xs
xsm
sm
md
lg

ประชาภิวัฒน์ไม่ถอย-รถไฟหยุดวิ่ง!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน/ภูมิภาค – แกนนำพันธมิตร พร้อมสู้ในชั้นศาล หลังรัฐบาลเล่นเกมพึ่งคำสั่งศาลฯ เตรียมนำคำวินิจฉัยของศาลแพ่งยื่นศาลอุทธรณ์ ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ “สนธิ” ตอก “สุรพล ทวนทอง” อย่าพูดมาก ตำรวจมั่ว ตั้งข้อกล่าวหาผิดๆ สาดใส่พันธมิตรฯ “จำลอง” ลั่นไม่เลิก พร้อมส่งไม้ “พัลลภ” ที่ประกาศพร้อมขึ้นเวที รบเชิงรุก สหภาพแรงงานรถไฟใจเด็ดลุยอารยะขัดขืนหยุดวิ่งแล้ว เลขาฯ สรส.ชี้มีผลวันนี้ ขณะที่ 9โมงเช้าวันนี้เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีเข้าแจ้งแกนนำบอกศาลแพ่งมีหมายออกแล้ว “สื่อเทศ”ชี้ สมัครไม่อาจทำตามคำขู่ที่จะใช้กำลังเข้าสลายและจับกุมแกนนำ

ผู้สื่อข่าวรายงานรายงานบรรยากาศการชุมนุมวันที่ 3 ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ทำเนียบรัฐบาล วานนี้ (28 ส.ค.) ว่า มีผู้ชุมนุมจำนวนมากกว่าทุกวัน โดยเฉพาะการหลั่งไหลของพันธมิตรฯ ต่างจังหวัด ที่ทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย โดยช่วงเช้าผู้ชุมนุมยังรวมตัวกันอยู่ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าอย่างหนาแน่น โดยในเวลา 7.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตร ได้ขึ้นเวทีปราศรัยเพื่อบัญชาการการขนย้ายเต้นท์ที่ตั้งอยู่โดยรอบ ให้กลับมาวางไว้ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าตามเดิม เนื่องจากตลอดคืนที่ผ่านมาผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ตากฝนมาทั้งคืน หากต้องชุมนุมตากแดดอีก เกรงว่าอาจไม่สบายได้ จากนั้นเวลา 7.30 น. ผู้ปราศรัยบนเวทีได้ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันเก็บกวาดขยะและปรับปรุงสถานที่

ไม่รับคำสั่งศาลแพ่ง-รอศาล รธน.

นายประพันธ์ คูณมี 1 ในผู้นำรปราศรัย กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวช่วงค่ำวานนี้ว่า วันนี้ (29 ส.ค.) จะนำคำวินิจฉัยของศาลแพ่งที่ให้ผู้ชุมนุมออกจากทำเนียบรัฐบาล ยื่นต่อศาลอุทธรณ์และจะร้องต่อศาลอุทธรณ์ ให้นำคำวินิจฉัยของศาลแพ่ง ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความตามมาตรา 216 ซึ่งในระหว่างนี้ คำวินิจฉัยของศาลแพ่งไม่สามารถบังคับใช้ได้ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย ส่วนบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประชาชนทยอยเดินทางมาร่วมอย่างเนืองแน่น และเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา แกนนำพันธมิตร เช่น นายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้เดินทางและพบปะ เพื่อให้กำลังใจกับประชาชนที่มาร่วมชุมนุมด้วย

ตอก“ทวนทอง”อย่าพูดมาก

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึง กรณีที่ทางรัฐบาลใช้ศาลจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯให้ออกจากพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เราสามารถสร้างอารยะขัดขืนในศาลได้เช่นกัน ฉะนั้นแกนนำต้องอดทน หากศาลให้จำคุกแกนนำ แกนนำก็ต้องยอมถูกจำคุก เนลสัน เมนเดลาร์ ถูกจำคุกตั้ง 20 กว่าปี เหตุผลเพราะต่อต้านนโยบายเหยียดสีผิวของแอฟริกา ตรงนี้แกนนำ 5 คน ได้มีการหารือกันเรียบร้อยแล้วเราต้องอารยะขัดขืนเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนำงานตำรวจ แห่งชาติ ออกมาถามหาภาวะผู้นำกันแกนนำพันธมิตรฯที่มีการใช้ประชาชนมาเป็น โล่ห์กำบัง นายสนธิ กล่าวว่า พวกตนมีภาวะผู้นำมากกว่าเขาเยอะไปเอาความเท็จ มาฟ้อง โดยเฉพาะมาตรา 113 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็นว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญถามว่าตนเคยไหมเคยเอาประชาชนไปเผาที่ไหนหรือไม่ ไม่เคยใครที่เป็นคนต้องการเปลี่ยนแปลงล้มล้างรัฐธรรมนูญ ตอบสิ พรรคพลังประชาชน

ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร ตุลาการ รัฐธรรมนูญและทำให้ใช้อำนาจดังกล่าวไม่ได้ วันนี้อำนาจนิติบัญญัติ ยังคงมีการประชุมสภา ยกมือกันได้ในสภาเหมือนเดิม อำนาจบริหารยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจมาสลายเราได้ โยกย้ายแต่งตั้งทหารได้ อำนาจตุลาการก็ไม่มีใครแทรกแซง ข้อกล่าวหาที่ว่าเหล่านี้ผิดแล้ว

นายสนธิ กล่าวว่า ในข้อกล่าวหาเรื่องการแบ่งแยกราชอาณาจักร หรือยึดอำนาจการปกครองส่วนหนึ่งส่วนใดในราชอาณาจักร พวกตนไม่ได้ทำ รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ต่างหากที่ยกอธิปไตยของเขาพระวิหารให้กับเขมร ฉะนั้นรัฐบาลสมัครกบฏ ไม่ใช่ตน

“ช่วยไปเรียน พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง ด้วย ให้ท่านมีองค์ความรู้มากกว่านี้ หน่อย อดีตท่านเป็นผู้การตำรวจน้ำรู้แต่เรื่องการจับน้ำมันเถื่อน เรื่องอื่นท่านไม่รู้เรื่อง หรอก หากลำบากนักพยายามพูดให้น้อยหน่อย”

ส่วนกรณีที่ท่านบอกว่าแกนนำพันธมิตรฯใช้ประชาชนเป็นโล่ห์กำบังนั้น นายสนธิ ปฏิเสธว่าไม่ใช่ ไปถามประชาชนได้เลยว่าตนบังคับหรือ เขาอยากกลับเมื่อไรเขาก็กลับกันได้แต่เขาไม่กลับ แม้ฝนจะตกหนักเขาก็ไม่กลับ พล.ต.ต.สุรพล อย่าพูดมากเลย ธรรมดาตำรวจเป็นคนที่ใช้ไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งมีโฆษกตำรวจแบบนี้ ยิ่งใช้ไม่ได้ใหญ่

นายสนธิ กล่าวว่า คนทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ กำลังโดนรังแกโดยตำรวจ และกำลังเป็นบทพิสูจน์ว่าพสกนิกรของ 2 พระองค์ที่สู้กับรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ที่สืบต่อมาจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในทุกเรื่องที่โกงชาติ โกงบ้านเมือง จาบจ้วงและจ้องทำลายสถาบันโดยที่นายสมัครไม่ได้ทำอะไรเลย วันนี้เป็นที่พี่น้องได้สร้างและร่วมอยู่ในประวัติศาสตร์ จะแสดงให้สังคมไทยเห็นว่าเราอยู่ในประวัติศาสตร์อันนี้ด้วย ซึ่งไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะไม่มีใครกล้าทำร้ายพสกนิกรของ 2 พระองค์ ตนจึงขอให้เปล่งคำว่าทรงพระเจริญดังๆพร้อมกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นผู้ชุมนุมต่างพากันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” พร้อมกัน 3 ครั้ง

นายสนธิ กล่าวอีกว่า วันนี้เป็นวันทำบุญเพื่อชาติ เพื่อบ้านเมือง ดังนั้นเวลานี้ขอให้พี่น้องเข้ามาข้างในทำเนียบรัฐบาลให้หมด เพื่อแสดงพลังให้ตำรวจเห็นว่าเราไม่ได้เป็นหมู เป็นหมาที่จะได้สลายกันง่ายๆ แม้ขณะนี้มีตำรวจนอกเครื่องแบบบางคนสวมเสื้อเหลือง ตนจึงขอให้จับตาดีดีเพราะวัตถุประสงค์ของเขาอยู่ที่แกนนำ ซึ่งเรารู้มาตลอด ซึ่งรวมทั้งวงล้อมของแกนนำเมื่อคืนก็มี ตชด.หญิงหลายคนมาร่วมวงด้วย

