ผู้จัดการรายวัน-ผู้ประสานพธม.เตือนพรรคพลังประชาชนอย่าเลือก"นอมินี" กลับมาเป็นนายกฯ กระทุ้ง"เติ้ง"พร้อม 5 พรรคร่วม อย่าลืมสัญญา 5 ข้อ หลัง"แม้ว"หนีคดีไปต่างประเทศ รับรัฐบาลพิเศษแห่งชาติเป็นทางออกที่ดี เผยวันนี้(11ก.ย.)แกนนำประชุมกำหนดท่าทีเคลื่อนไหวศุกร์(12)นี้ "สนธิ"เชื่อหลังวันศุกร์ รัฐบาลรวนแรแน่นอน "จำลอง" ย้ำจุดยืนไม่อ้าแขนรับ “หอกหัก” กลับมานั่งนายกฯ ชี้หากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามชั้นต้นในคดีหมิ่นอดีตรอง “สามารถ” วันที่ 25 ก.ย.นี้ จำเลยหมักต้องติดคุกอยู่ดี “ภูวดล” ยก "ความยุติธรรม” ตอกหน้า “หมัก” ชี้ชัดถูกศาลรัฐธรรมนูญเชือดพ้นเก้าอี้นายกฯ ด้านเยาวชนของชาติ เคลื่อนพลเปลี่ยนป้ายกระทรวงศึกษาธิการเป็น “กระทรวงศึกษาพิการ” ประท้วงทัศนคติคับแคบ “น้องเขยแม้ว” ห้ามนักเรียน นักศึกษาข้องเกี่ยวกับการเมือง ขณะที่ตำรวจปรับลดกำลังดูแลความปลอดภัยของผู้ชุมนุมรอบทำเนียบฯ
ในสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่ได้ข้อสรุปในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี(ครม.)ใหม่ และการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีว่า จะเป็นนายสมัคร สุนทรเวช หรือไม่ ทำให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 5 คน ได้ประชุมหารือกัน และได้ข้อสรุปแนวทางการเมืองไว้ 3 แนวทาง คือ 1. การดึงดันเสนอชื่อนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี 2. การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล ระหว่างพรรคพลังประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ และ 3. แนวทางการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้แก่ประชาชน
โดยการชุมนุมของพันธมิตรฯผ่านมาแล้ว 109 วัน ขณะที่สามารถบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลเป็นวันที่ 16 แล้ว โดยจะยังคงปักหลักชุมนุมอย่างต่อเนื่อง แม้นายสมัคร จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว แต่ความไม่ชัดเจนในการสรรหาตัวบุคคลมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้พันธมิตรฯ ยังไม่ไว้วางใจว่าจะได้คนจากพรรคพลังประชาชน หรือพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ เพราะคนเหล่านี้เป็นนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่า
ซึ่งแนวทางการเมืองใหม่ที่ถูกออกแบบโดยพันธมิตรฯ คือ "รัฐบาลแห่งชาติ" แต่ยังไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าจะมาจากการเลือกตั้ง 30 และการสรรหา 70 เหมือนเดิมหรือไม่ แต่แกนนำพันธมิตรฯ ก็พร้อมจะเปิดโอกาสให้สังคมและผู้เกี่ยวข้องช่วยกันออกแบบ เพื่อให้ได้รัฐบาลที่เหมาะสมมาบริหารประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตาม แกนนำพันธมิตรฯ ยังคงยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยที่นายสมัคร จะกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ในการสรรหาตัวนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ขณะที่บรรยากาศของการชุมนุมในบริเวณทำเนียบรัฐบาลวานนี้(10ก.ย.) ก็ยังเต็มไปด้วยความคึกคัก โดยในช่วงเย็น ประชาชนผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯต่างทยอยเดินทางเข้าร่วมการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ร่วมกันแสดงพลังและจะมีการอ่านแถลงการณ์แสดงจุดยืนและการเคลื่อนไหวของกลุ่มนนป. นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการอภิปรายเรื่องพลังนักเรียนนิสิต นักศึกษากับการแก้ปัญหาวิกฤติของชาติ โดยมีศาสตราจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ เป็นวิทยากร รวมถึงการอ่านบทกวีจาก นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ สลับด้วยศิลปินหญิง "เคลลี นิวตันเวิร์" นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมชาวออสเตรเลียขึ้นบนเวทีฯ เพื่อขับร้องบทเพลงเชิดชูองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และให้กำลังใจแก่บรรดาพันธมิตรฯ
นอกจากนี้ ในช่วงค่ำทางผู้ดำเนินรายการบนเวทีฯ ได้ประกาศให้ทราบว่า ตั้งแต่วันนี้(11) ตั้งแต่เวลา 5 โมงเย็นก่อนถึงเวลาที่ 5 แกนนำพันธมิตรฯขึ้นเวทีนั้น จะเป็นการถ่ายสดทางASTV 3 เพื่อให้ลูกหลานของเราได้แสดงพลังอย่างแท้จริง ก่อนสลับมาถ่ายทอดสดเมื่อแกนนำพันธมิตรฯขึ้นบนเวทีในทำเนียบฯ
"สนธิ"ชี้รบ.นอมินีไม่พ้นเวรกรรม
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นกล่าวบนเวทีในเวลา 22.20 น. เปิดเผยว่า การประชุมของพรรคพลังประชาชนในวันศุกร์นี้ เพื่อเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังไม่รู้ว่าจะหมู่หรือจ่า และหมดวันศุกร์ไปแล้ว เชื่อว่ากระบวนการของในพรรคคงต้องรวนแร เกิดกระบวนการของพวกอวิชาขึ้นมา และหากในวินาทีสุดท้าย พรรคพลังประชาชนไม่เสนอชื่อนายสมัคร สุนทรเวช แล้ว แต่เสนอนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (น้องเขยแม้ว ปัจจุบันรักษาการนายกรัฐมนตรี)แทน พันธกิจและสงครามศักดิ์สิทธิ์ของพันธมิตรฯก็ยังไม่จบ
