ตลาดหุ้นไทยทรุดหนัก ดัชนีภาคเช้าปรับลงหนักกว่า 33 จุด ลดลงติดต่อกันเป็นวันที่ 4 โดยมีแรงขายในหุ้นกลุ่มหลัก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค โบรกฯ ประเมินแนวรับในรอบนี้ ยังหาไม่เจอ
ภาวะการลงทุนวันนี้ (18 ก.ย.) ดัชนีหุ้นไทยดิ่งลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ดัชนีเปิดตลาดเช้าปรับลงต่อเนื่อง มีแรงขายหนักในหุ้นกลุ่มหลักทุกตัว เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับลดลงอย่างหนักถ้วนหน้า ทั้งตลาดหุ้นฮ่องกงและจีน โดยเมื่อเวลา 10.59 น.ดัชนีอยู่ที่ระดับ 574.81 จุด ลดลง 30.33 จุด เปลี่ยนแปลง 5.01%
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไซรัส ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ปรับตัวลงแรงเช่นเดียวกับตลาดในต่างประเทศ เนื่องจากการล้มละลายของสถาบันการเงินในสหรัฐ จึงทำให้นักลงทุนยังมีความกังวล ตอนนี้ตลาดเข้า สู่สภาวะ bearish ไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะนี้นักลงทุนมีความกังวลในปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ และเกรงว่า โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ และ มอร์แกน สแตนเลย์ ซึ่งเป็น 2 บริษัทวาณิชธนกิจที่ใหญ่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งยังพอยืนได้ อาจโดนผลกระทบโดมิโน่ของตลาดรวม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแฮมเบอร์เกอร์ไครซิสต์ โดยเชื่อว่าปัญหาดังกล่าว คาดว่า จะยืดเยื้อต่อไปอีกนาน และจะเป็นปัจจัยที่กดดันตลาด ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลงแรงต่อเนื่องจากเปิดตลาด ตามตลาดต่างประเทศที่ปรับลงแรงมากกว่า 4% เป็นส่วนใหญ่ อย่างตลาดหุ้นจีนลดลง 6% ตลาดหุ้นฮ่องกง 7% จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หุ้นไทยจะลงตามไปด้วยในวันนี้ สาเหตุเดิมหุ้นที่มีนักลงทุนต่างประเทศยิ่งถือเยอะเท่าไรก็ยิ่งลงแรงเท่านั้น
สำหรับการลดลงของดัชนีหุ้นไทยในรอบนี้ หากนับตั้งแต่ต้นสัปดาห์ดัชนีลงมา 12.6% แล้ว โดยดัชนีหุ้นปิดทำการสัปดาห์ก่อนที่ 654 จุด ตอนนี้ลงมาที่ 572 จุด ถือว่าลงเยอะมากเพราะดัชนีไหลลงไม่หยุด และยังไม่รู้ว่ารอบนี้จะไปหยุดที่เท่าใด
“คงทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศ ทางการคงทำอะไรมากไม่ได้ ดัชนีไหลลงแบบถือว่าน่ากลัว แนวรับหลุดไปหมดแล้ว ก่อนหน้านี้มองไว้ที่ 587 จุด ก็ยังทะลุหลุดไปได้ ดังนั้น แนวรับต่อไปหายากแล้ว”
ด้าน นักวิเคราะห์ บล.ซิตี้ คอร์ป (ประเทศไทย) ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงในวันนี้เป็นเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย อย่างตลาดฮ่องกงก็ร่วงถึง 7% ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากภาคการเงินในสหรัฐฯ กำลังลุกลามและส่งผลกระทบรุนแรงไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก ถือเป็นปัญหาในระดับ Global ไปแล้ว และยังไม่รู้ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงไปลึกแค่ไหนแล้วในตอนนี้ เพราะแรงขายต่างชาติเข้ามามากในวันนี้