"ไม่มีอะไรสำคัญเท่า ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ดังนั้นจึงขอให้พี่น้องรวมจิตรวมใจกันสู้ ซึ่งแนวทางของเราคืออหิงสาและอารยะขัดขืน เวลาเขาบุกเข้ามาก็ให้ฟังคำสั่งให้ดีดีอย่าแตกแถวและไม่ต้องกลัว วันนี้เรามาสู้ให้ลูกให้หลาน สู้ให้นักการเมืองชั่วร้าย ให้นักการเมืองสัตว์นรกออกไป ผมจะได้มีโอกาสมายืนพูดให้ฟังอีกหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ผมจะบอกพี่น้องว่า พี่น้องอยู่ไหนผมอยู่ที่นั่น พวกเราต้องระดมพล สามัคคีกันเอาไว้ อย่าแตกแถว” นายสนธิ กล่าว

ด้าน พล.ต. จำลอง ศรีเมือง และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ ร่วมกันแถลงข่าว โดยพล.ต.จำลอง กล่าวว่า จากนี้การชุมนุมจะเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากประชาชนจากต่างจังหวัดจะเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ยังดำรงความมุ่งหมายเดิม คือรัฐบาลต้องลาออก เพื่อให้เกิดการเมืองใหม่ วิกฤตการเมืองไม่เคยแก้ปัญหาได้โดยสภาสักครั้ง มีแต่การเมืองนอกสภาที่จะทำได้

ส่วนเรื่องคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก็แล้วแต่ศาล แต่ทีมทนายของตนกำลังดำเนินการอุทธรณ์ การดื้อแพ่งนั้นพวกตนไม่ได้ทำผิด แต่รัฐบาลที่ทำความเสียงหาย โกงกินบ้านเมือง ยกเขาพระวิหารให้กัมพูชา รัฐบาลจะอยู่ได้อย่างไร เพราะไม่มีรัฐบาลใดทำผิดกฎหมาย ของบ้านเมืองแล้วอยู่ได้ รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลโมฆะตั้งแต่ต้น พวกตนปกป้องและดำเนินการตามรัฐธรรานูญมาตรา 69 มาตรา70 และ มาตรา71 กระบวนการเรื่องนี้ยังไม่จบ แต่รัฐบาลที่ทำอะไรผิดพลาดก็กลับเดินหน้า ฉะนั้นประชาชนต้องใช้สิทธิ์ปกป้อง

ส่วนที่พันธมิตรฯ โดนโจมตีเรื่องดื้อแพ่ง พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เราทำตามขั้นตอนกฎหมายคืออุทธรณ์ หากศาลไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่ท่าน พวกตนต้องรอดู สถานการณ์ก่อนแล้วแก้ไขกันวันต่อวัน เมื่อถามว่าจะยอมรับผลการอุทธรณ์หรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ก็ต้องทำตามขั้นตอนที่ทีมทนายแนะนำ

ผู้สื่อข่าวถามว่า พันธมิตรฯ ทำอย่างนี้จะเป็น 2 มาตรฐานหรือไม่จากกรณี ปราสาทพระวิหารที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครองแล้วพันธมิตรฯก็เรียกร้องให้รัฐบาลทำตาม แต่พอถึงคราวพันธมิตรฯกลับไม่ยอมทำตามคำสั่งศาล พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่ใช่ กรณีพันธมิตรฯ เรามีกระบวนการกฎหมายต้องดำเนินการต่อ แต่ส่วนกรณี ปราสาทพระวิหารไม่มีขั้นต้องอื่นแล้วต้องทำตามทันที

ต่อข้อถามว่า ถ้ามีการจับกุมจริงประชาชนจะชุมนุมต่อไปหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ใช่ น่าจะดีใจที่มีประชาชนที่เห็นแก่บ้านเมืองแบบนี้ เมื่อถามว่าหากเจ้าหน้าที่ เข้ามายื่นหมายศาลจะมีการขัดขวางหรือไม่ เพราะตอนนี้พันธมิตรฯได้ตั้งกำแพงและโล่มนุษย์ล้อมแกนนำไว้ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เราจะทำตามขั้นตอน ยืนยันไม่เคยใช้โล่มนุษย์ ส่วนความรุนแรงได้บอกประชาชนไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้น ประชาชนมีเพียง 2 มือ แต่ตำรวจมีพร้อม และตำรวจทำได้ทุกทาง เช่นยิงแก๊สน้ำตา ฉีดน้ำ ใช้โล่และกระบอง