"ถ้าสมชาย วงศ์สวัสดิ์มา ประเทศชาติเสียหายแน่นอน ดังนั้น เราพันธมิตรฯขอยืนยันว่า เราต้องเอาประเทศไทยของเราคืนมา เพื่อให้ลูกหลานของเราได้อยู่ อยู่อย่างเป็นสุข "
นายสนธิกล่าวอีกว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ต่างจากในอดีต ที่กระบวนการสื่อสารใช้เวลาที่นาน แต่ขณะนี้ ด้วยลักษณะของการสื่อสารโทรคมนาคมที่รวดเร็วกว่าในอดีต และสามารถสื่อสารได้เร็วภายในไม่กี่วินาทีนี้เอง มีความสำคัญต่อผู้รับข่าวสารอย่างมาก เนื่องจากข้อมูลข่าวสารที่ไหลทะลักเข้ามาอย่างเร็วและมหาศาล ได้ถางโถมเข้ามาหาเรา แต่สิ่งที่พันธมิตรฯกำลังในตอนนี้ เรากำลังเรียกว่า "ไฮปเปร์ โพลิติ๊ก " หรือ " ยุคไฮปเปร์ทางการเมือง"
" หากจะเปรียบไปแล้ว ASTV กำลังทำหน้าที่ในการย่อยป่าทั้งป่าให้แก่ผู้ดูข่าวสาร ขณะที่ NBT เอาแค่ต้นไม้มานำเสนอ เสนอซ้ำๆ นั่นแปลว่า ผู้ที่รับข่าวสารของNBT เป็นผู้มีความรู้ แต่เจอ NBT ก็เลยทำให้ผู้ดูที่มีความรู้ โง่เขลาไปด้วย มีแต่พวกเราเท่านั้น ที่อยู่ที่นี้ ที่ดูASTV ย่อยข้อมูลข่าวสาร มีการหาความรู้ จนมีองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง และหากสังคมไทย มีคนแบบนี้สักคน ก็ทำให้ประเทศเสียหายน้อยลง และหากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ประเทศนี้เจริญ เราต้องสร้างสังคมอุดมปัญญาให้เกิดขึ้นให้ได้ นี้คือผลพลอยได้ของผู้มาร่วมชุมนุม ที่ได้ความรู้ นอกเหนือจากการแสดงความรักชาติ พระมหากษัตริย์ด้วย " นายสนธิกล่าว
พธม.ไม่เจรจาหากเสนอชื่อ"นายกฯนอมินี"
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯได้แถลงการณ์ถึงท่าทีของพันธมิตรฯต่อการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันศุกร์ ที่ 12 ก.ย. ถ้าพรรคพลังประชาชน(พปช.) ยังเลือกนายสมัคร สุนทรเวช หรือตัวแทนที่เป็นนอมินี พันธมิตรฯ ก็ยังปักหลกชุมนุมและยึดทำเนียบรัฐบาล เป็นสถานที่ชุนมุนตามเดิม อยากแนะนำว่าพรรคพลังประชาชนน่าจะใช้โอกาสนี้ เปิดใจให้กว้างรับฟังขอเสนอจากฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เคยระบุไว้ว่า ปัญหาการเมืองควรแก้กันในสภา ดังนั้น จึงอยากให้ทุกฝ่าย ทำหน้าที่ของตัวเอง เพื่อคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากเลยวันศุกร์ไปแล้ว ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ก็จะทำให้อำนาจนอกสภาเข้ามามีบทบาท เป็นการเพิ่มเงื่อนไข ให้เกิดรัฐประหารสูงขึ้น การเดินหน้าโดยไม่สนใจกระแสสังคม พปช.จะต้องรับผิดชอบเพราะเป็นผู้สร้างเงื่อนไขเหล่านี้
" ผมอยากฝากถึง นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยและหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลคนอื่นๆ ให้กลับไปพิจารณาเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งมีข้อหนึ่งที่เคยพูดไว้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องกลับมาสู้คดีในประเทศ เนื่องจากขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ หนีหมายจับ ดังนั้น พรรคร่วมรัฐบาลก็ควรทบทวนจุดยืนตัวเอง และหากวันศุกร์นี้ ยังไม่มีทางออกที่ดี กลุ่มพันธมิตรฯก็จะชุมนุมเคลื่อนไหวต่อไป แต่ถ้าหากวันศุกร์นี้มีทางออกที่ดี ทางพันธมิตรฯ ก็พร้อมทบทวนการเคลื่อนไหว และยินดีที่จะเจรจา แต่ถ้าหากพรรคพลังประชาชนยังเสนอชื่อนายสมัคร หรือ คนที่เป็นนอมินี ปัญหาก็ยังจะเป็นแบบเดิม" นายสุริยะใสกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลพิเศษแห่งชาติที่ผู้นำฝ่ายค้านเสนอนั้น กลุ่มพันธมิตรฯมองอย่างไร นายสุริยะใส กล่าวว่า ยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดแต่ก็เป็นทางออกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็เห็นด้วยและจะนำไปพิจารณารายละเอียดว่า มีเงื่อนไขอย่างไร ซึ่งแม้จะไมาใช่เงื่อนไขที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่ง สิ่งที่พันธมิตรฯเรียกร้องนั้น ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่ต้องการให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และคิดว่าวันศุกร์นี้ คงจะเป็นโอกาสสุดท้ายของสภา แต่ถ้าหากยังเห็นแก่ตัวอยู่ ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามา
อย่างไรก็ตามในวันนี้(11 ก.ย.) แกนนำพันธมิตรฯ จะประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดท่าทีการเคลื่อนไหวว่า ในวันศุกร์นี้(12 ก.ย.) จะเคลื่อนไปชุมนุมที่หน้าสภาอีกไหม
"หมัก”มาอีกติดคุก!คดีหมิ่นชั้นอุทธรณ์
