xs
xsm
sm
md
lg

แฉนิรโทษโรงสีหวังผลเลือกตั้ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน-ครม.ไฟเขียวตั้งคณะกรรมการศึกษาและพัฒนาการระบบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง หวังให้เกิดความเป็นธรรมทุกฝ่าย หลังฝ่ายค้านติงรวบอำนาจ “ยรรยง” เตรียมประชุมนัดเพื่อยกร่างกฎหมายคุมค้าปลีกยุติปัญหาโชห่วย ขณะที่“พาณิชย์”ยันไม่ปล่อยผี 50 โรงสีบัญชีดำทุกราย ส่วนพวกขาดสภาพคล่องได้สิทธิ์เจรจาก่อน ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับแนวคิด “ไชยา ” หวั่นเลือกเจรจา หวังสร้างอิทธิพลสร้างขุมกำลังก่อนเลือกตั้ง

วานนี้(19 ส.ค.)  นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นวาระทราบจร เพื่อขอจัดตั้งคณะกรรมการศึกษาและพัฒนาการระบบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ผ่านนายธีรพล นพลัมภา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยมีหนังสือลงเลขที่ 0408/3454 วันที่ 18 ส.ค.51 โดยที่ประชุมครม. ได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการศึกษาและพัฒนาการระบบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งโดยมีองค์ประกอบคณะกรรมการและอำนาจหน้าที่ ดังนี้

                องค์ประกอบคณะกรรมการ มีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน และมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนักวิชาการร่วมเป็นกรรมการ  ได้แก่  ผู้แทนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สภาอุตฯ สภาหอการค้าฯ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย สมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย นักวิชาการจากสถาบันอุดมศึกษา นักวิชาการอิสระ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ผอ.สำนักงานส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า กรมการค้าภายใน ผอ.กองนิติการ และผอ.กองส่งเสริมและพัฒนาระบบตลาด กรมการค้าภายใน

สำหรับอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ จะทำหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ ปัญหาและผลกระทบที่เกิดในธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทั้งระบบ กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา และการป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยให้รายงานผลการศึกษาต่อ รมว.พาณิชย์ หรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลทราบและให้ความเห็นชอบก่อนยกร่างพระราชบัญญัติ

ขณะที่นายไชยา กล่าวภายหลังการประชุม ครม.ว่า “การตั้งคณะกรรมการศึกษาฯ จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” ส่วนการจัดตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว นายไชยา เป็นผู้เสนอในที่ประชุมครม.เอง โดยไม่ผ่านการเสนอของที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอ ครม. โดยระบุว่า เป็นการนำเสนอเนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วน ตามาตรา 9 แห่งพรฎ.ว่าด้วยการเสนอเรื่องต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งการตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวนี้ เป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะยกร่างกฎหมายค้าปลีกฉบับใหม่ขึ้นมาแทนที่ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ....ฉบับที่มีการร่างในสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ก่อนหน้านี้นายเกียรติ สิทธิอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เงา ได้ตั้งข้อสังเกตุที่กระทรวงพาณิชย์เสนอขอให้ครม.ให้อำนาจกระทรวงพาณิชย์ ในการเปิดปิดสาขาโมเดิร์นเทรด เพื่อแก้ปัญหาค้าปลีกรายใหญ่กับโชห่วยว่า ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าครม.มีอำนาจอะไรที่จะมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้พิจารณาให้ขยายหรือไม่ขยายสาขาของโมเดิร์นเทรด

ทั้งนี้ เนื่องจากอำนาจในการให้โมเดิร์นเทรดสามารถเปิดหรือปิดสาขาได้หรือไม่ เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายผังเมือง ซึ่งเป็นเรื่องขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาว่า การเปิดสาขาหรือขยายสาขาของโมเดิร์นเทรดกระทบการจราจร หรือกระทบความปลอดภัยหรือไม่ และเกรงกันว่าน่าจะเป็นการหาช่องทางในการแสวงหาอำนาจในการอนุมัติต่าง ๆ มาไว้ในมือของนักการเมือง หวั่นว่าจะมีผลประโยชน์แอบแฝงได้ จึงมีความพยายามที่จะขออำนาจจาก ครม.ทั้ง ๆ ที่ผิดหลักการการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ทำกันมากว่าสิบปีแล้ว
 
เตรียมประชุมกรรมการค้าปลีกเร็วๆ นี้ 

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งไทย วานนี้ (19ส.ค.) มีตนเป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ เป็นตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ คาดว่าในสัปดาห์นี้ หรือต้นสัปดาห์หน้าจะเริ่มประชุมนัดแรกได้ ซึ่งต้องดำเนินการโดยเร็ว เพราะธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (โชห่วย) ได้รับผลกระทบจากการขยายสาขาของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่รุนแรงขึ้นมาก จึงต้องมีกฎหมายเฉพาะยับยั้งปัญหา