"พัลลภ" ลั่นเคลื่อนไหวเชิงรุก

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์ว่า ตนมีสัญญาใจ กับพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในฐานะเพื่อนรักที่เคยร่วมต่อสู่เคียงบ่า เคียงไหล่กันมา 2 ประเด็น คือ 1.หากวันไหนพล.ต.จำลองถูกจับกุม ตนจะเข้าไปทำหน้าที่แทน และ 2.หากต้องการรบวิถีรุก ตนจะเข้าร่วมเช่น เหมือนกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่ พล.ต.จำลองถูกจับและตนก็ต้องออกมาร่วมดำเนินการด้วย เมื่อศาลอนุมัติออกหมายจับพล.ต.จำลอง ก็ถือว่าเข้าข่ายข้อหนึ่งที่ตนได้ตกลงไว้ ซึ่งขณะนี้ พล.ต.จำลอง ก็ถูกออกหมายจับแล้ว เมื่อพล.ต.จำลองถูกจับกุมตัวไป จะเห็นตนเองอยู่บนเวทีพันธมิตรฯ อย่างแน่นอน

“ผมจะพูดขึ้นเวทีก็ต่อเมื่อ พล.ต.จำลองถูกเจ้าหน้าที่จับกุม การขึ้นเวทีครั้งนี้ถือเป็นสัญญาใจที่ผมกับจำลองที่เป็นเพื่อนรักเพื่อนตายกันมา ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ครั้งนั้น การปฏิบัติการ 3 วันก็จบ พล.ต.จำลอง ใช้ยุทธวิธีสันติวิธีแบบอหิงสา ซึ่งมันไม่ตรงกับผม แต่ผมจะใช้ยุทธวิธีปฏิบัติการรุก มีวิธีที่จะให้รัฐบาลและนายกฯลาออก แต่ตนคงบอกไม่ได้ ซึ่งคาดว่าจะปฏิบัติการเพียง 3 วัน รัฐบาลก็ต้องลาออกยกชุดแล้ว เพราะยุทธวิธีรุกไม่เหมือนยุทธวิธีรับของพล.ต.จำลอง ทั้งนี้เห็นว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมในการบริหารมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ไปเซ็นสัญญายกดินแดนให้กับเขมร ซึ่งถือว่าผิดรัฐธรรมนูญ ม.190 ดังนั้น นายกฯและครม.ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก” พล.อ.พัลลภ กล่าว

รถไฟกล้าหาญอารยะขัดขืน

วานนี้ (28 ส.ค.) นายสาทร สินปรุ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย สาขานครราชสีมา เปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย ทุกหน่วยทุกฝ่าย ทั้งพนักงานรถจักร คนขับ ช่างเครื่อง หน่วยซ่อมบำรุง และเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานทุกสถานีใน จ.นครราชสีมา ประมาณ กว่า 100 คน ในจำนวนนี้เป็นพนักงานขับรถกว่า 40 คน ได้แจ้งขอลาป่วยหยุดทำงานตั้งแต่ 2 วันขึ้นไป พร้อมกันกับพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย ทั่วประเทศ แล้วจึงทำให้ขาดแคลนพนักงานในการทำงาน ส่งผลให้ขบวนรถไฟขาขึ้นอีสานมาจากกรุงเทพฯ เที่ยวต่างๆ ทยอยยกเลิกการเดินทาง ตั้งแต่เวลา 15.00 น.เป็นต้นมา มีเพียงรถไฟขาล่องเข้ากรุงเทพฯ แต่ในวันนี้ (29 ส.ค.) จะส่งผลให้ต้องหยุดเดินรถไฟทั้งขาล่องและขาขึ้น เหมือนกันหมด

“พนักงานสมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟฯ โดยเฉพาะพนักงานรถจักร ลาป่วยพร้อมกัน เนื่องจากไม่สบายทั้งใจและกาย ที่ไม่มีความมั่นคงในการทำงาน สวัสดิการ เบี้ยเลี้ยงต่างๆ มีปัญหา ข้อเรียกร้องที่ผ่านมาไม่เคยได้รับการเอาใจใส่จากรัฐบาล ประกอบกับขณะพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่ในทำเนียบรัฐบาล ถูกปิดล้อมด้วยกำลังตำรวจและรัฐบาลเตรียมใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม พวกเราจึงตกอยู่ในสภาพจิตใจไม่สมบูรณ์ หากฝืนทำงานเดินรถอาจเกิดอันตรายกับประชาชนผู้โดยสารได้ ” นายสาทร กล่าว