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวยืนยันจุดยืนเดิมคือ ไม่ต้องการนายกรัฐมนตรีที่ชื่อนายสมัคร สุนทรเวช เนื่องจากนายสมัคร ยังคงมีคดีหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อีกคดีหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาในวันที่ 25 ก.ย.นี้ ซึ่งหากปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิจารณายืนตามศาลชั้นต้น นายสมัครก็ต้องพ้นจากตำแหน่งเช่นเดิม เพราะศาลมีคำพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญา ทั้งนี้ มองว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม หากพรรคพลังประชาชนจะยังยืนยันเสนอชื่อนายสมัคร ตามเดิม ก็ถือว่าเป็นสิทธิ
นอกจากนี้ พล.ต.จำลอง กล่าวด้วยว่า ตลอดเวลา 109 วันที่ผ่านมาที่กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมกันนั้น ไม่ได้ชูใครเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งขอยืนยันจุดเดิมคือ จะชุมนุมต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และขับไล่นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐบาลจะต้องลาออก
" การกู้ชาติช่วยบ้านเมืองในช่วงที่ผ่านมานั้น ในอดีตก็เกิดขึ้นมาจากคนกลุ่มน้อยเหมือนกับช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยาที่พระนเรศวรมหาราช ออกมากู้ชาติด้วยคนเพียงกลุ่มน้อยเท่านั้น และก็เหมือนกับการชุมนุมของพันธมิตรฯในวันนี้ ที่ออกมากู้ชาติเพียงไม่มากหากเทียบกับคนทั้งประเทศกว่า 60 ล้าน แต่อย่างไรก็ตาม อยากให้พี่น้องที่มาชุมนุมอยู่กันด้วยความสบายใจ ซึ่งสังคมที่พันธมิตรชุมนุมกันอยู่นั้นเป็นสังคมที่น่าอยู่มาก" พล.ต.จำลองกล่าว
"ภูวดล”ยกความยุติธรรมตอกหน้า"หมัก”
ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขึ้นเวทีพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช หมดความเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการจัดรายการชิมไปบ่นไป เพราะเข้าข่ายการเป็นลูกจ้างว่า เป็นวันที่ชาวไทยทุกคนต่างเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน เพราะถ้าเราศึกษาข้อเท็จจริงตั้งแต่สมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาจนถึงรัฐบาลในสมัยของนายสมัคร สุนทรเวช นั้น รัฐบาลเหล่านี้นพยายามอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง และพวกพ้อง เพราะคนเหล่านี้เชื่อว่าสามารถครอบงำกระบวนการยุติธรรมได้อย่างง่ายดาย
" เห็นได้จากคดีซุกหุ้น ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยในขณะนั้นกระบวนการยุติธรรมได้ถูกแทรกแซงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้บรรดาข้าราชการ และขุนนางกังฉินบางคน ก็ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ของนักการเมืองพันธุ์ชั่วเหล่านี้ จึงเกิดตำนาน “ขอให้เป็นความผิดสักครั้งหนึ่ง เพื่อชาติบ้านเมือง” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประเทศไทยก็ยินยอมให้คนชั่วช้าสารเลว ก้าวขึ้นเป็นนายกฯ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่การซุกหุ้นนั้น เกิดขึ้นจากกรณีที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวีในขณะนั้น ซึ่งมีหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จากนั้นอีกไม่นาน สถานีโทรทัศน์ไอทีวี กลายเป็นของเครือชินวัตร” ดร.ภูวดล กล่าว
ส่วนกระบวนการยุติธรรมของไทยซึ่งถูกครอบงำนั้น ดร.ภูวดล กล่าวว่า เกิดจากวิธีการฉ้อฉลต่างๆ ของนักการเมืองพันธุ์ชั่วช้าสารเลว ซึ่งรวมตัวอยู่ในพรรคไทยรักไทยขณะนั้น และกลายเป็นมรดกตกทอดมายังพรรคพลังประชาชนในขณะนี้ ถ้าศึกษาตามข้อเท็จจริง ก็จะเห็นว่าหลักเกณฑ์ของกฎหมายบางครั้งก็ถูกลบล้างด้วยข้อเท็จจริงเหมือนกรณีที่เกิดขึ้นในวันนี้ โดยเฉพาะรัฐบาลนี้ใช้วิธีตะแบงภาษาเป็นหลัก โดยนายสมัคร อ้างว่าไม่ได้เป็นลูกจ้าง แต่รับเงินค่าจ้าง และถูกหักเงินภาษีตลอดมา ฉะนั้น ไม่ว่าจะตะแบงอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ความยุติธรรมยังมีอยู่ในโลกนี้
“ประเทศนี้ 10 ปีที่ผ่านมา เรารับประชาธิปไตยจากต่างชาติมาเพียงแค่เปลือก แต่จิตวิญญาณความบัดซบยังคงอยู่ ดังนั้นความบัดซบจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยจะเห็นได้จากนักการเมืองไทยแต่งตัวใส่สูทอย่างดี และยังทำจริตแบบชาติตะวันตก ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมของเราในขณะนี้ กำลังดำเนินการเป็นหัวหอกของการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะข้าราชการซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนดี กำลังรู้แล้วว่าพิษภัยของระบอบทักษิณ เป็นอย่างไร โดยเฉพาะกองทัพไทยวันนี้ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ได้พัฒนามาสู่ความเป็นเอกภาพอีกครั้งหนึ่ง คือไม่ทำตามคำสั่งของรัฐบาล”
นศ.บุกศธ.ไล่ “สมชาย” พ้นรมว.