สำหรับการประชุมครั้งแรก จะเป็นการศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันของค้าปลีกไทย และค้าปลีกโลก ผลดี ผลเสียของกฎหมายประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีกไทย ความจำเป็นของการมีกฎหมายกำกับดูแลการประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของไทย โดยจะนำร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับที่ยกร่างโดยกระทรวงพาณิชย์ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาพิจารณาเปรียบเทียบ ซึ่งต้องทำให้ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งของไทยแข่งขันกันในระนาบเดียวกัน ไม่ใช่รายเล็กแข่งขันกับรายใหญ่เหมือนในปัจจุบัน จนไม่สามารถแข่งขันได้ และต้องปิดกิจการลงจำนวนมาก
 
“พาณิชย์”ยันไม่ปล่อยผี 50 โรงสีบัญชีดำ

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้องค์การคลังสินค้า(อคส.) ได้รวบรวมข้อมูลโรงสีที่ถูกขึ้นบัญชีดำ (แบล็กลิสต์) ประมาณ 40 ราย และแบ่งกลุ่มว่ามีฐานความผิดอย่างไร เพื่อพิจารณาผ่อนผันให้เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวของรัฐตามนโยบายของนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ โดยเบื้องต้นพบว่าโรงสีที่ถูกขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากทำผิดสัญญากับรัฐ ส่วนใหญ่มีปัญหามาจากการขาดสภาพคล่อง และเกิดขึ้นในช่วงปีการผลิตข้าวตั้งแต่ปี 2549-51

ทั้งนี้ โรงสีที่ถูกขึ้นบัญชีดำนั้น มีความผิดในหลายๆ กรณี เช่น ทำผิดสัญญากรณีไม่รับมอบข้าวที่ประมูลได้ เนื่องจากมีปัญหาขาดสภาพคล่อง ทำผิดโดยการปลอมปนข้าว และทำผิดโดยการขโมยข้าวที่รัฐบาลรับฝากไว้ออกไปขาย

อย่างไรก็ตาม แม้ฐานความผิดของโรงสีส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายกรณีบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ที่ทิ้งสัญญาข้าวกับรัฐไม่มารับมอบข้าวที่ชนะประมูลเกือบล้านตัน แต่การพิจารณาครั้งนี้ต้องดูที่เจตนาว่าจงใจฉ้อโกงรัฐหรือเกิดจากเหตุสุดวิสัยการขาดสภาพคล่องเพราะราคาข้าวที่ผันผวน

แหล่งข่าวกล่าวว่า การพิจารณาปลดโรงสีที่ติดแบล็กสิสต์มีเป้าหมายเพื่อให้มีพื้นที่รองรับปริมาณผลผลิตข้าวนาปีที่ออกสู่ตลาดพ.ย.นี้ คาดว่าปริมาณอย่างน้อย 23 ล้านตันข้าวเปลือก การเตรียมความพร้อมรองรับข้าวที่จะเข้าสู่โครงการรับจำนำของรัฐจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับแนวคิด “ไชยา “

นายสาธิต  ปิตุเตชะ  ส.ส.ระยอง  ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เงา แถลงถึงกรณีที่นายนายไชยา  สะสมทรัพย์ มีแนวคิดแก้ปัญหาจุดรับจำนำข้าว โดยการเพิ่มจุดรับจำนำข้าว ด้วยการผ่อนผัน หรือเปิดช่องทางเจรจาโรงสี หรือโกดังที่ติดคดี หรือปลอดแบล็กลิสต์โรงสีทั่วประเทศกว่า 45 โรงสี ว่า พรรคไม่เห็นด้วย เนื่องจากโรงสีเหล่านั้นถูกดำเนินคดีอาญาและแพ่ง ในข้อหายักยอก ฉ้อโกง มีการเอาข้าวดีมาผสมข้าวไม่ดี ทำให้ผู้ประกอบการที่สุจริตไม่มีกำลังใจในการค้าขาย  ดังนั้น อยากฝากไปยังรมต.กระทรวงพาณิชย์อย่าใช้วิธีนี้ เพราะอาจทำให้ปัญหาเพิ่มมากขึ้น
  
เนื่องจากพบว่าจะมีการเลือกเจรจาเป็นรายโรงสี โดยใช้กลไกอำนาจทางการเมืองเพื่อสร้างอิทธิพล สร้างขุมกำลังก่อนถึงการเลือกตั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโครงการรับจำนำข้าวในระยะยาว ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่ไม่สุจริตเข้ามาฉ้อโกงประชาชนมากขึ้น รัฐบาลควรหาจุดรับจำนำเพิ่มเติม โดยเฉพาะในโกดังของรัฐ หรือหาทางผ่อนปรนให้มีการรับจำนำข้าวข้ามจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงได้ ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวในอนาคตสูงขึ้นตามกลไกตลาด

ทั้งนี้พรรคเห็นด้วยที่จะขายข้าวในสตอก 2.1 ล้านตัน ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งหาทางขายไม่ว่าจะเป็นระบบรัฐต่อรัฐ หรือเอกชน แต่ควรจะเป็นการเปิดประมูลเพื่อไม่ให้ผูกขาดเฉพาะกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ 4-5 บริษัท เพื่อจะได้ราคาสูงสุด รัฐบาลได้ประโยชน์ประชาชนก็ได้ประโยชน์
กำลังโหลดความคิดเห็น