วานนี้ (10 ส.ค.) นายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยส.ส.และอดีตผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี และนายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรค ร่วมกันแถลงดำเนินคดีทางอาญากับ นายสมบัติ รัตโน ผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. พรรคพลังประชาชน ข้อหาใช้หลักฐานเท็จและโฆษณาให้เกิดความเสียหายแก่พรรคประชาธิปัตย์
นายวิฑูรย์ กล่าวว่า นายสมบัติ ได้นำพยานหลักฐานเท็จมาแถลงข่าว และใส่ร้ายตน และส.ส.ของ จ.อุบลราชธานี โดยกล่าวหาว่า ตนและคณะได้ให้ตัวแทน หรือหัวคะแนนแจกบัตรชมภาพยนต์ พร้อมทั้งหาสียงโดยจัดให้มีมหรสพ ฉายภาพยนต์ ซึ่งการกระทำของ นายสมบัติได้กระทำหลังจากทราบผลการเลือกตั้ง และรู้ว่าตัวเองแพ้การเลือกตั้งโดยมีการสร้างพยานและหลักฐานอันเป็นเท็จ กล่าวหาใส่ร้ายตนและผู้สมัคร มีการกล่าวหา กกต.ว่าทำสำนวนเรื่องนี้ล่าช้า ทั้งๆที่ความล่าช้าเกิดจากนายสมบัติ ที่ไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาชี้แจงต่อ กกต.ได้ ทั้งยังมีการนำวีซีดีมาเผยแพร่ทั้งๆ ที่ในเนื้อหาของวีซีดี ไม่มีหลักฐานอันเชื่อได้ว่าเกี่ยวข้องกับการแจกตั๋วชมภาพยนต์ และไม่มีผู้ยืนยันได้ว่าได้รับบัตรชมภาพยนต์
"คงไม่มีผู้ใดกล้าหาญที่จะกระทำการผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยเชิญคนมาประชุมกลางเมืองอุบลฯ แล้วแจกเงิน แจกตั๋วภาพยนตร์ พร้อมทั้งเชิญกกต.จังหวัด มาเป็นพยาน แถมกล่าวหาว่าผมข่มขู่พยานซึ่งความจริงผม และคณะไม่มีใครไปข่มขู่ หรือขัดขวางพยานแต่อย่างใด ขณะที่พรรคพลังประชน กลับออกมาให้ข่าวด้วยการบิดเบือนว่า ผมถูกใบแดง ทั้งๆ ที่กกต.ยังพิจารณาไม่เสร็จสิ้น มีการใช้สื่อของรัฐ อย่าง เอ็นบีที ให้ข่าวเป็นระยะๆ เพื่อกดดันการทำงานของกกต. และเตรียมจะมีการเปิดหลักฐาน วีซีดี ในวันที่ 13 ส.ค.ในรายการความจริงวันนี้ หากพรรคพลังประชาชน มีหลักฐานเด็ดและข้อเท็จจริง ก็ให้นำมาเปิดเผย อย่างตรงไปตรงมา อย่าเอาหลักฐานเท็จมาใช้สื่อของรัฐเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม" นายวิฑูรย์กล่าว และว่า ตนและคณะจะไปชี้แจงต่อ กกต. พร้อมนำหลักฐานทั้งหมดมอบให้ อีกครั้งในวันที่ 14 ส.ค.นี้
นายวิฑูรย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ออกมาตอบโต้ในเรื่องนี้ แต่ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการสืบสวนสอบสวน เพราะอยู่ในระหว่างการสืบสวนของคณะอนุกรรมการ กกต. แต่อยู่ในความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชาชนนำเรื่องนี้มาร้องเรียนใหม่อีกครั้ง ทั้งๆ ที่กกต.จังหวัดได้สรุปความเห็นแล้ว เชื่อว่าเป็นความพยายามของพรรคพลังประชาชน ที่จะทำให้พรรคประชาธิปัย์ ถูกยุบไปด้วย หลังจากที่นายสมัครได้สั่งการให้เตรียมตั้งพรรคใหม่ จึงพยายามทุกวิถีทาง ที่ต้องการทำให้ตนในฐานะอดีตรองหัวหน้าพรรค ได้รับใบแดง ดังนั้น พรรคจึงต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรมโดยการฟ้องนายสมบัติต่อไป