สำหรับขบวนรถไฟ ที่มีการประกาศ งดการเดินรถไฟจำนวน 8 ขบวนที่วิ่งในเส้นทางภาคอีสานวานนี้ (28 ส.ค.) คือ ขบวนกรุงเทพฯ-หนองคาย นครราชสีมา-บัวใหญ่ นครราชสีมา-อุดรธานี รวมทั้งขบวนรถไฟขนส่งน้ำมันของ ปตท.อีก 5 ขบวน จากสถานีบึงพระ จ.พิษณุโลก ไปยังสถานีคลองเตย กรุงเทพมหานคร และวันนี้ รถไฟจะหยุดวิ่งอีก 4 ขบวน คือ เส้นทางบัวใหญ่-นครราชสีมา นครราชสีมา-บัวใหญ่ นครราชสีมา-อุดรธานี และอุดรธานี-นครราชสีมา

นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส)และว่าที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 กล่าวบนเวทีชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลว่า สหภาพแรงงานการรถไฟได้ประกาศนัดหยุดงานแล้ว เริ่มมีผลตั้งแต่วันนี้ (29ส.ค.) เป็นต้นไป

ขอศาลสั่งออกจากทำเนียบ

เวลา 13.30 น.ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นายเมธี ใจสมุทร ทนายความของผู้รับมอบอำนาจจากนายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในคดีที่ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 5 แกนนำพันธมิตร และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เป็นจำเลย เรื่องละเมิดและขับไล่ออกจากทำเนียบฯ ซึ่งศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา เดินทางเข้ายื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี หลังจากที่กลุ่มพันธมิตร ฯ ยังไม่ออกจากพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล ตามคำสั่งศาล

โดยนายเมธี ทนายความ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ส่งหมายให้กับแกนนำพันธมิตรไปบางส่วนแล้ว ที่เหลือยังส่งไม่ได้เพราะไม่มีคนมารับแทน อย่างไรก็ตามคำสั่งนี้ย่อมมีผลทันทีตั้งแต่ที่ศาลอ่านคำสั่งเมื่อวันที่ 27 ส.ค. และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 1ในแกนนำพันธมิตรฯก็ได้รับโดยชอบแล้ว เราจึงนำข้อมูลตรงนี้แถลงต่อศาลว่าจำเลยทั้ง 6 ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล จึงขอตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ต้องรอฟังคำสั่งศาลว่าจะมีคำสั่งออกมาอย่างไร

สั่งตั้งพนักงานบังคับคดี

ต่อมาศาลได้เปิดห้องพิจารณาคดี 403 ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวน นายเมธี ทนายความโจทก์ โดยเมื่อเวลา 16.30 น.ศาลจึงได้มีคำสั่งว่า เรื่องนี้โจทก์ร้องขอให้มีการบังคับคดีตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ศาลมีคำสั่งให้จำเลยทั้ง 6 ออกจากทำเนียบฯและบริเวณพื้นที่ทำเนียบฯทั้งหมด โดยให้จำเลยทั้ง 6 ดำเนินการ รื้อถอนเวทีปราศรัย รวมทั้งสิ่งกีดขวางอื่นๆออกไปจากบริเวณดังกล่าว และให้จำเลยทั้ง 6 เปิดพื้นที่ถนนพิษณุโลก-ถนนราชดำเนิน เพื่อให้ประชาชน คณะรัฐมนตรี โจทก์ ข้าราชการ และผู้ปฏิบัติงานในทำเนียบ สามารถเข้าออกเพื่อปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสะดวก จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ซึ่งจากการไต่สวนโจทก์ยืนยันว่าจำเลยที่ 1-6 ยังอยู่ในพื้นที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ศาลจึงมีคำสั่งให้แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และให้โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดี จัดการให้เป็นไปตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว

สำหรับขั้นตอนการบังคับคดีตามคำสั่งศาล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 ทวิ กำหนดว่าถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล โจทก์มีอำนาจร้องขอศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี มาตรา 296 ตรี เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจลื้อถอนสิ่งกีดขวาง และขนย้ายสิ่งของ ของจำเลย หากการขนย้ายมีค่าใช้จ่ายให้จำเลยเป็นผู้รับผิดชอบ มาตรา 296 จัตวา (1) ถ้าจำเลยไม่ออกจากสถานที่ขับไล่เจ้าพนักงานบังคับคดีร้องศาลมีคำสั่งจับกุมคุกขังจำเลย ตามมาตรา 300 ศาลจำคุกจำเลยได้ครั้งละไม่เกิน 6 เดือน จนกว่าจำเลยจะยอมปฏิบัติตามคำสั่งศาล

ลูกน้องหมักให้สื่อเลือกข้าง

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างที่รอฟังคำสั่งศาล นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ที่เดินทางมาติดตามการยื่นคำร้องขับไล่กลุ่มพันธมิตรในทุกครั้ง ซึ่งนั่งรออยู่หน้าห้องพิจารณา ได้สอบถามผู้สื่อข่าวว่า “ เป็นคู่ความหรือไม่ อยู่ฝ่ายไหนพันธมิตรฯ หรือ สำนักนายก ถ้าอยู่ฝ่ายพันธมิตร ให้นั่งฝั่งขวา อยู่ฝ่ายสำนักนายกให้นั่งฝั่งซ้าย” ทำให้ผู้สื่อข่าวมองว่าเป็นการชี้นำให้เลือกข้าง สื่อมวลชนส่วนหนึ่งจึงตัดสินใจไม่สัมภาษณ์นายศุภชัย ภายหลังศาลมีคำสั่ง

ทนายพันธมิตรอุทธรณ์ขอคุ้มครอง

ขณะเดียวกันเวลา 15.00 น. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความแกนนำพันธมิตรฯ ได้เดินทางมายื่นอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยคำร้อง 15 หน้าสรุปว่า การที่จำเลยต้องมาชุมนุมบริเวณหน้าทำเนียบฯ ถนนพิษณุโลก และถนนราชดำเนิน เนื่องจากรัฐบาลเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของจำเลย และสร้างความร้าวฉานในสังคม โดยใช้สื่อของรัฐคือสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที โจมตีหน่วยงานของรัฐที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาล และประชาชนผู้ออกมาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการชุมนุมของจำเลยและกลุ่มประชาชน มีเหตุผลของความชอบธรรม การที่โจทก์อ้างว่าไม่สามารถเดินทางมาทำงานที่ทำเนียบได้

จำเลยเห็นว่าโจทก์ยังคงเดินทางไปมาได้ไม่ได้เป็นการขัดขวางต่อเสรีภาพในการเดินทางของโจทก์ เพียงแต่โจทก์อาจไม่รับความสะดวกบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาในขณะที่มีการชุมนุมสาธารณะในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการที่จำเลยและประชาชนจำนวนมากไปร่วมชุมนุมสาธารณะนั้นก็เป็นการเรียกร้องตรวจสอบการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายของบุคคลในกลุ่มของบุคคลในรัฐบาล ซึ่งการใช้สิทธิ์ชุมนุมทางการเมืองโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นไปตามมาตรา 63 ประกอบ 29 ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการที่ศาลแพ่งออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณา ซึ่งมิใช่กฎหมายเฉพาะในกรณีการชุมนุมสารธารณะนั้นมาใช้บังคับ ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ จึงเป็นการใช้อำนาจที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ

ยื่นอุทธรณ์ขอทุเลาบังคับคดี

โดยจำเลยทั้ง 6 ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอทุเลาการบังคับคดีตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวด้วย โดยระบุว่าจำเลยทั้ง 6 เห็นว่า เมื่อรัฐบาลใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศจึงเป็นหน้าที่ที่ประชาชนจะชุมนุมโดยใช้สันติวิธีในการต่อต้านรัฐบาล ที่ทำการเป็นปฏิปักษ์การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเมื่อการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการชุมนุมจึงต้องมีต่อไปจนกว่ารัฐบาลจะปฏิบัติตามคำเรียกร้องของผู้ชุมนุม กรณีจึงมีเหตุฉุกเฉินอย่างยิ่งที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับคดีเพื่อรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ไว้ก่อน แต่หากศาลชั้นต้นเห็นว่ายังไม่สมควรจะสั่งคำร้องนี้ขอให้ส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเป็นการด่วนตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 231ทั้งนี้ศาลแพ่งรับคำอุทธรณ์และคำขอทุกเลาไว้พิจารณาต่อไป

