ผู้จัดการรายวัน - นักลงทุนไม่มั่นใจทีมเศรษฐกิจ หลัง "สมัคร" ปรับครม.ชุดใหม่ เมินลงทุนในตลาดหุ้น ดัชนีรูดต่ออีกเกือบ 4 จุด มูลค่าการซื้อขายบางเฉียบแค่ 5.7 พันล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายต่อเนื่องอีก 789 ล้านบาท ด้านโบรกเกอร์ ชี้นักลงทุนหวั่นรัฐบาลเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งจนส่งผลลบต่อตลาดหุ้น รวมทั้งลุ้นผลการประชุมเฟดวันนี้
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4 ส.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ แดนลบ ท่ามกลางความเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนต่างรอดูความชัดเจนของปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการแต่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ และทีมที่ปรึกษาของรัฐบาลยังคงไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้มากนัก จึงได้ชะลอการซื้อขาย และบางส่วนได้มีการขายหุ้นออกมากดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยด้วย
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 679.12 จุด ในช่วงการซื้อขายภาคเช้า ก่อนจะมีแรงขายหุ้นทำกำไรกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง และปิดการซื้อขายที่ระดับต่ำสุดที่ 674.67 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้า 3.99 จุด หรือคิดเป็น 0.59% มูลค่าการซื้อขายรวม 5,784.83 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าการซื้อขายที่ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน (1 ปี 4 เดือน)
โดยนักลงทุนต่างประเทศยังคงทยอยทิ้งหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้ขายออกมาตลอดทั้งเดือน คือมียอดขายสุทธิ 789.66 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 497.98 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 291.68 ล้านบาท
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคเฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ ในทิศทางที่ปรับตัวลดลงจากสถานณ์การเมืองในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจน และกังวลในการเกิดความวุ่นวายเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ ทำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นพื้นฐานออกมาประกอบกับราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนประเด็นเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นั้น พบว่า รายชื่อที่ออกมาไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนแต่อย่างใด เพราะเป็นการสลับกระทรวงในการทำงานและเป็นการแบ่งตำแหน่งตามสัดส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ขณะที่นายวีระพงษ์ รามางกูร ที่เข้ามาเป็นหัวหน้าทีมที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจ อาจจะสร้างความเชื่อมั่นได้บ้าง แต่คงไม่มากนัก เพราะไม่มีอำนาจการตัดสินใจเหมือนรัฐมนตรี
นายโกสินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวลดลง หลังจากความกังวลปัญหาเรื่องสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ยังไม่คลี่คลาย และลุกลามสู่ภาคธุรกิจอื่นๆ แม้สหรัฐฯ จะมีการประกาศตัวเลขการจ้างงานออกมาที่ติดลบ 5.1 หมื่นตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ที่ 7.5 หมื่นตำแหน่ง
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ขึ้นอยู่กับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศต่างประเทศ ราคาน้ำมันดิบ การซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่ปัจจัยการเมืองยังคงเป็นปัจจัยลบที่กดดันจนกว่าจะมีความชัดเจนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ส่วนการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/51 นั้น จะทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรเป็นรายบริษัท แต่นักลงทุนยังคงกังวลในเรื่องผลประกอบการไตรมาส 3/51 ที่จะต่ำจากได้รับผลกระทบราคาน้ำมันดิบ อัตราเงินเฟ้อที่สูง โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 665-667 จุด แนวต้านที่ระดับ 678-680 จุด
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยบวกที่เข้ามากระตุ้น ขณะที่นักลงทุนเองยังกังวลสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจจะบานปลายขึ้น หลังจากที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดกระแสความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสนับสนุนและคัดค้าน ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศจะต้องรอดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันนี้ แม้หลายฝ่ายจะคาดการณ์ว่าเฟดคงจะไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด
"ตลาดหุ้นค่อนข้างนิ่ง มูลค่าการซื้อขายเบาบาง เพราะนักลงทุนยังกังวลเรื่องการ รวมทั้งลุ้ผลประชุมเฟด แม้ว่าคงไม่มีอะไรมาก เพราะทุกคนคาดการณ์ไว้แล้วน่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ย"
นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่จะเข้ามาดูแลและแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะเป็นเพียงการสลับตำแหน่งความรับผิดชอบเท่านั้น รวมทั้งที่ผ่านมาครม. ชุดดังกล่าวก็ไม่ได้ฝากผลงานที่ดีหรือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้แต่อย่างใด