ด้านนายถาวร กล่าวว่า ในวันนี้( 11 ส.ค.) คณะทำงานด้านกฎหมาย จะได้ส่งตัวแทนไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาเวลา 13.00 น. กับนายสมบัติ ในข้อหานำใช้พยานหลักฐานเท็จด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ จนทำให้เกิดความเสียหายต่อพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีการใช้หลักฐานเท็จต่อเจ้าพนักงาน และร้องความเท็จต่อเจ้าพนักงานคือ กกต. ซึ่งการกระทำของนายสมบัติ พยายามที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบเหมือนพรรคพลังประชาชน ที่ขณะนี้อยู่ในแดนสังหาร ซึ่งแดนสังหารนี้เป็นของพรรคพลังประชาชน ไม่ใช่ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยยืนยันว่า ในการเลือกตั้งที่เขต 1 จ.อุบลราชธานี มีทั้งหมด 878 หน่วยเลือกตั้ง มีบุคคลที่เป็นตัวแทนของพรรค 1,051 คน มีการแจ้งรายละเอียดการใช้งบประมาณต่อ กกต.อย่างชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ยังไม่ได้ให้ความเห็น ว่ารำคาญพอสมควรกับเรื่องนี้
"ขณะนี้พรรคพลังประชาชนอยู่ในแดนสังหาร พยายามลากพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเกี่ยวข้องเหมือนกรณีพรรคไทยรักไทย จึงขอเตือนว่า พรรคพลังประชาชนโดยนายสมัคร อย่าใส่ความพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นกรณีที่นายสมัครใส่ความคนของพรรค และถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยรอลงอาญา และคดีอยู่ในระหว่างการอุทธรธ์ หากใส่ร้าย พรรคระวังจะตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกับนายสมัคร" นายถาวรกล่าว
เมื่อถามว่าพรรคจะมีการฟ้องคนอื่นในพรรคพลังประชาชนอีกหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า ขณะนี้จะฟ้องนายสมบัติไปก่อน หากพบว่ามีหลักฐาน และเชื่อว่า ส.ส.พลังประชาชนมีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องก็พร้อมที่จะฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อไป
**จี้"หมัก"แจงคนใกล้ชิดทุจริต
นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งในพรรคพลังประชาชน ที่นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด กลุ่มอีสานพัฒนา ออกมาแฉเรื่องทุจริตคนใกล้ชิดของ นายสมัคร สุนทรเวช นายรัฐมนตรีว่า นายกฯ ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง ว่าสิ่งที่นายศักดา ออกมาเปิดเผยเป็นการพูดความจริงหรือเป็นการโกหก นายกฯ มีหน้าที่ในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เพราะเป็นการออกมาพูดเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือเกี้ยเซี๊ยะกันแล้วจบ นายกฯจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องนี้และส่งให้ปปช.ดำเนินการต่อไปและควรดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาด้วย
**จี้หยุดใช้สื่อรัฐสร้างความแตกแยก
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส.สัดส่วน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกรัฐบาล ท้าให้พรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินคดีทางกฎหมายกับรายการความจริงวันนี้ ถ้าเห็นว่าการนำเสนอของรายการมีความผิดทางกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงคือ รายการนี้ได้ใช้สื่อของรัฐ ซึ่งก็คือช่อง เอ็นบีที ในการนำเสนอรายการ ซึ่งช่องดังกล่าวเป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐ ที่ได้รับงบประมาณจากรัฐปีละ 500 ล้านบาท ในการบริหารงาน
ดังนั้น การเอาสื่อของรัฐมาใช้ประโยชน์เฉพาะคนกลุ่มเดียว โดยผ่านการแสดงความเห็น วิจารณ์ หรือกล่าวร้ายคนอื่น ทำให้เกิดความเสียหายกับฝ่ายอื่นข้างเดียวนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ดูได้จากที่ผ่านมา รายการนี้ได้วิพากษ์วิจารณ์ ทั้ง ป.ป.ช. และ กกต. นอกจากนั้น ยังพาดพิงมาถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วย โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ถูกพาดพิงในทางเสียหาย ได้มีโอกาสชี้แจง ทำให้กลายเป็นรายการฟังความข้างเดียว เพื่อประโยชน์ฝ่ายเดียว ซึ่งเท่ากับเอาสื่อของรัฐไปใช้ในทางที่ผิด ไปรับใช้ตัวเองเพื่อทำลายคนอื่น ดังนั้นนายกรัฐมนตรี ต้องตอบคำถามนี้ เพราะในขณะที่นายสมัคร กราบบังคมทูลว่า จะสร้างความสามัคคีในประเทศ แต่ทำไมกลับมีท่าทีสนับสนุนรายการที่มีลักษณะสร้างความแตกแยก และทำลายคนอื่น