ด้าน นายสุวัตร ทนายความ กล่าวว่า ตนเห็นว่าคำสั่งคุ้มครองยังไม่ถูกต้องตามข้อกฎหมาย และได้ยื่นอุทธรณ์มีประเด็นหลัก 3 ข้อคือ 1.การที่คือการพันธมิตรฯชุมนุมนั้นเราอ้างสิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ การที่โจทก์มาร้องให้ออกนั้นอ้างสิทธิ์ตามประมวลพิจารณาความแพ่งเรื่องขับไล่ เรื่องละเมิด เรื่องนี้ได้ขอส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ แต่ศาลแพ่งไม่ได้ส่งให้ตามขอเราจึงต้องอุทธรณ์ต่อไป

เตรียมขอศาลเพิกถอนหมายจับ

นายสุวัตร กล่าวอีกว่า ในส่วนของการขอเพิกถอนหมายจับ 9 แกนนำพันธมิตรฯ ของศาลอาญาเราไปขอคัดเอกสารมาหมดแล้ว เพื่อมาดูว่าที่ตั้งข้อหากบฏตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 , 115 ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะพันธมิตรฯไม่ใช่กบฏ คำว่ากบฏหมายถึงยึดอำนาจรัฐโดยใช้อาวุธ แต่พันธมิตรเรียกร้องให้รักษารัฐธรรมนูญไว้ อย่าแก้รัฐธรรมนูญ ให้รัฐบาลปฏิบัติตามกฎหมายดำเนินคดีต่อคนผิดและเอามาลงโทษ ฉะนั้นข้อหากบฏถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จ ตนจะดำเนินการฟ้องร้องคนที่ไปแจ้งความอีกทีหนึ่ง และเมื่อได้เอกสารแล้วจะทำคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนหมายจับ 9 คน ถ้าศาลชั้นต้นไม่เพิกถอนให้ก็จะอุทธรณ์ต่อ ยกตัวอย่างคดีแบบนี้เคยมีให้เห็นอยู่แล้ว คือคดีของนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่เคยถูกออกหมายจับแล้วท่านอยู่ต่างประเทศ ท่านจึงยื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายจับ ศาลอยุธยาไม่ยกเลิก ก็ได้อุทธรณ์ไป และก็ได้รับการเพิกถอนหมายจับทั้งหมด

"สนธิ"ไหว้ศาลพระพรหมไทยคู่ฟ้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา16.35น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้จุดธูปสีดำ 1 กำมือ สวดมนต์ไหว้ศาลพระพรหมที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยคาดว่านายสนธิน่าจะอธิษฐานขอให้มีการคุ้มครองการชุมนุมในครั้งนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ในช่วงเย็นซึ่งมีประชาชนทยอยเดินทางมาร่วมชุมนุมจำนวนมาก เริ่มมีความเข้มงวด มากขึ้นทุกขณะ โดยมีการปรับเปลี่ยนทางเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาล จากเดิมที่เคยให้ เข้า-ออกได้ทางประตู 2 (เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ)ทางเดียว แต่ในช่วงเย็น มีการเปลี่ยนให้ผู้ชุมนุมเข้าทางประตู 1 (ติดกับห้องผู้สื่อข่าว) และให้ผู้ชุมนุมออกทาง ประตู 2 ซึ่งการเข้า-ออกจะเข้มงวดตรวจร่างกาย กระเป๋าและสิ่งของต่างด้วยเครื่อง แสกนก่อนที่จะเข้ามาด้านในบริเวณทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้เพื่อเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงตั้งแต่มีการชุมนุมมาเพื่อป้องกันมือที่สามและตำรวจปลอมตัวเข้ามา

9 โมงเจ้าพนักงานฯ พบแกนนำ

เวลา 17.30 น.พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษก ตร. เปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ว่า เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีที่แต่งตั้งโดยศาลแพ่งได้เข้าพบ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร. เพื่อรายงานให้ทราบถึงเรื่องที่จะเข้าดำเนินการตามคำสั่งของศาลแพ่งที่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากทำเนียบรัฐบาล โดยวันนี้ 29 ส.ค.เวลา 09.00 น.เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีจะเข้าไปแจ้งให้กับแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมที่บุกรุกทำเนียบฯ ขณะนี้ศาลแพ่งได้มีหมายไปถึงเจ้าพนักงานบังคับคดีไปเรียบร้อยแล้ว