วานนี้(10 ก.ย.)เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น.กลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษาในนามโรงเรียนสาธิตมัฆวาน และเครือข่ายเยาวชน แห่งมหาวิทยาลัยราชดำเนิน ประมาณ 100 คน นำโดยนายแสงธรรม ชุนชฎาธาร ประธานนักเรียนโรงเรียนสาธิตมัฆวาน ได้เคลื่อนขบวนมายังด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ถนนราชดำเนิน พร้อมกล่าวปราศรัยโจมตีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการถึงทัศนคติของรมว.ศึกษาธิการ ที่ห้ามนักเรียน นักศึกษายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ว่า เป็นทัศนคติที่คับแคบ ซึ่งนักเรียน นิสิต นักศึกษากลุ่มโรงเรียนสาธิตมัฆวาน ได้ใช้ป้ายผ้าสีขาวเขียนด้วยตัวอักษรสีแดง ข้อความว่า "กระทรวงศึกษาพิการ” ขึ้นปิดทับชื่อกระทรวงศึกษาธิการเดิม จากนั้นได้ประกาศว่า กระทรวงศึกษาฯ จะใช้ชื่อนี้จนกว่านายสมชายจะเปลี่ยนทัศนคติที่คับแคบเสียใหม่
จากนั้นตัวแทนเยาวชนโรงเรียนสาธิตมัฆวาน ได้อ่านแถลงการณ์โรงเรียนสาธิตมัฆวาน ฉบับที่ 6/2551 เรื่อง “ทวงถามข้อเรียกร้องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ”ว่า ตามที่โรงเรียนสาธิตมัฆวาน ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2551 เพื่อคัดค้านทัศนคติที่คับแคบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยเรียกร้องให้พิจารณาตนเองว่าสมควรอยู่ในตำแหน่งหรือไม่ โดยจะดำเนินการยื่นรายชื่อเยาวชนที่สนใจในปัญหาบ้านเมือง เพื่อดำเนินการในขั้นต่อไปนั้น
บัดนี้ แม้สถานการณ์จะเปลี่ยนไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้ที่เยาวชนไม่รู้จักชื่อ ไม่เคยจำหน้า เพราะได้ตายไปจากหัวใจของเยาวชนแล้ว จะต้องทำหน้าที่รักษาการรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากพฤติกรรม “กินไปบ่นไป” ของนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่มิได้หมายความว่า รัฐมนตรีผู้ด้อยวิสัยทัศน์ทางการศึกษาผู้นี้ จะไม่กลับมารั้งตำแหน่ง “เสมา 1” อีกครั้ง ดังนั้น เพื่ออนาคตของเยาวชน และของวงการการศึกษาของไทยที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างมีคุณภาพ เราจึงกลับมาเพื่อทวงถามและเรียกร้องในประเด็นดังต่อไปนี้
1.เราขอเรียกร้องให้รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลาออกจากตำแหน่งโดยทันที เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อเยาวชนผู้มีวิจารณญาณที่จะใช้สิทธิเสรีภาพอันพึงมีตามรัฐธรรมนูญ หากท่านยังนิ่งเฉยไม่พิจารณาข้อเรียกร้องนี้ เราพิจารณาการดำเนินการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญมาตรา 164 เพื่อเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภา ให้มีมติถอดถอนท่านออกจากการเป็นรัฐมนตรีต่อไป
2.เราขอเรียกร้องต่อกระทรวงศึกษาธิการ ออกกฎกระทรวงว่าด้วยการดำเนินการต่อผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่มีพฤติกรรมจำกัดสิทธิเสรีภาพของนักเรียน นิสิต นักศึกษา อันขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 มาตรา 45 มาตรา 63 และมาตรา 70 รวมทั้งกำหนดมาตรการเพื่อดำเนินการตามกฎระเบียบดังกล่าวอย่างจริงจัง
3.เราขอเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการ เข้าใจถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ต่างก็ปรารถนาจะเห็นบ้านเมืองสงบสุข ซึ่งจากทัศนคติของเจ้ากระทรวงศึกษาฯที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของเยาวชน เราจึงขอเปลี่ยนชื่อกระทรวงฯ จาก " กระทรวงศึกษาธิการ ” เป็น " กระทรวงศึกษาพิการ ” เพราะมีความพิการทางความคิด ที่ปิดกั้นสิทธิ เสรีภาพอันพึงมีของเยาวชนไทย เพื่อให้สังคมได้ตระหนัก และร่วมกันแก้ไขปัญหาอันเกิดจากทัศนคติคับแคบนี้ต่อไป
โรงเรียนสาธิตมัฆวานและเครือข่าย จะร่วมกันเพื่อดำเนินการเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมือง เป็นพลังบริสุทธิ์ที่จะมุ่งสร้างจิตสำนึกทางการเมืองให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติที่จะมีพลเมืองผู้รู้จัก เข้าใจ และอาสาปกป้องผลประโยชน์ของชาติในวันนี้ และในอนาคตสืบไป
จากนั้นเยาวชนโรงเรียนสาธิตฯ ได้เคลื่อนขบวนเข้ามายัง ศธ. หน้าอาคารราชวัลลภ เพื่อยื่นแถลงการณ์และรายชื่อนักเรียน นิสิต นักศึกษา จำนวน 3,000 คน เพื่อสนับสนุนการแสดงออกทางการเมืองของเยาวชนต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้กลุ่มเยาวชนฯ ยังได้นำขนมจีนเข้ามาใน ศธ. และถามหาน้ำยาจากนายสมชาย ซึ่งหากนายสมชายไม่มีน้ำยาก็จะไปขอน้ำยาจากพันธมิตรฯ
ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกมารับแถลงการณ์ พร้อมกล่าวว่า รู้สึกดีใจที่นักเรียน นักศึกษาออกมาใช้สิทธิแสดงความคิดเห็น ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่พึงกระทำได้ ซึ่งการเดินทาประท้วงใน ศธ.ทำได้ดี อยู่ในกรอบระเบียบวินัยที่ดี แม้จะใช้เสียงดัง ทั้งนี้ ตนในฐานะข้าราชการประจำมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายของทุกรัฐบาล แต่อยากให้มั่นใจว่าข้าราชการประจำเป็นกล่มที่จะดูแลผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว สำหรับแถลงการณ์ตนจะเป็นสื่อกลางเสนอต่อรักษาการณ์ รมว.ศธ.ต่อไป ส่วนจะตัดสินอย่างไรนั้นเป็นสิทธิส่วนบุคคลไม่สามารถตอบแทนได้
นายแสงธรรม กล่าวว่า หลังจากนี้หากนายสมชายยังไม่ยอมลาออก พวกเราจะเตรียมล่ารายชื่อ 20,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่ง และจะเคลื่อนไหวในลักษณะอารยะขัดขืนต่อไป
ด้านด.ช.สมศักดิ์ หมีน้ำเงิน นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า หากนายสมชายไม่ลาออก ต่อไปพวกเราก็จะมาปักหลักอยู่ที่กระทรวงศึกษาฯ และจะเชิญชวนเพื่อนนักเรียน นิสิต นักศึกษาออกมาชุมนุมร่วมกัน จนกว่านายสมชายจะลาออก
ตร.ลดกำลังพลเฝ้าม็อบพธม.
สำหรับการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยรอบการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯนั้น ปรากฏว่า ยังมีการสลับเปลี่ยนกำลังให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการกองปราบปรามตำรวจภูธรภาค 1 , 2 , 3 และ 7 ที่ได้รับการสับเปลี่ยนกำลังไปแล้วก่อนหน้านี้เข้ามาสลับปฏิบัติหน้าที่อีกครั้งในเวลา 20.00 น. อย่างไรก็ตามในส่วนของกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะนี้ ได้มีการปรับลดกำลังในการดูแลผู้ชุมนุมจาก 3,300 นาย เหลือเพียง 2,500 นายต่อวันเท่านั้น เนื่องจากสถานการณ์การชุมนุมเริ่มคลี่คลายเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว
ในสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่ได้ข้อสรุปในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี(ครม.)ใหม่ และการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีว่า จะเป็นนายสมัคร สุนทรเวช หรือไม่ ทำให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 5 คน ได้ประชุมหารือกัน และได้ข้อสรุปแนวทางการเมืองไว้ 3 แนวทาง คือ 1. การดึงดันเสนอชื่อนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี 2. การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล ระหว่างพรรคพลังประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ และ 3. แนวทางการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้แก่ประชาชน
โดยการชุมนุมของพันธมิตรฯผ่านมาแล้ว 109 วัน ขณะที่สามารถบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลเป็นวันที่ 16 แล้ว โดยจะยังคงปักหลักชุมนุมอย่างต่อเนื่อง แม้นายสมัคร จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว แต่ความไม่ชัดเจนในการสรรหาตัวบุคคลมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้พันธมิตรฯ ยังไม่ไว้วางใจว่าจะได้คนจากพรรคพลังประชาชน หรือพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ เพราะคนเหล่านี้เป็นนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่า
ซึ่งแนวทางการเมืองใหม่ที่ถูกออกแบบโดยพันธมิตรฯ คือ "รัฐบาลแห่งชาติ" แต่ยังไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าจะมาจากการเลือกตั้ง 30 และการสรรหา 70 เหมือนเดิมหรือไม่ แต่แกนนำพันธมิตรฯ ก็พร้อมจะเปิดโอกาสให้สังคมและผู้เกี่ยวข้องช่วยกันออกแบบ เพื่อให้ได้รัฐบาลที่เหมาะสมมาบริหารประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตาม แกนนำพันธมิตรฯ ยังคงยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยที่นายสมัคร จะกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ในการสรรหาตัวนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ขณะที่บรรยากาศของการชุมนุมในบริเวณทำเนียบรัฐบาลวานนี้(10ก.ย.) ก็ยังเต็มไปด้วยความคึกคัก โดยในช่วงเย็น ประชาชนผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯต่างทยอยเดินทางเข้าร่วมการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ร่วมกันแสดงพลังและจะมีการอ่านแถลงการณ์แสดงจุดยืนและการเคลื่อนไหวของกลุ่มนนป. นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการอภิปรายเรื่องพลังนักเรียนนิสิต นักศึกษากับการแก้ปัญหาวิกฤติของชาติ โดยมีศาสตราจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ เป็นวิทยากร รวมถึงการอ่านบทกวีจาก นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ สลับด้วยศิลปินหญิง "เคลลี นิวตันเวิร์" นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมชาวออสเตรเลียขึ้นบนเวทีฯ เพื่อขับร้องบทเพลงเชิดชูองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และให้กำลังใจแก่บรรดาพันธมิตรฯ
นอกจากนี้ ในช่วงค่ำทางผู้ดำเนินรายการบนเวทีฯ ได้ประกาศให้ทราบว่า ตั้งแต่วันนี้(11) ตั้งแต่เวลา 5 โมงเย็นก่อนถึงเวลาที่ 5 แกนนำพันธมิตรฯขึ้นเวทีนั้น จะเป็นการถ่ายสดทางASTV 3 เพื่อให้ลูกหลานของเราได้แสดงพลังอย่างแท้จริง ก่อนสลับมาถ่ายทอดสดเมื่อแกนนำพันธมิตรฯขึ้นบนเวทีในทำเนียบฯ
"สนธิ"ชี้รบ.นอมินีไม่พ้นเวรกรรม
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นกล่าวบนเวทีในเวลา 22.20 น. เปิดเผยว่า การประชุมของพรรคพลังประชาชนในวันศุกร์นี้ เพื่อเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังไม่รู้ว่าจะหมู่หรือจ่า และหมดวันศุกร์ไปแล้ว เชื่อว่ากระบวนการของในพรรคคงต้องรวนแร เกิดกระบวนการของพวกอวิชาขึ้นมา และหากในวินาทีสุดท้าย พรรคพลังประชาชนไม่เสนอชื่อนายสมัคร สุนทรเวช แล้ว แต่เสนอนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (น้องเขยแม้ว ปัจจุบันรักษาการนายกรัฐมนตรี)แทน พันธกิจและสงครามศักดิ์สิทธิ์ของพันธมิตรฯก็ยังไม่จบ
"ถ้าสมชาย วงศ์สวัสดิ์มา ประเทศชาติเสียหายแน่นอน ดังนั้น เราพันธมิตรฯขอยืนยันว่า เราต้องเอาประเทศไทยของเราคืนมา เพื่อให้ลูกหลานของเราได้อยู่ อยู่อย่างเป็นสุข "