นายจุรินทร์ ยัง กล่าวกรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เสนอให้เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่ทางออกของประเทศ แต่เป็นทางออกของพรรคพลังประชาชน ส่วนที่เสนอให้ทำประชามติก่อนแก้รัฐธรรมนูญนั้น ตนคิดว่าประชามติไม่ได้ช่วยยุติความขัดแย้ง และผลจากการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ตามมาได้ ที่สุดจะนำมาสู่ความแตกแยก และเกิดวิกฤตอยู่ดี ดังนั้น ตนจึงไม่อยากเห็นการชี้นำประเทศในทางที่ผิดเช่นนี้
ส่วนที่ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอให้ตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล ซึ่งก็ไม่ใช่ทางออกของประเทศเช่นกัน และจะยิ่งทำให้ประชาชนในอยู่ภาวะสิ้นหวัง เพราะหากทุกพรรคทุกฝ่ายเป็นรัฐบาล ประชาชนก็คงไม่มีที่พึ่ง เพราะไม่มีใครทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบฝ่ายรัฐบาล สิ่งที่ตามมาคือประชาธิปไตยจะเสื่อมในสายตาประชาชน
"ทางออกคือ ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของระบบรัฐสภา ใครไม่เป็นรัฐบาลก็เป็นฝ่ายค้าน และการเมืองภาคประชาชนก็ทำหน้าตรวจสอบองค์ต่างๆ เป็นการทำงานแบบคู่ขนานกันไปกับรัฐสภา ที่สำคัญคือ จะต้องทำให้ทุกฝ่ายเคารพกติกา ไม่ใช่สอนให้ละเมิดกติกา แล้วมาตามแก้กติกา" นายจุรินทร์ กล่าว
** ชี้คนอีสานเริ่มหูตาสว่าง
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ส.ส.พรรคพลังประชาชน ระบุว่า หากใครย้ายมาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าคิดสั้นและต้องสอบตกว่า พรรคพลังประชาชนควรไปจัดระเบียบพรรคเสียใหม่ให้เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์เกิดขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์ แต่พรรคพลังประชาชนร่วมตัวจากผลประโยชน์ ทำให้มีความขัดแย้งมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์
ทั้งนี้ ยืนยันว่าในยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค และมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการพรรค เราไม่เคยมีความขัดแย้ง และยังมีความเป็นเอกภาพสูงสุด และขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงเสมอไปที่ส.ส.ที่อยู่พรรคประชาธิปัตย์จะสอบตก โดยเฉพาะในภาคอีสานจะเห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ที่พรรคได้ส.ส.ภาคอีสานเพิ่มมากถึง 5 เท่า ทั้งนี้ เชื่อว่าพรรคพลังประชาชน ต้องการข่มขู่สมาชิกพรรคของตนเอง เพราะกลัวว่าความขัดแย้งจะทำให้ส.ส.ตีจากการสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเพียงพฤติกรรมเขียนเสือให้วัวกลัวเท่านั้น
"สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว คนอีสานหูตาสว่างขึ้น เพราะได้รับรู้ข่าวสารรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะในคดีที่มีคำพิพากษาของศาลไปแล้ว และเมื่อผลการตัดสินเป็นยุติหมดทุกคดี ก็เชื่อว่าประชาชนจะเปลี่ยนความคิด สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าใครก็ตามที่มาอยู่กับพรรค ถ้ามีอุดมการณ์และผลงานเป็นที่ยอมรับจากประชาชน ก็สามารถได้รับเลือกจากประชาชน เพราะเชื่อว่าคนอีสานไม่ได้รังเกียจพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน" นายเทพไทกล่าว
