xs
xsm
sm
md
lg

ยื่นศาล รธน.ฟัน "เลี้ยบ" ส.ว.ชง "ปธ.วุฒิ"แล้ว-4 นปก.คิวต่อไป

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"เรืองไกร" เดินหน้าสอย "เลี้ยบ" กรณีเมียถือหุ้นเกิน ยื่นชื่อประธานวุฒิส่งศาล รธน.วินิจฉัย ตามด้วย "4 หัวโจก นปก." ไม่รู้เอาเงินจากไหนมาถือหุ้นเพื่อนพ้องน้องพี่ ด้านคณะทำงานร่วม ป.ป.ช.-อัยการ มีมติสอบซีทีเอ็กซ์เพิ่ม เพราะคดีมีความซับซ้อน ขอให้ศาลยึดทรัพย์สินที่เกิดความเสียหาย 7 พันล้าน กลับคืนมาด้วย ส่วนเรื่องเช่ารถเอ็นจีวี 6 พันคัน หึ่งทั้งเรื่องหัวคิว และยังมีค่าเช่าที่ดินอู่รถแพงเกินจริงโผล่มาอีก ประชาธิปัตย์ฉะ "สุชาติ" ระวังปากกรณีปลดผู้ว่าฯแบงก์ชาติ บั่นทอนความเชื่อมั่น ยุยงให้แตกแยก "โกร่ง" ถอย ปัดคิดปลด "ธาริษา" แต่จะเสนอให้ประสานรอยร้าวการเงินการคลัง สร้างสัญญาณที่ชัดเจน ส่งต่อตลาดเงินตลาดทุน ดึงความเชื่อมั่นกลับ

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา แถลงถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กรณีภรรยามีเงินลงทุนในคณะบุคคล 9 แห่ง และมีเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนสามัญอีก1 บริษัท ว่าหลังจากที่ได้ยื่นเรื่องให้ กกต. ตรวจสอบแล้ว

ล่าสุด ตนและเพื่อนส.ว.อีก 18 คน ได้ร่วมกันลงชื่อทำหนังสอถึงนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 เพื่อให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาถึงความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวของ นพ.สุรพงษ์ กรณีรัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 269 และ 259 วรรคสาม หรือไม่ ซึ่งขั้นตอนต่อไปประธานวุฒิสภา จะตรวจสอบรายชื่อ ส.ว.ดังกล่าว และจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาต่อไป

เช็กบิล "4 หัวโจก นปก."

นายเรืองไกร กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้ตรวจสอบแบบ บลจ.5 เกี่ยวกับบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นใน บริษัทเพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นาย จักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และนายวีระ มุสิกพงศ์ พบว่า แต่ละคนได้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทดังกล่าวคนละ 1 แสนหุ้น ราคาหุ้นละ100 บาท รวมมูลค่า 10 ล้านบาทต่อคน ซึ่งใน บลจ. 5 มีลายเซ็นของนายวีระ เป็นผู้รับรองความถูกต้อง

เมื่อดูข้อมูลดังกล่าวแล้ว จะเห็นว่าบุคคลทั้ง 4 มีฐานะพอสมควร แต่ไม่ทราบว่าเอาเงินมาจากไหน ที่มาของเงินมาอย่างไร และขณะนี้เงินดังกล่าวไปอยู่ที่ไหน ตนจึงจะตรวจสอบบุคคลที่ดำรงตำแหน่ง ส.ส.ต่อไปว่าได้มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการป.ป.ช. อย่างไร โดยจะเทียบกับการยื่นแบบแสดงภาษีของบุคคลดังกล่าว โดยขณะนี้ กำลังประสานกับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรอยู่ว่า มีการยื่นภาษีครบหรือไม่ แต่ละปีมีรายได้มาจากไหน ซึ่งบุคคลทั้ง 4 ควรออกมาชี้แจง โดยอาจชี้แจงผ่านรายการความจริงวันนี้ ทางสถานีเอ็นบีที ที่จัดอยู่ก็ได้

