บทเพลงพระราชนิพนธ์ “เราสู้” ได้กลายเป็นเพลงยอดนิยมที่สุดในการชุมนุมร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในแต่ละวันมีการร้องเพลงนี้หลายรอบ
ในวันที่พายุฝนโหมกระหน่ำมายังที่ชุมนุมและสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ไม่สามารถออกอากาศถ่ายทอดสดได้ ภาพที่น่าประทับใจก็คือประชาชนก็ยังคงยืนหยัด ใส่เสื้อกันฝน กางร่มและร้องเพลงเราสู้อย่างไม่ท้อถอย
อันที่จริงเพลงปลุกใจของฝ่ายขวา และเพลงเพื่อชีวิตของฝ่ายซ้าย ที่เคยใช้ในการต่อสู้เข่นฆ่ากันระหว่างคนไทยด้วยกันเมื่อ 30 ปีก่อน ได้มาปรากฏบนเวทีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2549 อย่างกลมกลืน
เพราะไม่ว่าจะเป็นมุมมองจากเพลงปลุกใจของฝ่ายขวา หรือเป็นมุมมองจากเพลงเพื่อชีวิตของฝ่ายซ้ายก็ตาม ต่างก็สามารถนำมาประยุกต์เป็นศิลปะที่มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการต่อสู้กับทุนที่ชั่วช้าได้เหมือนกันในยุคปัจจุบัน
แต่ความสำคัญของการที่เพลงเราสู้ กลายเป็นเพลงที่ร้องบ่อยที่สุดในการชุมนุมครั้งนี้ก็อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาของเพลงเราสู้ได้ปลุกใจให้ต่อสู้อย่างไม่รู้จักถอยแม้แต่ก้าวเดียว
การสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียวนี้เองได้เป็นผลทำให้มีความเห็นทั้งจากฝ่ายตรงกันข้ามและฝ่ายเดียวกันที่หวังดีเจตนาดีบางส่วนมองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ควรที่จะดื้อแพ่ง ได้คืบจะเอาศอก เรียกร้องสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จึงอยากให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย “ถอย”
ฝ่ายที่อยากให้ถอยนั้นยกเหตุผลว่านายจักรภพ เพ็ญแข ได้ลาออกจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไปแล้ว สมาชิกวุฒิสภาก็ได้ถอนรายชื่อออกจากญัตติการล้มล้างรัฐธรรมนูญจนจำนวนเสียงไม่ครบจำนวนแล้ว ลิ่วล้อของรัฐบาลก็มาแสดงละครขอความเห็นใจว่า ถอยจนสุดซอยแล้ว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็สมควรจะต้องถอยบ้าง
แต่แล้วละครฉากนี้ก็ต้องถูกทำลายอย่างย่อยยับ ด้วยพฤติกรรมที่ถูกเปลือยจนล่อนจ้อนจากเหตุผลในการลาออกของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่เปรียบตัวเองเสมือนเบี้ยยอมถูกกำจัดตัดตอนเพื่อปกป้องขุน ตลอดจนมติพรรคพลังประชาชนที่ประกาศว่าจะเข้าชื่อในการล้มล้างรัฐธรรมนูญใหม่อีกรอบหนึ่ง
จากเหตุการณ์ดังกล่าวย่อมเป็นการพิสูจน์ว่าขบวนการที่อยู่เบื้องหลังนายจักรภพก็ยังอยู่ต่อไป และแผนการล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องตัวเองและพวกพ้องก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป แล้วจะให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถอยด้วยเหตุผลกำมะลอไปได้อย่างไร?
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนอกจากไม่ถอยแล้ว ยังยกระดับของการต่อสู้จากการต่อต้านการล้มล้างรัฐธรรมนูญไปเป็นการโค่นล้มระบอบทักษิณ และขับไล่รัฐบาลอันธพาลหุ่นเชิดไปเป็นที่เรียบร้อยอีกด้วย
ถ้าจะย่อสาระเพื่อทบทวนแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ใช้เป็นเหตุผล “หนึ่งโหล” ในการยกระดับการต่อสู้เป็นขับไล่รัฐบาลนั้นมีดังนี้
1. เป็นหุ่นเชิดให้พรรคไทยรักไทยที่ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคเพราะเป็นปรปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2.ทุจริตนโยบายทางด้านเศรษฐกิจเพื่อเอื้อกลุ่มทุนของพวกพ้อง ทั้งเรื่องน้ำมัน การบริหารราคาข้าว และการขึ้นราคาน้ำตาล
3. ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาของคนยากจนจนเกิดการประท้วงการกดราคาพืชไร่ของเกษตรกรชาวไร่ชาวนาและค่าแรงทั่วประเทศ
4. มีพฤติกรรมขัดขวางการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา
5. โยกย้ายข้าราชการแทรกแซงและตัดตอนกระบวนการยุติธรรมและใช้ข้าราชการของตัวเองและพวกพ้องคุกคามองค์กรตรวจสอบอิสระตามรัฐธรรมนูญ
6. แทรกแซงและคุกคามการทำงานของสื่อสารมวลชน
7.ล้มเหลวในการบริหารจัดการปกป้องอธิปไตยของชาติ
8.ปกป้องคนทำผิดกฎหมายและผิดจริยธรรม ตลอดจนอันธพาล ให้มาทำงานการเมืองทั้งในรัฐบาลและรัฐสภา
9. อยู่เบื้องหลังกุ๊ยที่ทำร้ายประชาชนที่มาร่วมชุมนุม
10. อยู่เบื้องหลังขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
11. ร่วมมือกับนายทุนต่างชาติที่ส่อให้เห็นว่าจะเข้ายึดครองทรัพยากรและผลประโยชน์ของประเทศชาติและสิทธิสัมปทานต่างๆ ในอนาคต จนอาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ
12. มุ่งแต่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดของตัวเองและพวกพ้อง
เพราะเหตุผล “เป็นโหล” มากมายขนาดนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงสรุปว่า ไม่สามารถจะไว้วางใจรัฐบาลได้ และเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ก็คือหุ่นเชิดของระบอบทักษิณ ที่จะต้องขับไล่ต่อไป