นายวิฑูรย์ กล่าวว่า นายสมบัติ ได้นำพยานหลักฐานเท็จมาแถลงข่าว และใส่ร้ายตน และส.ส.ของ จ.อุบลราชธานี โดยกล่าวหาว่า ตนและคณะได้ให้ตัวแทน หรือหัวคะแนนแจกบัตรชมภาพยนต์ พร้อมทั้งหาสียงโดยจัดให้มีมหรสพ ฉายภาพยนต์ ซึ่งการกระทำของ นายสมบัติได้กระทำหลังจากทราบผลการเลือกตั้ง และรู้ว่าตัวเองแพ้การเลือกตั้งโดยมีการสร้างพยานและหลักฐานอันเป็นเท็จ กล่าวหาใส่ร้ายตนและผู้สมัคร มีการกล่าวหา กกต.ว่าทำสำนวนเรื่องนี้ล่าช้า ทั้งๆที่ความล่าช้าเกิดจากนายสมบัติ ที่ไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาชี้แจงต่อ กกต.ได้ ทั้งยังมีการนำวีซีดีมาเผยแพร่ทั้งๆ ที่ในเนื้อหาของวีซีดี ไม่มีหลักฐานอันเชื่อได้ว่าเกี่ยวข้องกับการแจกตั๋วชมภาพยนต์ และไม่มีผู้ยืนยันได้ว่าได้รับบัตรชมภาพยนต์
"คงไม่มีผู้ใดกล้าหาญที่จะกระทำการผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยเชิญคนมาประชุมกลางเมืองอุบลฯ แล้วแจกเงิน แจกตั๋วภาพยนตร์ พร้อมทั้งเชิญกกต.จังหวัด มาเป็นพยาน แถมกล่าวหาว่าผมข่มขู่พยานซึ่งความจริงผม และคณะไม่มีใครไปข่มขู่ หรือขัดขวางพยานแต่อย่างใด ขณะที่พรรคพลังประชน กลับออกมาให้ข่าวด้วยการบิดเบือนว่า ผมถูกใบแดง ทั้งๆ ที่กกต.ยังพิจารณาไม่เสร็จสิ้น มีการใช้สื่อของรัฐ อย่าง เอ็นบีที ให้ข่าวเป็นระยะๆ เพื่อกดดันการทำงานของกกต. และเตรียมจะมีการเปิดหลักฐาน วีซีดี ในวันที่ 13 ส.ค.ในรายการความจริงวันนี้ หากพรรคพลังประชาชน มีหลักฐานเด็ดและข้อเท็จจริง ก็ให้นำมาเปิดเผย อย่างตรงไปตรงมา อย่าเอาหลักฐานเท็จมาใช้สื่อของรัฐเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม" นายวิฑูรย์กล่าว และว่า ตนและคณะจะไปชี้แจงต่อ กกต. พร้อมนำหลักฐานทั้งหมดมอบให้ อีกครั้งในวันที่ 14 ส.ค.นี้
นายวิฑูรย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ออกมาตอบโต้ในเรื่องนี้ แต่ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการสืบสวนสอบสวน เพราะอยู่ในระหว่างการสืบสวนของคณะอนุกรรมการ กกต. แต่อยู่ในความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชาชนนำเรื่องนี้มาร้องเรียนใหม่อีกครั้ง ทั้งๆ ที่กกต.จังหวัดได้สรุปความเห็นแล้ว เชื่อว่าเป็นความพยายามของพรรคพลังประชาชน ที่จะทำให้พรรคประชาธิปัย์ ถูกยุบไปด้วย หลังจากที่นายสมัครได้สั่งการให้เตรียมตั้งพรรคใหม่ จึงพยายามทุกวิถีทาง ที่ต้องการทำให้ตนในฐานะอดีตรองหัวหน้าพรรค ได้รับใบแดง ดังนั้น พรรคจึงต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรมโดยการฟ้องนายสมบัติต่อไป
ด้านนายถาวร กล่าวว่า ในวันนี้( 11 ส.ค.) คณะทำงานด้านกฎหมาย จะได้ส่งตัวแทนไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาเวลา 13.00 น. กับนายสมบัติ ในข้อหานำใช้พยานหลักฐานเท็จด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ จนทำให้เกิดความเสียหายต่อพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีการใช้หลักฐานเท็จต่อเจ้าพนักงาน และร้องความเท็จต่อเจ้าพนักงานคือ กกต. ซึ่งการกระทำของนายสมบัติ พยายามที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบเหมือนพรรคพลังประชาชน ที่ขณะนี้อยู่ในแดนสังหาร ซึ่งแดนสังหารนี้เป็นของพรรคพลังประชาชน ไม่ใช่ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยยืนยันว่า ในการเลือกตั้งที่เขต 1 จ.อุบลราชธานี มีทั้งหมด 878 หน่วยเลือกตั้ง มีบุคคลที่เป็นตัวแทนของพรรค 1,051 คน มีการแจ้งรายละเอียดการใช้งบประมาณต่อ กกต.อย่างชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ยังไม่ได้ให้ความเห็น ว่ารำคาญพอสมควรกับเรื่องนี้