ตรวจสอบ"วรวัจน์"ปล่อยเงินกู้

นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า พร้อมกันนี้ตนจะตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบรายจ่ายประจำปี 2552 โดยเบื้องต้น ได้ดูบัญชีทรัพย์สินที่นายวรวัจน์ ยื่นแสดงต่อป.ป.ช.แล้ว พบว่า มีเงินให้ชาวบ้านกู้ยืมถึง 104 ราย ตกรายละหลักหมื่นบาท รวมเป็นเงิน 4 ล้านกว่าบาท จึงต้องดูว่า เป็นการประกอบธุรกิจตามปกติหรือไม่ หรือเป็นการกระทำเยี่ยงธนาคารพาณิชย์หรือไม่ เพราะในประมวลกฎหมายรัษฎากร พบว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายกระทำการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ จึงต้องดูว่า ได้มีการทำตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ มีพฤติกรรมเลี่ยงภาษีหรือไม่ แต่ยังไม่ได้เจาะจงลงไปว่า มีความผิดหรือไม่

ทั้งนี้ การตรวจสอบดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่นายวรวัจน์ ขู่ตัดงบประมาณของวุฒิสภา จำนวน 1,000 ล้านบาทแต่อย่างใด ทั้งนี้ ได้มอบให้เจ้าหน้าที่ไปจดรายละเอียดการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ของนายวรวัจน์แล้ว คาดว่าสัปดาห์หน้าคงมีความชัดเจนมากขึ้น

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน ชี้แจงเรื่องนี้ว่า การทำธุรกิจดังกล่าว ตนทำก่อนที่จะมาเป็น ส.ส. ซึ่งเป็นโรงงานใบยาสูบ ชื่อลานนายาสูบ และเป็นธุรกิจของพ่อ ที่ให้ชาวบ้านนำปุ๋ย และยาไปทำการเกษตร แต่ก็ไม่ได้นำกลับมาคืน ทำให้เรื่องดังกล่าว ยังค้างอยู่ในบัญชี ที่ตนแจ้งต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ตนไม่ได้ปล่อยเงินกู้ ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่า นายเรืองไกร ตรวจสอบ เนื่องจากตนเป็น คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ประจำปี งบประมาณ 2552 และมีการปรับงบประมาณในส่วนของวุฒิสภานั้น ยืนยันว่า ขณะนี้มีการปล่อยงบดังกล่าวออกไปแล้ว ขณะที่การเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎรที่มีชื่อตนอยู่ในแคนดิเดตของพรรคพลังประชาชนด้วยนั้น ขอให้รอมติพรรคก่อน

คณะทำงานร่วมฯสอบ CTX เพิ่ม

นายใจเด็ด พรไชยา กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานคณะทำงานร่วม ป.ป.ช.-อัยการ พิจารณาสำนวนคดีการทุจริตโครงการปรับปรุงระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า และเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 เปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกันหลายครั้ง คณะทำงานร่วมได้ข้อสรุปว่า จะดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หลังพบว่าในสำนวนที่ คตส.ส่งให้กับอัยการ ยังมีจุดที่น่าสงสัย และต้องสอบเพิ่มเติมอีกหลายประเด็น

ทั้งนี้ ยังตอบไม่ได้ว่า จะใช้เวลาในการหาข้อเท็จจริงเท่าไร และเมื่อหาข้อเท็จจริงเสร็จจะส่งฟ้องได้เลยหรือไม่ เพราะการไต่สวนคดีนี้ต้องดูทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เบื้องต้นมีการวางโครงในการสอบสวนไว้คร่าวๆ จากนั้นจึงแก้ปัญหาไปทีละประเด็น ยอมรับว่าเป็นคดีสำคัญ และมีความซับซ้อนมาก

เมื่อถามว่า ตามกฎหมาย หลังจากที่คณะทำงานร่วมตกลงกันได้ จะต้องฟ้องศาลภายใน 14 วัน ใช่หรือไม่ นายใจเด็ด กล่าวว่า กรณีนั้นจะเกิดขึ้นต่อเมื่อตกลงกันไม่ได้ แล้ว ป.ป.ช.ฟ้องศาลเอง แต่กรณีนี้ตกลงกันว่า จะสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้นจึงไม่มีกรอบเวลา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คตส. แจ้งข้อกล่าวหาคดี ซีทีเอ็กซ์ 9000 ในความผิด 2 กระทง กระทงแรก คือการที่ บทม. เชิดตัวเองเข้าทำสัญญากับบริษัท จีอี อินวิชั่น แก้ไขสัญญาการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร และล็อกสเปกการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด ส่วนกระทงที่สอง มีความผิดจากการซื้อขายตรง เข้าข่ายฉ้อโกง

