xs
xsm
sm
md
lg

เตือนแก้รธน.ชนวนนองเลือดเชื่อแม้วจนตรอกก่อเหตุรุนแรงเปิดช่องลี้ภัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในการเสวนาเรื่อง สงครามการ(กลาง)เมือง พลังประชาชน-พันธมิตรฯ ชนวนวิกฤติ 6 ตุลา ภาค2ว่า การเมืองปัจจุบันไม่เหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 เพราะช่วงนั้นเป็นแบบซ้ายกับขวาพิฆาต แต่ปัจจุบันเป็นขวากับขวาพิฆาต ซึ่งสังคมไทยในยุคนี้จะแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ถ้าเปรียบสื่อคือ สถานีโทรทัศน์ ASTV กับ PTV หรือทุนนิยมกับจารีตนิยม โดยมีแกนกลางคือ ประชานิยม ทุนนิยม และโลกาภิวัตน์ ซึ่งอุดมการณ์ 3 ส่วนนี้จะแบ่งเป็นจารีตนิยม ชาตินิยม และอุดมการณ์ต่อต้านการเมือง
นายสุรชาติ กล่าวว่าหากคิดแบบสุดโต่งก็จะเกิดสงครามกลางเมือง เพราะเมื่อปี 2516-2519 เป็นการเคลื่อนไหวของนักศึกษาแต่ขณะนี้โลกมีสื่อเข้ามามีบทบาท เป็นอย่างมากจะเกิดจราจลอย่างหนัก ถ้าคุมไม่ได้จะเป็นสงครามกลางเมือง แล้วจะเลือกเอารัฐประหารรอบใหม่หรือไม่ แล้วเมื่อมีการรัฐประหารทหารก็ไม่สามารถหาใคร มาเป็นรัฐบาลได้ สุดท้ายก็ไม่สามารถคุมการเลือกตั้งได้ หรือจะถอยเข้ามาจุดเดิมที่ให้ สภา เป็นสภา รัฐบาลเป็นรัฐบาล และศาลเป็นศาล แต่สังคมไทยเป็นสังคมตรวจสอบเกินถ่วงดุล โดยดำเนินภายใต้อำนาจตุลาการมากเกินไป
นายสุรชาติ กล่าวว่า อยากให้ผู้ที่เรียกร้องบนสะพานมัฆวาน เอาข้อเสนอบนถนนมาแปลงเป็นนโยบายทางการเมือง แล้วสู้กันในระบบเลือกตั้ง ถ้าสังคมเลือก ก็ดำเนินนโยบายอย่างนั้น ถ้าหากการเมืองกลับไปสู่ภาวะปกติแล้ว ก็ให้เอาปัญญาเป็นที่ตั้ง แล้วบ้านเมืองจะเดินทางไปในทางที่ดี แต่ถ้าเล่นกันแบบหยาบๆ สุดท้าย ก็จะลงเหวกันหมด ถ้าจะถามตนในขณะนี้อยากจะเสนอกว่าการยุบสภาเป็นทางออก ที่ดีที่สุด แต่หลายคนอาจจะไม่รับ ซึ่งเราคิดแต่ว่าการเมืองขณะนี้เดินมาถึงทางตัน ต้องเลิกคิดวาทะกรรม เอาทหารล้างท่อ เลิกเชื่อว่าการยุบสภาผิดกฎหมาย เพราะการเมืองไม่มีทางตัน สังคมไทยต้องพ้นอวิชชาและต้องตั้งหลัก สุดท้ายทหารเป็นกรรมกรรื้อบ้าน
นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณะบดี คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถานบัณฑิตพัฒนบิหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า การเมืองมีปรากฎการณ์เหนือความ คาดหมายคือมีปรากฎการณ์ทักษิณ ที่กลไกการตรวจสอบถูกบิดเบือนโดยนักการเมือง มีการทุจริตคอรัปชั่น มีนายหน้ากินเปอ์เซ็น ทำให้ชนชั้นกลางเกิดความอึดอัด ในที่สุดก็เกิดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้โภคทรัพย์กระจายไปทั่วสังคมและประชาชน แต่ปัญหามีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะพ.ต.ท.ทักษิณแตกต่างจากนักการเมืองคนอื่น เพราะทำให้เกิดการสถาปนาขึ้นมาหรือเป็นอุดมคติของชาวบ้าน ที่เหมือนมีคนมาโปรด ในที่สุดก็เกิดการประจันหน้ากันของกลุ่มสนับสนุนและต่อต้าน ทำให้เกิดคำถามว่าระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทนเหมาะสมกับสังคมไทยหรือไม่ ประชาชนมีส่วนร่วมจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการจัดสรรผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง แล้วโยนเศษเนื้อข้างเขียงให้ประชาชน
นายพิชาย กล่าวว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยในอนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดา ได้ยาก แต่จากข้อมูลเชิงประจักษ์ในอดีต ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา 16 6 ตุลาฯ 19 เกิดจราจล แต่ในที่สุดก็ยุติได้ด้วยระบบพิเศษของสังคมไทย แต่วันนี้คนเป็นนายกฯ มีความคิดและการแสดงความเห็นทำให้เกิดคำถามว่าอาจเข้าไปเกี่ยวข้องเหมือนกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ทำให้เกิดความเชื่อว่าถ้ามีความรุนแรงเกิดขึ้น คงเป็นเรื่องธรรมดา จากที่นายกฯ ได้ออกมาพูดในลักษณะฝ่ายเขาฆ่าเรามามาก เราต้องฆ่าเขาบ้าง ซึ่งเป็นการเปรียบเปรย อาจไม่เป็นจริง แต่ประชาชนไม่เข้าใจ จึงเกิดกรณีม็อบอุดรฯ นี่คือการใช้ภาษาที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจ
นอกจากนี้หากมองไปยังคนที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์บางคนวิชาชีพ ถูกปลูกฝังให้ใช้ความรุนแรง ซ้อมผู้ต้องหา นโยบายปราบปรามยาเสพติด ทำให้ผู้ปฏิบัติตีความผิด ไปใช้ความรุนแรง ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์เหล่านี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก มีทั้งกลุ่มนักเลง เจ้าพ่อ พวกคลั่งไสยศาสตร์ และมวลชนของคนกลุ่มนี้ก็เป็นฝ่ายซ้ายสุดขั้ว เมื่อหันมามองดูแกนนำพันธมิตรฯ 4 คน ไม่มีประวัติใช้ความรุนแรงมาก่อน โดยวิชาชีพ ยกเว้น พล.ต. จำลอง ศรีเมือง โดยลักษณะวิชาชีพมีการใช้ความรุนแรงมาก่อน แต่ 20 กว่าปีที่ผ่านมา พล.ต.จำลอง ได้เข้าไปอยู่สันติอโศก ปฏิบัติธรรม ที่สำคัญ 70 % ของผู้มาชุมนุมเป็นผู้หญิงจากชนชั้นกลาง และการแสดงออกทางการเมืองแบบใช้ความรู้และสันติสูงกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตนมองว่า ความรุนแรงจะเกิดขึ้นได้ ก็เมื่อรัฐบาลและนายทุนเกิดภาวะจนตรอกและสิ้นคิด
จนตรอกคือกลัวติดคุก และสิ้นคิดคือเมื่อจะติดคุกก็ทำลายให้มันพังไปหมด อยู่ที่ว่าจะเลือกจนตรอก หลีกหนี ลี้ภัย ความรุนแรงจะไม่เกิด แต่ถ้าจนตรอกแล้วสิ้นคิด จะเกิดความรุนแรงขึ้น
นายพิชาย กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นกลไกหลัก ถ้าสามารถแก้ได้จะล้างความผิดทั้งหมด เมื่อไหร่ที่ยื่นแก้รัฐธรรมนูญ หมายความว่าสิ้นคิด และจะเกิดจราจลขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ ดังนั้นสังคมยังมีทางออกถ้านักการเมืองใช้อำนาจ ด้วยความเป็นธรรมมีจริยธรรม ถ้าสามารถข้ามพ้นวิกฤตินี้ไปได้ก็จะมีการเมืองใหม่ ที่ไม่เป็นแบบเดิม ผู้ที่เข้ามาจะถูกตรวจสอบเหมือนในอารยะประเทศอื่น ไม่เหมือนรัฐมนตรีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับฟ้องแล้วก็ไม่ยอมออก
ด้านนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าสถานการณืในขณะนี้มีแนวโน้ม ความรุนแรงมากขึ้น คำถามคือเรามีทางออกหรือไม่ หรือจะปล่อยให้แตกหัก ซึ่งหากปล่อยไปจะนำไปสู่ความรุนแรงและนองเลือดได้ ทั้งนี้สาเหตุความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจากการใช้อำนาจไม่ชอบของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และมีการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกวิธีคือการยึดอำนาจ และทำให้สังคมไทยตกอยู่ในหลุม ที่ไม่สามารถขึ้นมาจากหลุมได้
ส่วนชนวนที่จะนำไปสู่การนองเลือดคือการแก้รัฐธรรมปี 2550 ที่มีฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับว่าเป็นกติกาสูงสุด ยังเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ม.237 และม.309 ซึ่งทางออกของเหตุการณ์ ในเรื่องนี้คือหากปล่อยให้กระแสความรุนแรงไปเรื่อยๆสังคมจะเกิดความเสียหายในระยะยาว จึงขอเสนอแนวทางการหลีกเลี่ยง 4 ข้อ ได้แก่1.รักษากติกาไม่ใช้ความรุนแรงให้ได้ 2. พันธมิตรฯและกลุ่มต่อต้านต้องยึดมั่นในกติการไม่ใช้ความรุนแรง 3.รัฐบาลจะต้องตัดชนวนการแก้รับธรรมนูญ แม้ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่การแก้ในขณะนี้จะนำไปสู่ความรุนแรง ฉะนั้นควรปล่อยให้คณะกรรมาธิการศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญเป็นผู้ดำเนินการ และต้องฟังความเห็นจากสาธารณะก่อน และ4.แม้การยุบสภาไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง แต่หากไม่มีทางเลือกอื่น การยุบสภาก็เป็นการแก้ปัญกหาเฉพาะหน้า ทำให้ความรุนแรงคลี่คลายได้แล้วเข้าสู่ระบบเลือกตั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น