นายสนธิกล่าวอีกว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ต่างจากในอดีต ที่กระบวนการสื่อสารใช้เวลาที่นาน แต่ขณะนี้ ด้วยลักษณะของการสื่อสารโทรคมนาคมที่รวดเร็วกว่าในอดีต และสามารถสื่อสารได้เร็วภายในไม่กี่วินาทีนี้เอง มีความสำคัญต่อผู้รับข่าวสารอย่างมาก เนื่องจากข้อมูลข่าวสารที่ไหลทะลักเข้ามาอย่างเร็วและมหาศาล ได้ถางโถมเข้ามาหาเรา แต่สิ่งที่พันธมิตรฯกำลังในตอนนี้ เรากำลังเรียกว่า "ไฮปเปร์ โพลิติ๊ก " หรือ " ยุคไฮปเปร์ทางการเมือง"
" หากจะเปรียบไปแล้ว ASTV กำลังทำหน้าที่ในการย่อยป่าทั้งป่าให้แก่ผู้ดูข่าวสาร ขณะที่ NBT เอาแค่ต้นไม้มานำเสนอ เสนอซ้ำๆ นั่นแปลว่า ผู้ที่รับข่าวสารของNBT เป็นผู้มีความรู้ แต่เจอ NBT ก็เลยทำให้ผู้ดูที่มีความรู้ โง่เขลาไปด้วย มีแต่พวกเราเท่านั้น ที่อยู่ที่นี้ ที่ดูASTV ย่อยข้อมูลข่าวสาร มีการหาความรู้ จนมีองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง และหากสังคมไทย มีคนแบบนี้สักคน ก็ทำให้ประเทศเสียหายน้อยลง และหากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ประเทศนี้เจริญ เราต้องสร้างสังคมอุดมปัญญาให้เกิดขึ้นให้ได้ นี้คือผลพลอยได้ของผู้มาร่วมชุมนุม ที่ได้ความรู้ นอกเหนือจากการแสดงความรักชาติ พระมหากษัตริย์ด้วย " นายสนธิกล่าว
พธม.ไม่เจรจาหากเสนอชื่อ"นายกฯนอมินี"
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯได้แถลงการณ์ถึงท่าทีของพันธมิตรฯต่อการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันศุกร์ ที่ 12 ก.ย. ถ้าพรรคพลังประชาชน(พปช.) ยังเลือกนายสมัคร สุนทรเวช หรือตัวแทนที่เป็นนอมินี พันธมิตรฯ ก็ยังปักหลกชุมนุมและยึดทำเนียบรัฐบาล เป็นสถานที่ชุนมุนตามเดิม อยากแนะนำว่าพรรคพลังประชาชนน่าจะใช้โอกาสนี้ เปิดใจให้กว้างรับฟังขอเสนอจากฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เคยระบุไว้ว่า ปัญหาการเมืองควรแก้กันในสภา ดังนั้น จึงอยากให้ทุกฝ่าย ทำหน้าที่ของตัวเอง เพื่อคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากเลยวันศุกร์ไปแล้ว ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ก็จะทำให้อำนาจนอกสภาเข้ามามีบทบาท เป็นการเพิ่มเงื่อนไข ให้เกิดรัฐประหารสูงขึ้น การเดินหน้าโดยไม่สนใจกระแสสังคม พปช.จะต้องรับผิดชอบเพราะเป็นผู้สร้างเงื่อนไขเหล่านี้
" ผมอยากฝากถึง นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยและหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลคนอื่นๆ ให้กลับไปพิจารณาเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งมีข้อหนึ่งที่เคยพูดไว้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องกลับมาสู้คดีในประเทศ เนื่องจากขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ หนีหมายจับ ดังนั้น พรรคร่วมรัฐบาลก็ควรทบทวนจุดยืนตัวเอง และหากวันศุกร์นี้ ยังไม่มีทางออกที่ดี กลุ่มพันธมิตรฯก็จะชุมนุมเคลื่อนไหวต่อไป แต่ถ้าหากวันศุกร์นี้มีทางออกที่ดี ทางพันธมิตรฯ ก็พร้อมทบทวนการเคลื่อนไหว และยินดีที่จะเจรจา แต่ถ้าหากพรรคพลังประชาชนยังเสนอชื่อนายสมัคร หรือ คนที่เป็นนอมินี ปัญหาก็ยังจะเป็นแบบเดิม" นายสุริยะใสกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลพิเศษแห่งชาติที่ผู้นำฝ่ายค้านเสนอนั้น กลุ่มพันธมิตรฯมองอย่างไร นายสุริยะใส กล่าวว่า ยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดแต่ก็เป็นทางออกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็เห็นด้วยและจะนำไปพิจารณารายละเอียดว่า มีเงื่อนไขอย่างไร ซึ่งแม้จะไมาใช่เงื่อนไขที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่ง สิ่งที่พันธมิตรฯเรียกร้องนั้น ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่ต้องการให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และคิดว่าวันศุกร์นี้ คงจะเป็นโอกาสสุดท้ายของสภา แต่ถ้าหากยังเห็นแก่ตัวอยู่ ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามา
อย่างไรก็ตามในวันนี้(11 ก.ย.) แกนนำพันธมิตรฯ จะประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดท่าทีการเคลื่อนไหวว่า ในวันศุกร์นี้(12 ก.ย.) จะเคลื่อนไปชุมนุมที่หน้าสภาอีกไหม
"หมัก”มาอีกติดคุก!คดีหมิ่นชั้นอุทธรณ์
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวยืนยันจุดยืนเดิมคือ ไม่ต้องการนายกรัฐมนตรีที่ชื่อนายสมัคร สุนทรเวช เนื่องจากนายสมัคร ยังคงมีคดีหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อีกคดีหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาในวันที่ 25 ก.ย.นี้ ซึ่งหากปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิจารณายืนตามศาลชั้นต้น นายสมัครก็ต้องพ้นจากตำแหน่งเช่นเดิม เพราะศาลมีคำพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญา ทั้งนี้ มองว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม หากพรรคพลังประชาชนจะยังยืนยันเสนอชื่อนายสมัคร ตามเดิม ก็ถือว่าเป็นสิทธิ
นอกจากนี้ พล.ต.จำลอง กล่าวด้วยว่า ตลอดเวลา 109 วันที่ผ่านมาที่กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมกันนั้น ไม่ได้ชูใครเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งขอยืนยันจุดเดิมคือ จะชุมนุมต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และขับไล่นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐบาลจะต้องลาออก