โดยแบ่งผู้ถูกกล่าวหา 3 กลุ่ม คือ 1.นักการเมือง ประกอบด้วย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรมว.คมนาคม และ นาย ธีรวัฒน์ ศรีฉัตราภิมุข 2. คณะกรรมการและพนักงาน บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ (บทม.) และบริษัท ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) 3. นิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ซึ่งนอกจาก คตส. จะมีมติให้ดำเนินคดีอาญาแล้ว ยังมีมติขอให้ศาลยึดทรัพย์สินที่เกิดความเสีย จำนวน 6,936 ล้านบาท กลับคืนมาด้วย

จี้ ป.ป.ช.แยกฟ้องอัยการสูงสุด

แหล่งข่าว อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตั้งข้อสังเกตถึงข้อสรุปของคณะทำงานร่วม ป.ป.ช.และอัยการ ที่จะสอบเพิ่มคดีซีทีเอ็กซ์ อีกหลายประเด็นโดยไม่ได้กำหนดกรอบเวลา ว่าจะใช้เวลาในการหาข้อเท็จจริงนานแค่ไหนนั้น เรื่องนี้อยากให้สังคมและสื่อมวลชนจับตาให้ดี เพราะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะทำงานฯ ที่รับผิดชอบคดีนี้ เป็นอดีตอัยการ ซึ่งคดีนี้มีอัยการสูงสุดตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย

"อัยการสูงสุด คือนายชัยเกษม นิติสิริ คตส.ได้ชี้มูลความผิดในคดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 ทาง ป.ป.ช.ต้องแยกคดีออกมาส่งฟ้องเองโดยไม่รอช้า เพราะหากยื่นไปให้อัยการสูงสุดสั่งคดีว่าจะฟ้องหรือไม่ คงไม่มีใครสั่งฟ้องตนเอง ส่วนคณะกรรมการร่วมรายอื่นๆ ที่ถูกชี้มูลความผิด ก็ว่ากันไปตามกระบวนการ" อดีต คตส.กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงที่เข้ามารับตำแหน่งอัยการสูงสุดของนายชัยเกษม ต่อจากนายพชร ยุติธรรมดำรง ที่หมดวาระลง นายชัยเกษม ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นบุคคลที่มาจากกลุ่มอำนาจเก่า และเป็นผลให้การทำงานร่วมกันของ คตส. และอัยการสูงสุด มีปัญหาอย่างมาก คดีที่คตส.ส่งให้อัยการสูงสุดสั่งฟ้องต่อศาลฯ สะดุดหยุดลงในชั้นอัยการ กระทั่ง กรรมการ คตส. สะท้อนว่าเหมือน “สะพานถูกตัดขาด”

นายชัยเกษม ยอมรับในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในช่วงแรกๆ ของการเข้ารับตำแหน่งอัยการสูงสุด ว่า "มีความรู้สึกไม่ดีต่อการทำงานของ คตส. แต่เรื่องความรู้สึกกับเรื่องพยานหลักฐานในการสั่งคดี ต้องเป็นคนละเรื่องกัน"

อย่างไรก็ตาม คดีความที่ คตส. ยื่นต่ออัยการสูงสุดเพื่อให้สั่งฟ้องคดีในช่วงนายชัยเกษม เข้ามารับตำแหน่งนั้น อัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ตรงกันกับ คตส. โดยเห็นว่าสำนวนคดีที่ คตส. ส่งไป คือ คดีสลากพิเศษหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัว, คดีทุจริตกล้ายาง และคดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้พม่า มีความไม่สมบูรณ์ เช่น คดีหวยบนดิน อัยการสูงสุด แจ้งข้อไม่สมบูรณ์ว่าให้ คตส. สอบพยานชั้นตรวจสอบทุกปากใหม่อีกครั้งหนึ่งให้เป็นพยานชั้นไต่สวน มีการตั้งคณะทำงานร่วมสองฝ่ายแต่ไม่สามารถหาสรุปได้ กระทั่ง คตส.ต้องให้ทนายความฟ้องคดีเอง ต่อมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้รับฟ้องคดีที่ คตส. แต่งทนายยื่นฟ้องเองทั้ง 3 คดี