สื่อเทศชี้ “สมัคร” ไม่กล้าปราบ

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ดัดแปลงบริเวณสนามของทำเนียบรัฐบาลให้กลายเป็นที่มั่น ด้วยการตั้งเครื่องกีดขวางชั่วคราวที่ทำขึ้นจากยางรถยนต์, แผงกั้นรถ, ลวดหนาม, และกระถางต้นไม้ ปิดกั้นถนนทุกสายที่เข้าสู่อาคารที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี จนกลายเป็นเขตปลอดภัยใจกลางนครหลวง ซึ่งกำลังของพันธมิตรสามารถตรวจสอบดูแลให้ใครเข้าใครออกได้

รอยเตอร์บอกว่าบรรยากาศในบริเวณทำเนียบเวลานี้ ชวนให้ระลึกถึงเทศกาลดนตรีร็อก “วู้ดสต็อก” มากกว่าสมรภูมิของการปฏิวัติ โดยที่ผู้คนนับหมื่นๆ ค้างแรมกันกลางแจ้งในเขตปลอดภัยดังกล่าว พร้อมกับฟังดนตรีและการปราศรัยประณามโจมตีรัฐบาลนายสมัคร

ปัญหาสำคัญที่สุดของตำรวจที่จะบุกเข้ามาสลายการชุมนุมและจับกุมแกนนำของพันธมิตรก็คือ มวลมหาประชาชน ซึ่งจำนวนมากเป็นสตรีวัยกลางคน ที่สกัดขวางทางของพวกเขาอยู่ และจากการที่มีสื่อมวลชนภายในประเทศตลอดจนพนักงานทีวีของพันธมิตรเอง เตรียมพร้อมอยู่แล้วที่จะออกปฏิบัติการรายงานข่าวทันที

รอยเตอร์ยกคำพูดของนายไบรอัน ดัคเฮอร์ตี ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ และทำงานให้แก่ ฮิลล์ แอนด์ แอสโซซิเอตส์ ซึ่งกล่าวว่า ถ้าตำรวจพยายามนำรถเกราะหรืออะไรเข้าทำลายประตู “มันก็จะดูเหมือนกับการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2006 คูณด้วยสาม” และวิธีแก้ปัญหาที่สมเหตุสมผลอย่างไม่ต้องใช้ความรุนแรง คือ การปิดล้อมบริเวณนั้น และไม่ยอมให้ผู้ชุมนุมได้อาหารและน้ำ

ขณะเดียวกัน รอยเตอร์ยังเสนอรายงานข่าวอีกชิ้นหนึ่งที่อ้างคำพูดของ นายคริสโตเฟอร์ บรูตัน แห่งบริษัท ดาต้าคอนซัลต์ ที่กล่าวว่า นายสมัครนั้นอยากที่จะทำแบบกรณีนองเลือด 6 ตุลาคม 2519 และยิงมันให้หมดเลย เพราะนี่เป็นสไตล์ของนายสมัคร ทว่าตำรวจไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากมันจะไม่เป็นผลดีแก่ใครเลย

เอเอฟพีอ้างทัศนะของนายไมเคิล มอนเตซานา รองศาสตราจารย์ด้านเอเชียอาคเนย์ศึกษาแห่ง มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ที่มองว่า นายสมัครอาจอยู่รอดจากศึกคราวนี้ เพราะประการแรกยุทธวิธีที่พันธมิตรใช้ทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ ประการที่สอง นายสมัครทำสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายด้วยการสัญญาไม่ใช้ความรุนแรง และหันไปพึ่งพาศาล และประการสุดท้ายซึ่งอาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ นายสมัครมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฝ่ายทหาร

อย่างไรก็ตาม เอเอฟพีบอกว่ามีนักวิเคราะห์อีกหลายคนที่เชื่อว่า นายสมัครจะไม่ชนะ อาทิ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่บอกว่า ไม่ว่าจะมีการประท้วงของมวลชนหรือไม่ก็ตาม นายสมัครและรัฐบาลของเขาก็ไม่สามารถอยู่ได้นาน ตัวเขาและพรรคของเขากำลังเผชิญกับคดีความในศาลมากมาย และพันธมิตรฯเพียงพยายามเร่งให้เขาออกจากตำแหน่งเร็วขึ้นเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น