" การกู้ชาติช่วยบ้านเมืองในช่วงที่ผ่านมานั้น ในอดีตก็เกิดขึ้นมาจากคนกลุ่มน้อยเหมือนกับช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยาที่พระนเรศวรมหาราช ออกมากู้ชาติด้วยคนเพียงกลุ่มน้อยเท่านั้น และก็เหมือนกับการชุมนุมของพันธมิตรฯในวันนี้ ที่ออกมากู้ชาติเพียงไม่มากหากเทียบกับคนทั้งประเทศกว่า 60 ล้าน แต่อย่างไรก็ตาม อยากให้พี่น้องที่มาชุมนุมอยู่กันด้วยความสบายใจ ซึ่งสังคมที่พันธมิตรชุมนุมกันอยู่นั้นเป็นสังคมที่น่าอยู่มาก" พล.ต.จำลองกล่าว
"ภูวดล”ยกความยุติธรรมตอกหน้า"หมัก”
ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขึ้นเวทีพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช หมดความเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการจัดรายการชิมไปบ่นไป เพราะเข้าข่ายการเป็นลูกจ้างว่า เป็นวันที่ชาวไทยทุกคนต่างเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน เพราะถ้าเราศึกษาข้อเท็จจริงตั้งแต่สมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาจนถึงรัฐบาลในสมัยของนายสมัคร สุนทรเวช นั้น รัฐบาลเหล่านี้นพยายามอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง และพวกพ้อง เพราะคนเหล่านี้เชื่อว่าสามารถครอบงำกระบวนการยุติธรรมได้อย่างง่ายดาย
" เห็นได้จากคดีซุกหุ้น ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยในขณะนั้นกระบวนการยุติธรรมได้ถูกแทรกแซงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้บรรดาข้าราชการ และขุนนางกังฉินบางคน ก็ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ของนักการเมืองพันธุ์ชั่วเหล่านี้ จึงเกิดตำนาน “ขอให้เป็นความผิดสักครั้งหนึ่ง เพื่อชาติบ้านเมือง” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประเทศไทยก็ยินยอมให้คนชั่วช้าสารเลว ก้าวขึ้นเป็นนายกฯ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่การซุกหุ้นนั้น เกิดขึ้นจากกรณีที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวีในขณะนั้น ซึ่งมีหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จากนั้นอีกไม่นาน สถานีโทรทัศน์ไอทีวี กลายเป็นของเครือชินวัตร” ดร.ภูวดล กล่าว
ส่วนกระบวนการยุติธรรมของไทยซึ่งถูกครอบงำนั้น ดร.ภูวดล กล่าวว่า เกิดจากวิธีการฉ้อฉลต่างๆ ของนักการเมืองพันธุ์ชั่วช้าสารเลว ซึ่งรวมตัวอยู่ในพรรคไทยรักไทยขณะนั้น และกลายเป็นมรดกตกทอดมายังพรรคพลังประชาชนในขณะนี้ ถ้าศึกษาตามข้อเท็จจริง ก็จะเห็นว่าหลักเกณฑ์ของกฎหมายบางครั้งก็ถูกลบล้างด้วยข้อเท็จจริงเหมือนกรณีที่เกิดขึ้นในวันนี้ โดยเฉพาะรัฐบาลนี้ใช้วิธีตะแบงภาษาเป็นหลัก โดยนายสมัคร อ้างว่าไม่ได้เป็นลูกจ้าง แต่รับเงินค่าจ้าง และถูกหักเงินภาษีตลอดมา ฉะนั้น ไม่ว่าจะตะแบงอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ความยุติธรรมยังมีอยู่ในโลกนี้
“ประเทศนี้ 10 ปีที่ผ่านมา เรารับประชาธิปไตยจากต่างชาติมาเพียงแค่เปลือก แต่จิตวิญญาณความบัดซบยังคงอยู่ ดังนั้นความบัดซบจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยจะเห็นได้จากนักการเมืองไทยแต่งตัวใส่สูทอย่างดี และยังทำจริตแบบชาติตะวันตก ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมของเราในขณะนี้ กำลังดำเนินการเป็นหัวหอกของการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะข้าราชการซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนดี กำลังรู้แล้วว่าพิษภัยของระบอบทักษิณ เป็นอย่างไร โดยเฉพาะกองทัพไทยวันนี้ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ได้พัฒนามาสู่ความเป็นเอกภาพอีกครั้งหนึ่ง คือไม่ทำตามคำสั่งของรัฐบาล”
นศ.บุกศธ.ไล่ “สมชาย” พ้นรมว.
วานนี้(10 ก.ย.)เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น.กลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษาในนามโรงเรียนสาธิตมัฆวาน และเครือข่ายเยาวชน แห่งมหาวิทยาลัยราชดำเนิน ประมาณ 100 คน นำโดยนายแสงธรรม ชุนชฎาธาร ประธานนักเรียนโรงเรียนสาธิตมัฆวาน ได้เคลื่อนขบวนมายังด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ถนนราชดำเนิน พร้อมกล่าวปราศรัยโจมตีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการถึงทัศนคติของรมว.ศึกษาธิการ ที่ห้ามนักเรียน นักศึกษายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ว่า เป็นทัศนคติที่คับแคบ ซึ่งนักเรียน นิสิต นักศึกษากลุ่มโรงเรียนสาธิตมัฆวาน ได้ใช้ป้ายผ้าสีขาวเขียนด้วยตัวอักษรสีแดง ข้อความว่า "กระทรวงศึกษาพิการ” ขึ้นปิดทับชื่อกระทรวงศึกษาธิการเดิม จากนั้นได้ประกาศว่า กระทรวงศึกษาฯ จะใช้ชื่อนี้จนกว่านายสมชายจะเปลี่ยนทัศนคติที่คับแคบเสียใหม่
จากนั้นตัวแทนเยาวชนโรงเรียนสาธิตมัฆวาน ได้อ่านแถลงการณ์โรงเรียนสาธิตมัฆวาน ฉบับที่ 6/2551 เรื่อง “ทวงถามข้อเรียกร้องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ”ว่า ตามที่โรงเรียนสาธิตมัฆวาน ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2551 เพื่อคัดค้านทัศนคติที่คับแคบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยเรียกร้องให้พิจารณาตนเองว่าสมควรอยู่ในตำแหน่งหรือไม่ โดยจะดำเนินการยื่นรายชื่อเยาวชนที่สนใจในปัญหาบ้านเมือง เพื่อดำเนินการในขั้นต่อไปนั้น
