“สมศักดิ์” จวกรัฐบาลหมาบ้า แสดงธาตุแท้เผด็จการไล่กัดไปทั่ว ไม่สนใจการตรวจสอบของประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาล ดิ้นรนออกมาตรการตกเขียว ซื้อเสียงล่วงหน้า ยื้อเวลาเพื่อผลประโยชน์ตนเอง พร้อมส่งสัญญาณประชาชนใกล้เสร็จภารกิจ เตรียมรวมพลทั่วประเทศที่ กทม.ทุกศุกร์-เสาร์ เพื่อรอการเป่านกหวีดครั้งสุดท้าย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ปราศรัย
วันนี้ (16 ก.ค.) เวลาประมาณ 21.20 นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยบนเวทีบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่า สิ่งที่ต้องการย้ำมาตั้งแต่ต้น คือ การที่รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลเถื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินแล้วว่ามีความผิดรัฐธรรมนูญ 190 อย่างชัดแจ้ง โดยซึ่งที่เขาทำอยู่ในปัจจุบันเป็นการดิ้นรนเพื่อตนเอง และนับเป็นความหน้าด้านที่สุดที่เคยมีมาในโลกนี้ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของรัฐบาลได้แสดงธาตุแท้ของเผด็จการออกมา
“นี่คือ ธาตุแท้ของเผด็จการ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการที่คนพวกนี้ อ้างว่า ตนเองมาจากการเลือกตั้ง โดยธรรมชาติของเผด็จการจะกลัวการถูกตรวจสอบ ตามธรรมาภิบาล ซึ่งขณะนี้รัฐบาลชุดนี้กำลังทำตัวเหมือนสุนัขบ้ากัดไม่เลือก ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ และศาล และหากอีกหน่อยไม่มีอะไรกัด เชื่อว่า มันจะหันมากัดตัวมันเอง และนี่แหละที่บอกว่าไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลไม่ได้บริหารเพื่อประชาชน แต่บริหารเพื่อนายหัวหน้าเหลี่ยม และพวกพ้อง จึงทำให้รัฐบาลนี้เป็นโมฆะ ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลพันธุ์เส็งเคร่งนี้จะเป็นรัฐบาลสุดท้ายหลังจากนี้” นายสมศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลนี้เมื่อรู้ว่าจะไปไม่รอด จึงได้ทำการออกมาตรการ 6 ประการ แต่อยากบอกว่าไม่มีใครเข้าใช้มาตรการ เช่น แม้แต่ประชาชนิยมยังไม่ใช่ เพราะมันผิดหลัก ซึ่งประชานิยมจะมีหลักว่ารัฐทุนนิยม จะเอาทรัพยากรไปให้คนกลุ่มน้อยหรือคนรวย และเมื่อเกิดความไม่พอใจ รัฐจะนำประชานิยมออกมาใช้ โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับประเทศที่ด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนาเท่านั้น เพราะประเทศพัฒนาแล้วจะไม่เป็นแบบนี้ เพราะคนจน และคนรวย จะมีน้อย โดยมีชนชั้นกลางอยู่เป็นจำนวนมากแทนที่ เหมือนเป็นรูปรักบี้