"ขณะนี้พรรคพลังประชาชนอยู่ในแดนสังหาร พยายามลากพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเกี่ยวข้องเหมือนกรณีพรรคไทยรักไทย จึงขอเตือนว่า พรรคพลังประชาชนโดยนายสมัคร อย่าใส่ความพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นกรณีที่นายสมัครใส่ความคนของพรรค และถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยรอลงอาญา และคดีอยู่ในระหว่างการอุทธรธ์ หากใส่ร้าย พรรคระวังจะตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกับนายสมัคร" นายถาวรกล่าว
เมื่อถามว่าพรรคจะมีการฟ้องคนอื่นในพรรคพลังประชาชนอีกหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า ขณะนี้จะฟ้องนายสมบัติไปก่อน หากพบว่ามีหลักฐาน และเชื่อว่า ส.ส.พลังประชาชนมีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องก็พร้อมที่จะฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อไป
**จี้"หมัก"แจงคนใกล้ชิดทุจริต
นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งในพรรคพลังประชาชน ที่นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด กลุ่มอีสานพัฒนา ออกมาแฉเรื่องทุจริตคนใกล้ชิดของ นายสมัคร สุนทรเวช นายรัฐมนตรีว่า นายกฯ ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง ว่าสิ่งที่นายศักดา ออกมาเปิดเผยเป็นการพูดความจริงหรือเป็นการโกหก นายกฯ มีหน้าที่ในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เพราะเป็นการออกมาพูดเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือเกี้ยเซี๊ยะกันแล้วจบ นายกฯจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องนี้และส่งให้ปปช.ดำเนินการต่อไปและควรดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาด้วย
**จี้หยุดใช้สื่อรัฐสร้างความแตกแยก
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส.สัดส่วน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกรัฐบาล ท้าให้พรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินคดีทางกฎหมายกับรายการความจริงวันนี้ ถ้าเห็นว่าการนำเสนอของรายการมีความผิดทางกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงคือ รายการนี้ได้ใช้สื่อของรัฐ ซึ่งก็คือช่อง เอ็นบีที ในการนำเสนอรายการ ซึ่งช่องดังกล่าวเป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐ ที่ได้รับงบประมาณจากรัฐปีละ 500 ล้านบาท ในการบริหารงาน
ดังนั้น การเอาสื่อของรัฐมาใช้ประโยชน์เฉพาะคนกลุ่มเดียว โดยผ่านการแสดงความเห็น วิจารณ์ หรือกล่าวร้ายคนอื่น ทำให้เกิดความเสียหายกับฝ่ายอื่นข้างเดียวนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ดูได้จากที่ผ่านมา รายการนี้ได้วิพากษ์วิจารณ์ ทั้ง ป.ป.ช. และ กกต. นอกจากนั้น ยังพาดพิงมาถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วย โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ถูกพาดพิงในทางเสียหาย ได้มีโอกาสชี้แจง ทำให้กลายเป็นรายการฟังความข้างเดียว เพื่อประโยชน์ฝ่ายเดียว ซึ่งเท่ากับเอาสื่อของรัฐไปใช้ในทางที่ผิด ไปรับใช้ตัวเองเพื่อทำลายคนอื่น ดังนั้นนายกรัฐมนตรี ต้องตอบคำถามนี้ เพราะในขณะที่นายสมัคร กราบบังคมทูลว่า จะสร้างความสามัคคีในประเทศ แต่ทำไมกลับมีท่าทีสนับสนุนรายการที่มีลักษณะสร้างความแตกแยก และทำลายคนอื่น
