ผู้จัดการรายวัน - นักลงทุนหยุดเทรดหุ้น รอดูสถานการณ์การเมืองนิ่ง หลังกลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศนัดเผด็จศึกรัฐบาล "สมัคร" วันนี้ ฉุดมูลค่าการซื้อขายเงียบเหงาแค่ 7.5 พันล้านบาท สวนทางตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า โบรกเกอร์ แนะจับตาผลการชุมนุมอย่างใกล้ชิด อาจส่งผลถึงขั้นเปลี่ยนรัฐบาล ด้านประธานบริหารบล.ทิสโก้ เผยไตรมาส 4 อาจเห็นตลาดหุ้นฟื้นตัว หลังจากนักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นไทยแล้วกว่า 1 แสนล้าน
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (25 ส.ค) ยังคงถูกกดดันด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่น ทำให้นักลงทุนได้ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนก่อน โดยเฉพาะเรื่องที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นัดรวมตัวชุมนุมกันเพื่อกดดันให้รัฐบาลลาออกในวันนี้ (26 ส.ค.) ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก
จากประเด็นดังกล่าวได้กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 676.37 จุด สูงสุด 681.17 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 678.20 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้า 3.73 จุด หรือคิดเป็น 0.55 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 7,530.70 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศได้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง คือมียอดซื้อสุทธิ 188.90 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันยอดซื้อสุทธิ 277.20 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 466.10 ล้านบาท
นายชัย จีรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวอยู่แดนลบระหว่าง 676-678 จุด สวนทางกับดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่หุ้น PTT, BANPU ปรับลดลงสูงสุด เนื่องจากราคาน้ำมันที่ผันผวน ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคาร SCB, KBANK, BBL มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นคงจะปรับตัวลดลงท่ามกลางความเงียบเหงา เพื่อรอดูผลการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และติดตามการประชุมนโยบายการเงินของธปท. ในวันที่ 27 ส.ค. 51 โดยให้แนวรับที่ 670 จุด
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นักลงทุนได้เทขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง แม้จะได้รับกำลังหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่สุดท้ายดัชนีตลาดหุ้นไม่สามารถยืนอยู่ในแดนบวกได้
"แนวโน้มตลาดในวันนี้คาดว่ายังซบเซา โดยนักลงทุนส่วนใหญ่จะรอดูผลจากการนัดชุมนุมขับไล่รัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่หุ้นกลุ่มเหล็ก ยังน่าสนใจเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะบมจ. จีสตีล (GSTEEL) ที่มีนักลงทุนต่างประเทศสนใจเข้ามาร่วมทุน"
นายไพบูลย์ นลินทรากูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ช่วงนี้ภาวะตลาดหุ้นค่อนข้างซบเซา เนื่องจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศที่ยังไม่ชัดเจนจนกดดันบรรยากาศการลงทุนและส่งผลให้ตลาดยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ แต่คาดว่าตลาดหุ้นอาจจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
สำหรับประเด็นเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 2/51 ที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ไม่สามารถช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยได้ เพราะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศที่มีน้ำหนักมากกว่าและส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในแถบภูมิภาคแล้ว เช่น ตลาดหุ้นจีน ที่ปรับลดลงประมาณ 60% หรือฮ่องกง ลดลงประมาณ 25%
ส่วนทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศนั้น ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิหุ้นไปแล้วประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่ได้โยกเงินไปลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ แต่คาดว่าช่วงนี้นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการขายบ้าง หลังจากขายออกมามากแล้ว ดังนั้นปัจจัยจากภายนอกมีสัญญาณการฟื้นตัวจะส่งผลดีต่อการลงทุน
"ปัจจัยต่างประเทศยังคงมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะเรื่องของสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว รวมถึงราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจนส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ขณะที่ปัจจัยในประเทศ คงเป็นเรื่องของการเมืองที่ยังไม่คลี่คลาย จึงทำให้ตลาดหุ้นซบเซา แต่ในช่วงนี้ที่ดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับกว่า 600 จุด ก็น่าจะเป็นจังหวะที่เข้ามลงทุน เพราะคาดว่าตลาดหุ้นน่าจะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 4 นี้"
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น มีโอกาสที่จะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในประเทศน่าจะปรับตัวลดลง แต่คงไม่มีผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นมากนัก เพราะตลาดหุ้นได้ปรับตัวรับข่าวไปล่วงหน้าแล้ว
นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในสัปดาห์หน้าบล.จะเดินทางไปแสดงข้อมูล (โรดโชว์) ที่มลรัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐฯ พร้อมกับบริษัทจดทะเบียนอีก 5 แห่ง หลังจากที่ก่อนหน้าได้ร่วมโรดโชว์กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี โดยการเดินทางไปครั้งนี้ได้เตรียมตัวสำหรับการตอบคำถามจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งมักจะถามเกี่ยวกับการเมืองในประเทศ รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นความล่าช้าของโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ที่มีความล่าช้า โดยนักลงทุนส่วนใหญ่
"ฮั่งเส็ง-นิกเกอิ"กอดคอกันร่วง
สำหรับความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นฮ่องกง วานนี้ (25 ส.ค.) ดัชนีฮั่งเส็งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแรง หลังจากเศรษฐกิจเศรษฐกิจจีนกระเตื้องและมีทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยตลาดดัชนีฮั่งเส็งปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับสูงสุด 21,108.25 จุด ต่ำสุด 20,739.48 จุด ก่อนจะปิดที่ 21,104.79 จุด เพิ่มขึ้น 712.73 จุด หรือ 3.5% ด้านตลาดหุ้นโตเกียว นักลงทุนแห่เข้ามาช้อนซื้อหุ้นหลังจากก่อนหน้านี้ดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงติดต่อกัน 4 วันทำการ และขานรับดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุด 12,949.33 จุด และปิดการซื้อขายที่ 12,878.66 จุด เพิ่มขึ้น 212.62 จุด หรือคิดเป็น 1.7%