เช่ารถเอ็นจีวี 6 พันคันยังยื้อ

วานนี้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีกลั่นกรอง คณะพิเศษ ครั้งที่ 2 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อพิจารณาโครงการจัดหารถโดยสารที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวี (NGV) ของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 6,000 คัน แถลงภายหลังการประชุมว่า วันนี้ยังไม่ได้พิจารณาว่าจะเห็นด้วยกับการเช่า หรือซื้อรถบางส่วน แต่ได้พิจารณาผลการศึกษาของสภาพัฒน์ และขสมก. เพียง 2 ประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตไว้ คือ 1.การประมาณการระหว่างการเช่าและการจัดซื้อว่ารูปแบบใดจะคุ้มทุนกว่า เพื่อเชื่อมโยงระบบตั๋วโดยสารและระบบตั๋วอิเลกทรอนิกส์ กับการเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ว่าจะมีความสะดวก และปลอดภัยมากน้อยเพียงใด แต่ส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อเสนอของ กระทรวงการคลัง ที่เสนอให้เช่ารถเป็นล็อตๆ แทนเช่าทั้ง 6,000 คัน

2. ประเด็นจำนวนอู่รถเอ็นจีวี และการวางท่อก๊าซเอ็นจีวีของปตท.เพื่อให้มีปริมาณก๊าซเพียงพอกับจำนวนรถทั้งหมด ทั้งนี้ ที่ประชุมยังเน้นเรื่องของการเดินรถ จำนวน 145 เส้นทางเพื่อให้บริการครบวงจรทั่ว กทม.และปริมณฑล แต่จำนวนรถโดยสารนั้น ขสมก.จะกลับไปทบทวนจำนวนรถใหม่ ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการปล่อยรถ รวมทั้งการเพิ่มจำนวนรถจะต้องไม่มีปัญหาด้านการจราจร

"ยังติดใจหลายเรื่อง ทั้งเรื่องของการเช่าที่ดินทำอู่รถเอ็นจีวี ที่ ขสมก.รายงานว่า จะต้องมีจำนวน 22 แห่ง แต่จำนวนที่รายงานวันนี้ก็ยังไม่มีครบ ขสมก. จะรับไปทำข้อมูลมาใหม่ ผมยังได้ให้ทีมงานพิเศษ ลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลทั้งเรื่องความคุ้มค่าในการเช่ารถ และเรื่องของอู่เอ็นจีวี ซึ่งวันที่ 20 ส.ค.นี้จะมีการประชุมอีกครั้ง จะได้รู้ว่าจุดคุ้มทุนควรเป็นเท่าไร มูลค่าของโครงการจะได้ลดลงไม่เกินความจริง เพราะการเช่ารถ 6,000 คัน โดยใช้เงินกว่า 1.1 แสนล้านมันเกินไป" พล.ต.สนั่นกล่าว

พล.ต.สนั่น ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด แกนนำกลุ่มอีสานพัฒนา ออกมาแฉว่า ผู้ใกล้ชิดนายกฯ มีส่วนทุจริตกับโครงการนี้ว่า เป็นเรื่องของพรรคพลังประชาชน หากจะมีการยื่น ป.ป.ช. ก็ไม่เกี่ยวกับเรา เราเพียงต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีที่สุด

ค่าเช่าที่อู่รถเอ็นจีวีแพงเกินจริง

นายอรรคพล สรสุชาติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พล.ต.สนั่น) กล่าวว่า ประเด็นการจัดหารอู่รถโดยสารเอ็นจีวี ตามรายงานของ ขสมก. ที่จะต้องมีจำนวนอู่ 22 แห่งในโครงการฯ โดยเป็นอู่ใหม่ 16 แห่ง (ผู้ประมูลจัดหาเอง) และอู่ของขสมก.เอง 6 แห่ง แต่จากรายงานทราบว่า อู่ ขสมก. 6 แห่งอาจจะไม่ได้รวมอยู่กับโครงการ เพราะมีระยะห่างจากการวางท่อก๊าซเอ็นจีวีของปตท.มาก ซึ่งตนยังได้ตั้งข้อสังเกต ประเด็นราคาที่ดินระยะเวลา 10 ปี ของการจัดสร้างอู่จำนวน 6 แห่งใหม่ แต่บางแปลงกลับมีการประเมินสูงเกินจากราคาประเมินของกรมที่ดิน รวมกว่า 5,920 ล้านบาท ดังนั้นขอให้ขสมก. ไปศึกษาวงเงินประเมินการเช่าที่ดินใหม่

"ศักดา"ไม่เลิกขู่คนใกล้ชิด"หมัก"

นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ยืนยันว่า จะเดินหน้ายื่นเรื่องให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบกรณีคนใกล้ชิดนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ รับเช็ค 10 ล้านบาท เพื่อแลกกับตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างแน่นอน แต่ไม่ขอระบุวันที่จะยื่น เนื่องจากมีกระแสข่าวโดยข่มขู่ว่า หากยื่นวันใด ก็จะไม่มีสภาเมื่อนั้น

นอกจากนี้ นายศักดา กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาผู้ใหญ่ในพรรคเรียกตนไปคุยพร้อมกับให้กำลังใจในการทำงาน และไม่ห้ามในสิ่งที่ตนกำลังดำเนินการเนื่องจากเป็นเรื่องที่กระทบต่อพรรค

ติง "สุชาติ" ระวังปากบั่นทอน ศก.

นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และรมว.คลัง (เงา) กล่าวถึงกรณีที่นาย สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมช.คลัง ระบุในการสัมมนาว่า เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความคิดเห็นทางเศรษฐกิจที่ขัดแย้งกับรัฐบาล ผู้ว่าฯธปท. ควรลาออกจากตำแหน่งว่า นายสุชาติ ต้องระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะความคิดเห็นที่สร้างความแตกแยกในหน่วยงานสำคัญๆในการบริหารเศรษฐกิจที่มีหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ ธปท.เป็นหน่วยงานที่สำคัญของรัฐ ซึ่งมี พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ดูแลโดยตรง ในแง่ศักดิ์ศรีขององค์กร จึงเทียบเคียงกับกระทรวงการคลังได้ และเทียบกับรมช.คลังได้แน่นอน ดังนั้น รมช.คลัง ต้องระมัดระวังในแง่คำพูดและวิธีการแสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ตาม ตนไม่คิดติดใจกับนายสุชาติ ที่เพิ่งมาเข้ารับตำแหน่ง และคิดว่าคงทำเพื่อต้องการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง

"ในการเข้ามารับตำแหน่งรมช.คลังที่มีความละเอียดอ่อนอย่างกระทรวงการคลัง ต้องมีทักษะในการประสานงานกระทรวงของท่าน และหน่วยงานสำคัญๆที่มีส่วนในการออกนโยบายที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ต่อประเทศโดยรวม การที่ท่านออกมาแสดงความคิดเห็นเมื่อวานนี้ จะเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อการบริหารทางเศรษฐกิจโดยรวมของท่าน และไม่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของไทย" นายกรณ์กล่าว

นายกรณ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีความกังวลในบทบาทของนพ. สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง เพราะที่ผ่านมามีข้อครหาในหลายเรื่อง ทั้งในแง่ความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งของท่านและความพยายามแทรกแซง ธปท.ในการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการบริหาร ธปท. จนมาถึงวันนี้ มีการแต่งตั้งรมช.คลัง ที่มีความใกล้ชิดกับ นพ.สุรพงษ์ รวมถึงปล่อยให้รมช.คลัง ออกมาแสดงจุดยืนที่ท้าทายต่อ ธปท . และสาธารณะอย่างไม่จำเป็นในลักษณะสร้างความแตกแยก

ทั้งนี้ การทำงานของ นพ.สุรพงษ์ สะท้อนถึงความไม่เป็นลูกผู้ชาย โดยเฉพาะกรณีนี้เป็นการต่อกรกับผู้ว่าฯธปท. ที่เป็นสุภาพสตรี จึงอยากถามว่า รมว.คลัง มีจุดยืนอย่างไรในเรื่องนี้ ไม่ควรแอบอยู่หลังตัวแทนของท่านในกรณีต่างๆ และรมว.คลัง ควรพูดจากับผู้ว่าฯ ธปท.โดยตรงเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมในแง่การสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นขอให้รมช.คลัง และโดยเฉพาะรมว.คลัง ทบทวนบทบาทและวิธีการแสดงความคิดเห็นที่อาจจะมีความแตกต่างบ้าง