"ครม.ชุดใหม่ที่จะเข้ามาดูแลแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยังคงเป็นคนหน้าเดิมๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพียงแต่สลับที่นั่งกันเอง ขณะที่ทีมเศรษฐกิจที่มีนายวีระพงษ์ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเองก็ยังมีข้อกังขาถึงเรื่องความโปร่งใส และผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่เช่นกัน"
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4 ส.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ แดนลบ ท่ามกลางความเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนต่างรอดูความชัดเจนของปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการแต่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ และทีมที่ปรึกษาของรัฐบาลยังคงไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้มากนัก จึงได้ชะลอการซื้อขาย และบางส่วนได้มีการขายหุ้นออกมากดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยด้วย
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 679.12 จุด ในช่วงการซื้อขายภาคเช้า ก่อนจะมีแรงขายหุ้นทำกำไรกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง และปิดการซื้อขายที่ระดับต่ำสุดที่ 674.67 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้า 3.99 จุด หรือคิดเป็น 0.59% มูลค่าการซื้อขายรวม 5,784.83 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าการซื้อขายที่ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน (1 ปี 4 เดือน)
โดยนักลงทุนต่างประเทศยังคงทยอยทิ้งหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้ขายออกมาตลอดทั้งเดือน คือมียอดขายสุทธิ 789.66 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 497.98 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 291.68 ล้านบาท
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคเฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ ในทิศทางที่ปรับตัวลดลงจากสถานณ์การเมืองในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจน และกังวลในการเกิดความวุ่นวายเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ ทำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นพื้นฐานออกมาประกอบกับราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนประเด็นเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นั้น พบว่า รายชื่อที่ออกมาไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนแต่อย่างใด เพราะเป็นการสลับกระทรวงในการทำงานและเป็นการแบ่งตำแหน่งตามสัดส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ขณะที่นายวีระพงษ์ รามางกูร ที่เข้ามาเป็นหัวหน้าทีมที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจ อาจจะสร้างความเชื่อมั่นได้บ้าง แต่คงไม่มากนัก เพราะไม่มีอำนาจการตัดสินใจเหมือนรัฐมนตรี
นายโกสินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวลดลง หลังจากความกังวลปัญหาเรื่องสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ยังไม่คลี่คลาย และลุกลามสู่ภาคธุรกิจอื่นๆ แม้สหรัฐฯ จะมีการประกาศตัวเลขการจ้างงานออกมาที่ติดลบ 5.1 หมื่นตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ที่ 7.5 หมื่นตำแหน่ง
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ขึ้นอยู่กับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศต่างประเทศ ราคาน้ำมันดิบ การซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่ปัจจัยการเมืองยังคงเป็นปัจจัยลบที่กดดันจนกว่าจะมีความชัดเจนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ส่วนการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/51 นั้น จะทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรเป็นรายบริษัท แต่นักลงทุนยังคงกังวลในเรื่องผลประกอบการไตรมาส 3/51 ที่จะต่ำจากได้รับผลกระทบราคาน้ำมันดิบ อัตราเงินเฟ้อที่สูง โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 665-667 จุด แนวต้านที่ระดับ 678-680 จุด
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยบวกที่เข้ามากระตุ้น ขณะที่นักลงทุนเองยังกังวลสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจจะบานปลายขึ้น หลังจากที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดกระแสความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสนับสนุนและคัดค้าน ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศจะต้องรอดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันนี้ แม้หลายฝ่ายจะคาดการณ์ว่าเฟดคงจะไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด
"ตลาดหุ้นค่อนข้างนิ่ง มูลค่าการซื้อขายเบาบาง เพราะนักลงทุนยังกังวลเรื่องการ รวมทั้งลุ้ผลประชุมเฟด แม้ว่าคงไม่มีอะไรมาก เพราะทุกคนคาดการณ์ไว้แล้วน่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ย"
นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่จะเข้ามาดูแลและแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะเป็นเพียงการสลับตำแหน่งความรับผิดชอบเท่านั้น รวมทั้งที่ผ่านมาครม. ชุดดังกล่าวก็ไม่ได้ฝากผลงานที่ดีหรือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้แต่อย่างใด
"ครม.ชุดใหม่ที่จะเข้ามาดูแลแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยังคงเป็นคนหน้าเดิมๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพียงแต่สลับที่นั่งกันเอง ขณะที่ทีมเศรษฐกิจที่มีนายวีระพงษ์ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเองก็ยังมีข้อกังขาถึงเรื่องความโปร่งใส และผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่เช่นกัน"