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การที่ทรัพยากรส่วนใหญ่อยู่กับรัฐ ซึ่งศัตรูตัวจริง คือ ทุนนิยมตะวันตก โดยรัฐบาลทักษิณได้เคยนำหลัการนี้มาใช้ คือ มีให้ขายรัฐวิสาหกิจให้เป็นของนายทุน และเอาทุนผูกขาดมาใช้ สถาปนาตนเป็นซีอีโอใหญ่ ผู้ว่าฯเป็นซีอีโอจังหวัด พวกเราได้ต่อต้านการแปรรูปมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 เพราะรู้ดีว่าทรัพยากร สาธารณูปโภคสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคน และเราได้เรียนรู้จากอาร์เจนตินาจึงต่อต้านเรื่องนี้มาตลอด
“ร.5 เลิกทาส 2448 นี่คือขั้นตอนให้ประชาชน มีเสรีภาพ และสถาปนา รถไฟ ไฟฟ้า ประปา เพื่อให้ประชาชน แต่ทักษิณ กับขาย ปตท.เมื่อก่อนน้ำมันลิตร 11 บาท น้ำมันดีเซลตอนนี้แพงเท่าน่ำมันเบนซิน คนจนทั้งหมดใช้ แล้วคนจนตายไหม แล้วมาลดไม่เท่าไรมันช่วยได้ที่ไหน นายมิ่งขวัญ ที่เป็นเซลส์ขายรถยนต์ ไม่ได้มีมันสมองในการบริหารประเทศ รัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณ พอไปไม่รอดก็ขึ้นมาประกาศ นี่คือ นโยบายจนตรอก และนี่คือ การตกเขียวซื้อเสียงล่วงหน้า” นายสมศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อรัฐบาลรู้ว่าจะไปไม่รอด แต่ยังพยายามแก้กฎหมาย เพื่อปลุกพี่หัวขาด 111 ศพ โดยหวังว่าการกระทำครั้งนี้จะเป็นทางรอด ซึ่งอยากบอกว่าไม่มีทางเมื่อถึงตอนนี้ คนพวกนี้มีแต่จะตายเท่านั้น เพราะการทำผิดรัฐธรรมนูญในกรณีเขาพระวิหาร ทำให้ประเทศเสียอธิปไตย ถ้ามีคำพิพากษามามันก็ตายแล้ว วันนั้นใครเข้าประชุม 17 มิ.ย.2551 ถ้ามาประชุมแล้วไม่ยกค้านจะต้องตายทั้งฝูง โดยเมื่อ ป.ป.ช.มีมติเกินกึ่งหนึ่ง ว่า เป็นการใช้หน้าที่โดยไม่ชอบ เขาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ซึ่งแตกต่างจากการยุบสภาที่ยังรักษาการได้ แต่นี่ต้องหยุดทันที และจะทำให้เกิดสุญญากาศ โดยเป็นเรื่องที่เราต้องคิดว่าจะดำเนินการการเมืองใหม่อย่างไรต่อไปทันที
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า อยากให้ประชาชนเตรียมพร้อม เพราะจะมีการฉลองชัยชนะในอีกไม่นาน โดยอยากให้พี่น้องในทุกจังหวัดมาร่วมชุมนุมในวันศุกร์ เสาร์ เพื่อรอการเป่านกหวีดครั้งสุดท้าย เนื่องจากขณะนี้เราเดินทางมากว่า 4 ใน 5 เหลือระยะทาง เพียง 1 ใน 5 เท่านั้นไม่ต้องไปกังวล และการที่ ผบ.ทบ.ออกมาพูดแล้วว่าทางออกคือที่ดีที่สุด คือ ขบวนการยุติธรรม โดยประชาชนจะเป็นพลังงานที่จะขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด และต้องติดคุก ยึดทรัพย์เข้าคลังหลวง ดังนั้น
“พวกนี้เป็นกาฝากโกงกินกับรัฐวิสาหกิจ ที่ดินรถไฟ มี 2 แสน 3 หมื่นกว่าไร่ ทำรายได้เป็นหลายหมื่นล้านบาท แต่พวกนี้โกงกินทุจริต มาตรการ 6 เดือนไม่ใช่ความหวัง ไม่ใช่การบริหารแบบยังยืน การทำแบบนี้เหมือนคนสติแตเพื่อรักษาฐานอำนาจ พวกโกงกินอย่าเรืยกว่าบารมี มันเรียกว่า อิทธิพลเถื่อน คนพวกนี้ไม่มีบารมี และเมื่อไม่มีมันหมดความเป็มนุษย์ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันโกงทุจริต บริหาร ปท.เพื่อหน้าเลี่ยมและตัวพวกมันเอง จึงหมดความชอบธรรมไปแล้ว” นายสมศักดิ์ กล่าว