บัดนี้ แม้สถานการณ์จะเปลี่ยนไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้ที่เยาวชนไม่รู้จักชื่อ ไม่เคยจำหน้า เพราะได้ตายไปจากหัวใจของเยาวชนแล้ว จะต้องทำหน้าที่รักษาการรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากพฤติกรรม “กินไปบ่นไป” ของนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่มิได้หมายความว่า รัฐมนตรีผู้ด้อยวิสัยทัศน์ทางการศึกษาผู้นี้ จะไม่กลับมารั้งตำแหน่ง “เสมา 1” อีกครั้ง ดังนั้น เพื่ออนาคตของเยาวชน และของวงการการศึกษาของไทยที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างมีคุณภาพ เราจึงกลับมาเพื่อทวงถามและเรียกร้องในประเด็นดังต่อไปนี้
1.เราขอเรียกร้องให้รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลาออกจากตำแหน่งโดยทันที เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อเยาวชนผู้มีวิจารณญาณที่จะใช้สิทธิเสรีภาพอันพึงมีตามรัฐธรรมนูญ หากท่านยังนิ่งเฉยไม่พิจารณาข้อเรียกร้องนี้ เราพิจารณาการดำเนินการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญมาตรา 164 เพื่อเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภา ให้มีมติถอดถอนท่านออกจากการเป็นรัฐมนตรีต่อไป
2.เราขอเรียกร้องต่อกระทรวงศึกษาธิการ ออกกฎกระทรวงว่าด้วยการดำเนินการต่อผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่มีพฤติกรรมจำกัดสิทธิเสรีภาพของนักเรียน นิสิต นักศึกษา อันขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 มาตรา 45 มาตรา 63 และมาตรา 70 รวมทั้งกำหนดมาตรการเพื่อดำเนินการตามกฎระเบียบดังกล่าวอย่างจริงจัง
3.เราขอเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการ เข้าใจถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ต่างก็ปรารถนาจะเห็นบ้านเมืองสงบสุข ซึ่งจากทัศนคติของเจ้ากระทรวงศึกษาฯที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของเยาวชน เราจึงขอเปลี่ยนชื่อกระทรวงฯ จาก " กระทรวงศึกษาธิการ ” เป็น " กระทรวงศึกษาพิการ ” เพราะมีความพิการทางความคิด ที่ปิดกั้นสิทธิ เสรีภาพอันพึงมีของเยาวชนไทย เพื่อให้สังคมได้ตระหนัก และร่วมกันแก้ไขปัญหาอันเกิดจากทัศนคติคับแคบนี้ต่อไป
โรงเรียนสาธิตมัฆวานและเครือข่าย จะร่วมกันเพื่อดำเนินการเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมือง เป็นพลังบริสุทธิ์ที่จะมุ่งสร้างจิตสำนึกทางการเมืองให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติที่จะมีพลเมืองผู้รู้จัก เข้าใจ และอาสาปกป้องผลประโยชน์ของชาติในวันนี้ และในอนาคตสืบไป
จากนั้นเยาวชนโรงเรียนสาธิตฯ ได้เคลื่อนขบวนเข้ามายัง ศธ. หน้าอาคารราชวัลลภ เพื่อยื่นแถลงการณ์และรายชื่อนักเรียน นิสิต นักศึกษา จำนวน 3,000 คน เพื่อสนับสนุนการแสดงออกทางการเมืองของเยาวชนต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้กลุ่มเยาวชนฯ ยังได้นำขนมจีนเข้ามาใน ศธ. และถามหาน้ำยาจากนายสมชาย ซึ่งหากนายสมชายไม่มีน้ำยาก็จะไปขอน้ำยาจากพันธมิตรฯ
ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกมารับแถลงการณ์ พร้อมกล่าวว่า รู้สึกดีใจที่นักเรียน นักศึกษาออกมาใช้สิทธิแสดงความคิดเห็น ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่พึงกระทำได้ ซึ่งการเดินทาประท้วงใน ศธ.ทำได้ดี อยู่ในกรอบระเบียบวินัยที่ดี แม้จะใช้เสียงดัง ทั้งนี้ ตนในฐานะข้าราชการประจำมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายของทุกรัฐบาล แต่อยากให้มั่นใจว่าข้าราชการประจำเป็นกล่มที่จะดูแลผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว สำหรับแถลงการณ์ตนจะเป็นสื่อกลางเสนอต่อรักษาการณ์ รมว.ศธ.ต่อไป ส่วนจะตัดสินอย่างไรนั้นเป็นสิทธิส่วนบุคคลไม่สามารถตอบแทนได้
นายแสงธรรม กล่าวว่า หลังจากนี้หากนายสมชายยังไม่ยอมลาออก พวกเราจะเตรียมล่ารายชื่อ 20,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่ง และจะเคลื่อนไหวในลักษณะอารยะขัดขืนต่อไป
ด้านด.ช.สมศักดิ์ หมีน้ำเงิน นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า หากนายสมชายไม่ลาออก ต่อไปพวกเราก็จะมาปักหลักอยู่ที่กระทรวงศึกษาฯ และจะเชิญชวนเพื่อนนักเรียน นิสิต นักศึกษาออกมาชุมนุมร่วมกัน จนกว่านายสมชายจะลาออก
ตร.ลดกำลังพลเฝ้าม็อบพธม.
สำหรับการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยรอบการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯนั้น ปรากฏว่า ยังมีการสลับเปลี่ยนกำลังให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการกองปราบปรามตำรวจภูธรภาค 1 , 2 , 3 และ 7 ที่ได้รับการสับเปลี่ยนกำลังไปแล้วก่อนหน้านี้เข้ามาสลับปฏิบัติหน้าที่อีกครั้งในเวลา 20.00 น. อย่างไรก็ตามในส่วนของกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะนี้ ได้มีการปรับลดกำลังในการดูแลผู้ชุมนุมจาก 3,300 นาย เหลือเพียง 2,500 นายต่อวันเท่านั้น เนื่องจากสถานการณ์การชุมนุมเริ่มคลี่คลายเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว