ต้องคิดผู้ที่มีปัญญาทั้งหลาย ให้เอาแต่พองาม เมื่อถามว่า การสลายการชุมนุมไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า อะไรที่รุนแรงแก้ปัญหาไม่ได้ และไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการใช้ความรุนแรง เราต้องใช้ปัญญาและจดจำในสิ่งที่แก้ปัญหาเพื่อไปใช้ในอนาคต เพราะปัญหาแบบนี้เดียวก็เกิดใหม่
เตือนชนะแล้วจิตใจพังไม่มีประโยขน์
ส่วนทางออกของทหารน่าจะใช้แนวทางใดนั้น พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ทหารเดียวนี้ค่อนข้างจะเป็นประชาธิปไตยและชอบสันติภาพอยากให้เป็นไปในแนวนั้น ทหารได้รับการสอนมาว่า ไม่มีอะไรทดแทนชัยชนะได้ แต่กรณีนี้ใช้กับข้าศึก แต่ในประเทศด้วยกันเองคนไทยด้วยกันไม่มีอะไรทดแทนความสามัคคีได้ จะมีความคิดดีอย่างไรก็แล้วแต่ หากทำให้คนแตกแยกแล้วไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรทดแทนความสามัคคีได้
ส่วนความพ่ายแพ้หรือชนะไม่สำคัญเท่ากับบ้านเมืองใช่หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เคยตรัสไว้ครั้งหนึ่งว่า เอาชัยชนะไปทำอะไร เมื่อชนะแล้วไปอยู่กับซากปรักหักพัง ไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งปรักหักพังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าคนจิตใจพัง คนในชาติแตกแยก จิตใจสลายไม่มีประโยชน์อะไร
ต้องใชัปัญญาออกมาแก้ปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่ากองทัพเคยให้คำแนะนำกับรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า เราพูดเสมอผ่านสื่อมวลชน รัฐบาลก็อ่าน แต่ไม่ใช่การแนะนำรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็คงไม่ใช้ความรุนแรง เมื่อถามว่า ทางรัฐบาลไม่ใช้ความรุนแรง ทางกลุ่มผู้ชุมนุมน่าจะปรับเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ไม่อยากออกความเห็นแต่อยากให้ช่วยกันคิดว่า ควรจะทำอย่างไร เพราะทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้วและเก่งๆกันทุกคน มีสติปัญญา ต้องใช้ปัญญาออกมาเล่นมากว่าอย่าเอาอย่างอื่นออกมา
ส่วนทางออกในการแก้ปัญหาทำอย่างไรนั้น พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ต้องพยายามตั้งตัวเพราะทุกวันนี้เราพูดกันในห้องแอร์ ถ้าไปพูดกลางแดด กลางฝนลำบากยากเย็นชีวิตก็น่าเห็นใจ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นแกนนำต้องตั้งสติให้ได้ไม่ว่าจะลำบากอย่างไร เพราะบางฝ่ายไม่ได้ลำบากายแต่ลำบากใจ ลำบากอารมณ์ ต้องตั้งตัวให้ได้ ทุกคนต้องใช้ปัญญา ไม่เช่นนั้นก็คงเหมือนรถชนกันที่ 4 แยก ทำให้รถคันอื่นติดเป็นอัมพาตไปไหนไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าไม่ควรรอให้มีการปะทะหรือนองเลือดใช่หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า วิธีนี้อยู่ในทวีปอื่น บ้านเราไม่มีแล้วเรื่องแบบนี้ที่จะปะทะแล้วนองเลือด
ต่อข้อถามว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะย้อนกลับไปเหมือนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า คนเราคงได้บทเรียนอะไรดีๆ ต้องขีดเส้นแดงว่า ต้องไม่มีความรุนแรง อย่างอื่นก็คิดกันไปว่าจะทำอย่างไร จะถูกหรือผิดช้าหรือเร็ว แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง ถ้าจะใช้ความรุนแรงก็ไม่ต้องคิดอย่างอื่นแล้ว เพราะมันจะแย่กันไปหมด ต้องตั้งสติให้ดี เห็นแก่บ้านเมือง และคิดว่าทุกฝ่ายคือคนไทยด้วยกัน ซึ่งมีคนไทยอีก 90 % ที่ไม่ได้มาร่วมอะไรด้วย บางคนก็ทำไร่ทำนา ถ้าข้างบนมีการบริหารที่ดี หากข้างบนมีความขัดแย้งกัน ก็สามารถพูดจากันได้ ทุกคนก็มีความสุข ประมุขของประเทศของเรา พระองค์ท่านก็จะได้สบายพระทัยขึ้น เปรียบเสมือนผู้ที่เป็นพ่อ ถึงแม้ว่าลูกจะมีนิสัยอย่างไร ก็ยังรักเหมือนกันทั้งนั้น แต่ข้อสำคัญไม่อยากให้ลูกทะเลาะกัน แล้วมาบอกว่าเกินไปควรที่จะพูดคุยกันได้แล้ว ตนคิดว่าลองคิดดูให้ดีจะมีลู่ทาง ไม่มีอะไรที่หมดหวังตนเชื่ออย่างนั้น
ย้ำทหารจะไม่เต้นตามกระแส
ส่วนสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นจะทำให้ทหารออกมาดูแลความสงบเรียบร้อยหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ทหารไม่ไปตามแรงกระตุ้น และก็ไม่เต้นเหมือนตัวอะไรก็ไม่รู้ คงไม่ใช่อย่างนั้น เราทำตามระบบเพราะทหารเรามีระเบียบ วินัยมีขั้นตอน เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้แล้ว ผู้นำรัฐบาลควรทบทวนด้วยการลาออกหรือยุบสภา พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า จะไปคิดแทนหรือพูดแทนท่านคงไม่ได้ แต่ท่านคงไตร่ตรองอะไรที่ดี
ผู้สื่อข่าวถามว่าพอจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า อยู่ที่คน บางที่มีแสงเต็มไปหมด แต่พรรคพวกก็ไปปิดไม่ให้เห็นแสง ก็ทำให้เรามองไม่เห็น หรือหลับตาก็ไม่เห็น บางคนแม้ไม่มีแสงยังเดินไปถูกทาง เพราะฉะนั้นเราอยู่แบบนี้แล้วมีความหวังจะทำอะไรให้ดีก็ได้ เช่นในสมัยยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ลำบากมากมายมหาศาล คนตายไม่รู้เท่าไหร่ ซึ่งเหตุการณ์ขณะนี้ยังห่างไกล จะเรียกว่าเป็นความขัดแย้งตามความคิดก็อาจจะมีบ้างในการขัดแย้ง ทางอารมณ์มากกว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของคนที่อยู่แล้วสบายเกินไปก็เริ่มคิดและทะเลาะกันเอง แต่ถ้ามีศึกสงครามก็จะเสียสละชีวิต มันต่างกันเยอะ
อยากให้ดูยุค จอม พล ป. ที่ลำบากกว่านี้มาก จึงอยากฝากให้คนไทยทุกคน ช่วยกันคิดและทำให้เกิดอารมณ์หรือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์บ้านเมืองให้ได้ ไม่ใช่อยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คิดว่ายังมีคนที่มุ่งหวังในสิ่งที่สร้างสรรค์ก็ยังมีอยู่ในกลุ่มต่างๆ มีความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่ต้องช่วยกันคิดว่าจะลงเอยอย่างไร ไม่ใช่ความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่จะมีด้วยชัยชนะ เพราะจะทำให้อยู่บนสิ่งปรักหักพัง เพราะความฝันไม่ใช่ความจริง ในความจริงต้องแก้ปัญหาความจริงเป็นพื้นฐาน ในที่สุดก็จะไปถึงความฝันได้ อยู่ๆ จะมาบังคับความจริงให้เหมือนความฝันคงไม่ได้ เรื่องทั้งหลาย ต้องใช้ความเป็นคนไทยด้วยกันเป็นหลัก เรื่องอื่นอาจจะต้องเพล่าเอาไว้เพื่อให้ไปด้วยกันได้ ให้บ้านเมืองไปได้ ทั้งนี้คนไทยยังสามารถรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้”พล.อ.บุญสร้าง กล่าว
ย้ำทหารไม่มีแนวคิดที่แตกแยกกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าผบ. เหล่าทัพได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหากับนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ไม่มี แต่บางคนอาจจะพูดเป็นการส่วนตัวกันบ้าง แต่เป็นทางการไม่มี แต่ ผบ. เหล่าทัพพูดเหมือนกันว่าไม่เห็นด้วยที่จะใช้ความรุนแรง
ส่วนที่ พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอรมน.) จะออกมาเป็นแกนนำแทน พล.ต. จำลอง ศรีเมือง พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ พล.อ.พัลลภ ถ้าออกมาจริงแล้วจะทำอะไรในทางสร้างสรรค์หรือไป ในทางไหนอยู่ที่ท่านเพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว
เมื่อถามว่า แนวความคิดของ ผบ. เหล่าทัพไม่มีความแตกแยกใช่หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า กองทัพไม่ได้แตกแยก บางทีก็พูดไปเรื่อย บางทีเราฝันกันเอง ฝันร้าย ยืนยันว่าไม่มีแตกแยกอะไร เมื่อถามว่ายุทธวิธีที่กลุ่มพันธมิตรฯนำมาใช้คล้ายกับยุทธวิธีของทหาร มีทหารอยู่เบื้องหลังหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ตนไม่ทราบ