นักวิเคราะห์ บล.ซิตี้ คอร์ป มองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ น่าจะมีการเกิด Redemption ของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งวันนี้แรงขายของต่างชาติก็ออกมามาก ประกอบกับนักลงทุนอื่นๆ ก็กลัวและขายหุ้นออกมาด้วยเช่นกัน ทำให้ตลาดลงได้มากขนาดนี้ Sentiment ของตลาดทั่วโลกตอนนี้เป็นลบ ซึ่งวันนี้ก็ได้มองแนวรับไว้ที่ 580 จุด เช้านี้ก็ได้หลุดแนวนี้ไปแล้ว ตอนนี้ในเชิงเทคนิคเคิลดูไม่ได้แล้ว แล้วก็ยังมองไม่ออกว่าจะลงลึกไปถึงแค่ไหน
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สถาบันวิจัย บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ยังปรับลงตามตลาดต่างประเทศ ประเด็นหลักน่าจะเป็นเรื่องของการ sell asset ออกมาของพวกสถาบันการเงินที่มีปัญหาต้องหาเงินไปใช้
ทิศทางยังลงต่อได้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเรื่องของวิกฤตของความเชื่อมั่นทำให้คนไปกังวลถึงสถาบันการเงินอื่นอีกที่อาจจะมีปัญหาทำให้ทุกคนหนีออกจากตลาดหุ้นไปถือเงินสด ถือพันธบัตร ถือทองคำ เพราะฉะนั้นการขายแบบนี้เป็นแรงขายที่ประเมินทางพื้นฐานไม่ได้ว่าจะลงไปเท่าไร
“วันนี้ถือเป็นอีกวันที่ลงแรงมากแต่ก็เยอะเหมือนกันทุกที่ อย่างตลาดหุ้นฮ่องกงลง 7% หุ้นไทยคิดว่า 5% ต่อวันก็ถือว่าเยอะแล้ว ถามว่า ดัชนีช่วงบ่ายจะเป็นอย่างไร ต้องดูยุโรปเปิดตลาดอีก อย่างวานนี้ช่วงบ่ายก็ปรับลงแรงกว่าช่วงเช้า ระยะสั้นเสี่ยงสูงคงยังทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ ต้องชะลอการลงทุนออกไปก่อน”
**ตลท.เชื่อไม่ถึงขั้นใช้ เซอร์กิต เบรกเกอร์
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานคณะกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การที่วันนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำสุดถึง 5% เป็นไปตามภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงกันถ้วยหน้า โดยเฉพาะตลาดหุ้นดาวโจนส์ที่ปรับตัวลดลงไปเกือบ 1 พันจุดในสัปดาห์นี้ จากความกังวลเรื่องสถาบันการเงินที่คาดว่าจะลุกลามไปยังสถาบันการเงินอีกหลายๆ แห่ง และมีแรงเทขายจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการนำเงินกลับประเทศไปแก้ไขปัญหา
อย่างไรก็ตาม ตลท.มีมาตรการรองรับหากดัชนีที่ร่วงลงไปแรงถึง 10% โดยจะมีการหยุดการซื้อขายชั่วคราว 30 นาที หรือมาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ เพื่อให้นักลงทุนมีเวลาตัดสินใจการลงทุนอย่างรอบคอบ แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยคงจะไม่ลดลงไปแรงถึงขนาดนั้น และคงไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการดังกล่าว
นายปกรณ์ กล่าวอีกว่า ไม่อยากให้นักลงทุนไทยตื่นตระหนกและเทขายหุ้นออกในขณะนี้ เนื่องจากหุ้นหลายตัวมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีการจ่ายปันผลสูง และช่วงนี้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ถือเป็นโอกาสเข้าลงทุนเพื่อจะได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินในธนาคาร
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 11.14 น.ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 571.52 จุด ลดลง 33.62 จุด เปลี่ยนแปลง -5.56%
ล่าสุด ดัชนีปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 574.42 จุด ลดลง 30.72 จุด เปลี่ยนแปลง -5.08% มูลค่าการซื้อขาย 8,540.98 ล้านบาท