เชื่อมีตั้งธงปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ

นายจุติ ไกรกฤษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ และรมช.กระทรวงคลัง (เงา) กล่าวถึงกรณีที่นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมช.คลัง เสนอให้นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลาออกจากตำแหน่ง เพราะมีความคิดเห็นทางเศรษฐกิจที่ขัดแย้งกับรัฐบาล ว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ เพื่อปูทางปลดผู้ว่าฯ ธปท. ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลได้ตั้งธงมานานแล้ว เมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรีจึงได้นำเสนอนักวิชาการ ที่มีความใกล้ชิดกับตัว นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง เข้ามาดำรงตำแหน่ง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ความจริงแล้วกลับสร้างความไม่มั่นใจให้กับต่างประเทศ รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการบริหาร ธปท. ก็ถูกมองว่ารัฐบาลมีความพยายามแทรกแซง ธปท. ทำให้ขาดความน่าเชื่อมั่นและขาดธรรมาภิบาล

"โกร่ง" เสนอประสานการเงินการคลัง

ช่วงบ่ายวานนี้ มีการประชุมคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะที่ปรึกษาฯ กล่าวว่า วาระสำคัญที่คณะทำงานจะเริ่มดำเนินการคือ การประสานงานหน่วยงานเศรษฐกิจที่สำคัญ เพื่อส่งสัญญาณต่อตลาดเงินตลาดทุนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจมหาภาค อย่างนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง เพื่อส่งสัญญาณที่เป็นเนื้อเดียวกันจะได้สร้างความมั่นใจ ให้กับตลาดเงินตลาดทุน ตรงกัน ช่วยดึงความเชื่อมั่นการลงทุนให้กลับมา

เบื้องต้นคาดว่าจะเสนอแนวคิดการเรียกหน่วยงานนี้มาหารือให้นายแก่นายกสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พิจารณาให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้มีเวทีให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีได้มีโอกาสมาพุดคุยกัน ซึ่งถ้าเข้าใจเหมือนกันก็ส่งสัญญาณกับตลาดชัดนักลงทุนเข้าใจถูกต้องตรงกันการลงทุนจะได้ดีขึ้น

"การเปิดเวทีให้คลังกับ ธปท.คุยกันผมไม่รู้ว่าเมื่อไร แต่ทำเร็วก็ดี แต่ผมไม่มีอำนาจเรียก เพราะที่ปรึกษามีหน้าที่ทำงานไม่มีอำนาจเรียกอย่างนั้น เรามีหน้าที่แค่เสนอให้มาคุยกัน แต่ท่านนายกฯจะสั่งการให้มาคุยหรือไม่เป็นอำนาจของนายกฯ ตัดสินใจ จึงยังบอกไม่ได้ว่าควรเป็นเมื่อไร ให้ใจเย็นๆก่อนเพราะยังไงก็จะมีเวทีได้หารืออยู่แล้ว" นายวีรพงษ์ กล่าว

นายวีรพงษ์ กล่าวว่า หน้าที่ของที่ปรึกษาคือ การให้คำปรึกษาประสานงานในกระทรวงต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ พาณิชย์ อุตสาหกรรม เกษตร ภาษี การคลัง เพื่อเสนอแผนงานในการขับเคลื่อน ซึ่งกรอบการทำงานครั้งแรกนี้คณะที่ปรึกษาฯ จะทำการศึกษาแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เพื่อจะได้มาวางแผนการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจต่อไป ไม่ให้การทุนของประเทศชักช้าล้าหลังไปเยอะเช่นนี้ แต่ก็เป็นไปได้ว่า การลงทุนที่ช้าเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง ราคาน้ำมันแพง เงินเฟ้อสูง การเมืองไม่เป็นเอกภาพ การส่งสัญญาณนโยบายสับสน ซึ่งต่อไปจะประสานนโยบายเศรษฐกิจมหาภาคของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพัฒนฯ ธปท. คลัง พาณิชย์ ต่อไปต้องจะได้จูนเป็นภาพเดียวกัน พูดเหมือนกัน เพื่อที่จะได้สื่อสารกับตลาดเงินิตลาดทุนไม่ให้สับสนต่อไป

นายวีรพงษ์ กล่าวว่า นอกจากการประสานนโยนบายเศรษฐกิจการเงินการคลังให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้ว คณะที่ปรึกษาฯ ยังจะเสนอความเห็นในเรื่องการนำเงินออมของประเทศที่อยู่ในระดับสูงมาหาทางใช้เกิดประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาพลังงาน การเสนอให้นายกฯพิจารณาแต่งตั้งประธานการจัดงานประชุมอาเซียนที่ปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งต้องมีประธานเป็นการประชุม ซึ่งปกติประเทศอื่น จะให้รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์หรือกระทรวงการคลังเป็นประธาน แต่ของไทยจะเลือกใครมาเป็นหน้าตาประเทศระหว่างรัฐมนตรีคลังกับรัฐมนตรีพาณิชย์ก็อยู่ที่ท่านนายกฯ

รวมทั้งจะจัดทำแผนภาพรวมภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังเสนอต่อท่านนายกฯ ด้วย ส่วนท่านนายกฯจะรับฟังความเห็นหรือไม่เป็นเรื่องของท่านนายกฯ แต่คณะที่ปรึกษามีหน้าที่แค่เสนอความเห็นเท่านั้น ส่วนจะให้ไปเสนอความเห็นในครม.หรือไม่ก็อยู่ที่ท่านนายกฯ เช่นกัน แต่การประชุมครม.จะให้เข้าร่วมด้วยทุกรอบคงไม่ได้ เพราะแก่แล้ว อีกอย่างการเสนอรายงานความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรก็น่าจะเพียงพอในบางเรื่อง

ประธานที่ปรึกษา กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ตลาดทุนมีความลำบากมาก เพราะว่าไม่สามารถระดมทุนได้ เพราะว่าขาดความชัดเจนในเรื่องนโยบาย มันส่งผลให้การลงทุนโดยรวมล่าช้าออกไปด้วย อย่างไรก็ตามในเร็วๆนี้ คณะที่ปรึกษาจะจัดทำภาพรวมภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า เพื่อให้นายกฯพิจารณาสั่งการในการทำงานเพื่อให้คณะที่ปรึกษาก็จะทำตามคำบัญชา

ยันไม่ลาออกจากภาคเอกชน

นอกจากนี้ นายวีรพงษ์ ยืนยันจะไม่ลาออกจากตำแหน่งหน้าในบริษัทเอกชนต่างๆ ที่ทำอยู่ในปัจจุบันโดยให้เหตุผลว่า ยังมีภาระที่ต้องรับผิดชอบครอบครัว ฉะนั้นถ้าสังคมจะคลางแคลงใจจะให้ลาออกจริงๆ คงต้องลาออกจากตำแหน่งทีปรึกษานี้มากกว่า

อย่างไรก็ตาม ถ้าสังคมสงสัยในการทำงานกลัวเข้ามาหาประโยชน์ ขอยืนยันว่าตลอดเวลาการทำงาน 25 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนไม่เรียกมาปรึกษา เพียงแต่จะเป็นข่าวหรือไม่เป็นข่าวเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำหน้าทีในการให้คำปรึกษามาตลอด แต่ก็ไม่เคยเอาข้อมูลไปหาประโยชน์ส่วนตัวใดๆ เลย

ทั้งนี้ คณะที่ปรึกษาฯจะมีการประชุมร่วมกันทุกวันพฤหัสบดีเวลา 15.00น.โดยจะใช้ตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานที่ทำงานและใช้เป็นสถานที่ในการประสานและชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง สำหรับสาเหตที่เลือกวันพฤหัส เพราะต้องการที่จะนำเรื่องที่เสนอเข้าครม.แล้วมาพิจารณาจะได้เสนอความเห็นต่อนายกฯได้

"โกร่ง" ถอย ปัดคิดปลด "ธาริษา"

นายวีรพงษ์ ยังปฏิเสธมีแนวคิดเสนอให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ปลดนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกจากตำแหน่ง แต่จะเสนอให้นายกรัฐมนตรี นัดหารือระหว่างกระทรวงการคลังและ ธปท.เพื่อแก้ไขภาพความเห็นขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้

"ต้องทำความเข้าใจว่าการตั้งขึ้นมาเป็นไปตามบัญชาการของนายกฯ ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ยังมองว่าแบงก์ชาติและกระทรวงการคลังยังทำงานร่วมกันได้" นายวีรพงษ์ กล่าว พร้อมอ้างว่า การออกมาวิพากวิจารณ์การทำงานของ ธปท.ก่อนหน้านี้ ตนทำในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่ง แต่ขณะนี้ทำหน้าที่ในฐานะคนของรัฐบาลแล้ว ก็จะไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคล โดยจะทำงานในเชิงนโยบายที่จะส่งต่อข้อเสนอแนะไปถึงนายกรัฐมนตรึโดยตรงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นายวีรพงษ์ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่านางธาริษา เหมาะสมที่จะทำงานในตำแหน่งหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น