นายจุรินทร์ ยัง กล่าวกรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เสนอให้เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่ทางออกของประเทศ แต่เป็นทางออกของพรรคพลังประชาชน ส่วนที่เสนอให้ทำประชามติก่อนแก้รัฐธรรมนูญนั้น ตนคิดว่าประชามติไม่ได้ช่วยยุติความขัดแย้ง และผลจากการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ตามมาได้ ที่สุดจะนำมาสู่ความแตกแยก และเกิดวิกฤตอยู่ดี ดังนั้น ตนจึงไม่อยากเห็นการชี้นำประเทศในทางที่ผิดเช่นนี้
ส่วนที่ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอให้ตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล ซึ่งก็ไม่ใช่ทางออกของประเทศเช่นกัน และจะยิ่งทำให้ประชาชนในอยู่ภาวะสิ้นหวัง เพราะหากทุกพรรคทุกฝ่ายเป็นรัฐบาล ประชาชนก็คงไม่มีที่พึ่ง เพราะไม่มีใครทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบฝ่ายรัฐบาล สิ่งที่ตามมาคือประชาธิปไตยจะเสื่อมในสายตาประชาชน
"ทางออกคือ ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของระบบรัฐสภา ใครไม่เป็นรัฐบาลก็เป็นฝ่ายค้าน และการเมืองภาคประชาชนก็ทำหน้าตรวจสอบองค์ต่างๆ เป็นการทำงานแบบคู่ขนานกันไปกับรัฐสภา ที่สำคัญคือ จะต้องทำให้ทุกฝ่ายเคารพกติกา ไม่ใช่สอนให้ละเมิดกติกา แล้วมาตามแก้กติกา" นายจุรินทร์ กล่าว
** ชี้คนอีสานเริ่มหูตาสว่าง
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ส.ส.พรรคพลังประชาชน ระบุว่า หากใครย้ายมาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าคิดสั้นและต้องสอบตกว่า พรรคพลังประชาชนควรไปจัดระเบียบพรรคเสียใหม่ให้เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์เกิดขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์ แต่พรรคพลังประชาชนร่วมตัวจากผลประโยชน์ ทำให้มีความขัดแย้งมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์
ทั้งนี้ ยืนยันว่าในยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค และมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการพรรค เราไม่เคยมีความขัดแย้ง และยังมีความเป็นเอกภาพสูงสุด และขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงเสมอไปที่ส.ส.ที่อยู่พรรคประชาธิปัตย์จะสอบตก โดยเฉพาะในภาคอีสานจะเห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ที่พรรคได้ส.ส.ภาคอีสานเพิ่มมากถึง 5 เท่า ทั้งนี้ เชื่อว่าพรรคพลังประชาชน ต้องการข่มขู่สมาชิกพรรคของตนเอง เพราะกลัวว่าความขัดแย้งจะทำให้ส.ส.ตีจากการสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเพียงพฤติกรรมเขียนเสือให้วัวกลัวเท่านั้น
"สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว คนอีสานหูตาสว่างขึ้น เพราะได้รับรู้ข่าวสารรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะในคดีที่มีคำพิพากษาของศาลไปแล้ว และเมื่อผลการตัดสินเป็นยุติหมดทุกคดี ก็เชื่อว่าประชาชนจะเปลี่ยนความคิด สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าใครก็ตามที่มาอยู่กับพรรค ถ้ามีอุดมการณ์และผลงานเป็นที่ยอมรับจากประชาชน ก็สามารถได้รับเลือกจากประชาชน เพราะเชื่อว่าคนอีสานไม่ได้รังเกียจพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน" นายเทพไทกล่าว