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (25 ส.ค) ยังคงถูกกดดันด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่น ทำให้นักลงทุนได้ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนก่อน โดยเฉพาะเรื่องที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นัดรวมตัวชุมนุมกันเพื่อกดดันให้รัฐบาลลาออกในวันนี้ (26 ส.ค.) ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก
จากประเด็นดังกล่าวได้กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 676.37 จุด สูงสุด 681.17 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 678.20 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้า 3.73 จุด หรือคิดเป็น 0.55 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 7,530.70 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศได้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง คือมียอดซื้อสุทธิ 188.90 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันยอดซื้อสุทธิ 277.20 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 466.10 ล้านบาท
นายชัย จีรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวอยู่แดนลบระหว่าง 676-678 จุด สวนทางกับดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่หุ้น PTT, BANPU ปรับลดลงสูงสุด เนื่องจากราคาน้ำมันที่ผันผวน ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคาร SCB, KBANK, BBL มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นคงจะปรับตัวลดลงท่ามกลางความเงียบเหงา เพื่อรอดูผลการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และติดตามการประชุมนโยบายการเงินของธปท. ในวันที่ 27 ส.ค. 51 โดยให้แนวรับที่ 670 จุด
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นักลงทุนได้เทขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง แม้จะได้รับกำลังหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่สุดท้ายดัชนีตลาดหุ้นไม่สามารถยืนอยู่ในแดนบวกได้
"แนวโน้มตลาดในวันนี้คาดว่ายังซบเซา โดยนักลงทุนส่วนใหญ่จะรอดูผลจากการนัดชุมนุมขับไล่รัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่หุ้นกลุ่มเหล็ก ยังน่าสนใจเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะบมจ. จีสตีล (GSTEEL) ที่มีนักลงทุนต่างประเทศสนใจเข้ามาร่วมทุน"
นายไพบูลย์ นลินทรากูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ช่วงนี้ภาวะตลาดหุ้นค่อนข้างซบเซา เนื่องจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศที่ยังไม่ชัดเจนจนกดดันบรรยากาศการลงทุนและส่งผลให้ตลาดยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ แต่คาดว่าตลาดหุ้นอาจจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
สำหรับประเด็นเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 2/51 ที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ไม่สามารถช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยได้ เพราะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศที่มีน้ำหนักมากกว่าและส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในแถบภูมิภาคแล้ว เช่น ตลาดหุ้นจีน ที่ปรับลดลงประมาณ 60% หรือฮ่องกง ลดลงประมาณ 25%
ส่วนทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศนั้น ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิหุ้นไปแล้วประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่ได้โยกเงินไปลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ แต่คาดว่าช่วงนี้นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการขายบ้าง หลังจากขายออกมามากแล้ว ดังนั้นปัจจัยจากภายนอกมีสัญญาณการฟื้นตัวจะส่งผลดีต่อการลงทุน
"ปัจจัยต่างประเทศยังคงมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะเรื่องของสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว รวมถึงราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจนส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ขณะที่ปัจจัยในประเทศ คงเป็นเรื่องของการเมืองที่ยังไม่คลี่คลาย จึงทำให้ตลาดหุ้นซบเซา แต่ในช่วงนี้ที่ดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับกว่า 600 จุด ก็น่าจะเป็นจังหวะที่เข้ามลงทุน เพราะคาดว่าตลาดหุ้นน่าจะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 4 นี้"
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น มีโอกาสที่จะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในประเทศน่าจะปรับตัวลดลง แต่คงไม่มีผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นมากนัก เพราะตลาดหุ้นได้ปรับตัวรับข่าวไปล่วงหน้าแล้ว
นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในสัปดาห์หน้าบล.จะเดินทางไปแสดงข้อมูล (โรดโชว์) ที่มลรัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐฯ พร้อมกับบริษัทจดทะเบียนอีก 5 แห่ง หลังจากที่ก่อนหน้าได้ร่วมโรดโชว์กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี โดยการเดินทางไปครั้งนี้ได้เตรียมตัวสำหรับการตอบคำถามจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งมักจะถามเกี่ยวกับการเมืองในประเทศ รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นความล่าช้าของโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ที่มีความล่าช้า โดยนักลงทุนส่วนใหญ่
"ฮั่งเส็ง-นิกเกอิ"กอดคอกันร่วง
สำหรับความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นฮ่องกง วานนี้ (25 ส.ค.) ดัชนีฮั่งเส็งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแรง หลังจากเศรษฐกิจเศรษฐกิจจีนกระเตื้องและมีทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยตลาดดัชนีฮั่งเส็งปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับสูงสุด 21,108.25 จุด ต่ำสุด 20,739.48 จุด ก่อนจะปิดที่ 21,104.79 จุด เพิ่มขึ้น 712.73 จุด หรือ 3.5% ด้านตลาดหุ้นโตเกียว นักลงทุนแห่เข้ามาช้อนซื้อหุ้นหลังจากก่อนหน้านี้ดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงติดต่อกัน 4 วันทำการ และขานรับดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุด 12,949.33 จุด และปิดการซื้อขายที่ 12,878.66 จุด เพิ่มขึ้น 212.62 จุด หรือคิดเป็น 1.7%