มิตรสหายบางคนบอกว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งเป้าภารกิจยิ่งใหญ่เกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศชาติได้ ดังนั้นควรจะถอยเพื่อเก็บโครงสร้างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเอาไว้ใช้ยาวๆสำหรับการถ่วงดุล ตรวจสอบ และกดดัน อำนาจรัฐในแต่ละประเด็น ลดอำนาจบั่นทอนระบอบทักษิณทีละน้อยไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาหลายปี
ก็ต้องตอบมิตรสหายเหล่านั้นให้เข้าใจปัจจัย สภาพแวดล้อม และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ให้เข้าใจเสียก่อน
ประการแรก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้องยินดีหรือไม่ที่จะรอเวลา เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่กำลังเดินหน้า หรือจจะทนไม่ไหวที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนต้องล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อตัดตอนการตรวจสอบทั้งหมดไม่ให้เข้าสู่การพิจารณาชั้นศาลสถิตยุติธรรม
ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มั่นใจว่าตัวเองถูกต้องจริง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ลิ่วล้อไปตัดตอนกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมา
ในทำนองเดียวกันถ้าคนในระบอบทักษิณสามารถ แทรกแซง แทรกซึม และแทรกซื้อในกระบวนการยุติธรรมได้หมดจริง ก็คงไม่จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตา มุ่งจะเอาแต่แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองและพวกพ้องพ้นผิด ใช่หรือไม่?
เมื่อเวลาลดน้อยลงไปเรื่อยๆ คดีความก็ต้องก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกัน แล้วคนในระบอบทักษิณจะยอมถอยได้อย่างไร?
แล้วถ้าระบอบทักษิณไม่ถอยแล้ว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะถอยไปได้อย่างไร?
ประการที่สอง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นส่วนผสมผสาน เกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างน่าอัศจรรย์ ประกอบไปด้วย กูรูด้านสื่อสารมวลชนที่พร้อมสู้จนยอมเจ๊งยอมตาย + นักการทหารและนักต่อสู้ที่มั่นคงเด็ดเดี่ยว + เอ็นจีโอรุ่นใหญ่ที่สุขุมรอบคอบ + ครูจากภาคอีสานที่ต่อสู้เพื่อคนยากจน + คนภาคใต้สายแรงงานและพนักงานรัฐวิสาหกิจมาเกือบตลอดชีวิต ซึ่งไม่รู้จะหาการรวมตัวที่มีส่วนผสมเช่นนี้ได้อีกเมื่อใดในวันข้างหน้าหรือไม่?
ปัจจัยสำคัญมีอยู่ว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบางคนแม้ว่าจะยังแข็งแรงดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าสูงวัยแล้ว จะให้สู้ต่อไปอีกหลายรอบ ชุมนุมอีกหลายหน วนไปวนมาซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ดูเหมือนจะเป็นข้อจำกัดอยู่พอสมควร จนอาจกล่าวได้ว่าการต่อสู้บนท้องถนนครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของส่วนผสมที่ลงตัวเช่นนี้ก็ได้
ดังนั้นแกนนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยย่อมไม่สามารถประนีประนอมกับเรื่องที่เป็นแค่เปลือกของปัญหาได้ ถ้าไม่อาศัยจังหวะนี้เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้น่าอยู่กว่าที่เป็นอยู่ ก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะมีโอกาสที่จะหลุดการจมปลักในวงจรอุบาทว์ทางการเมืองได้หรือไม่?
แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงสู้แบบถอยไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
ประการที่สาม ไม่มีใครรู้ว่า เอเอสทีวี จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เพราะการลงทุนเป็นสถานีข่าวที่เป็นโทรทัศน์ทางเลือกผ่านดาวเทียมนั้น ยังไม่สามารถสร้างดอกผลให้คุ้มค่ากับทางธุรกิจได้ ผู้ลงโฆษณารายใหญ่ก็ยังคงหวาดกลัวอำนาจรัฐ นอกจากนี้ยังไม่มีใครจะรับประกันได้ว่าเงินที่สนับสนุนที่มาจากการบริจาคกับประชาชน เมื่อรวมกับเงินที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลต้องไปเสียสละกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อหล่อเลี้ยงสถานีโทรทัศน์แห่งนี้จะมีเพียงพอที่จะทำให้ยืนหยัดได้อีกนานเท่าใด
ถ้าวันใดวันหนึ่งเอเอสทีวี ไม่สามารถดำรงสภาพเพื่อให้ข้อมูลข่าวสารต่อไปได้ การต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็คงจะไม่ทรงพลังเหมือนเดิมอย่างแน่นอน
ดังนั้น สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี จึงถอยไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียวเช่นเดียวกัน และนั่นเป็นเหตุผลที่ประชาชนได้เข้ามาโอบอุ้มบริจาคเพื่อหล่อเลี้ยงองค์กรให้อยู่รอดได้เป็นผลสำเร็จในเดือนที่ผ่านมา
ประการที่สี่ ใครได้มีโอกาสสังเกตก็จะทราบได้ทันทีว่า ประชาชนที่เข้าชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัย ในขณะที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และเยาวชน เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้มีสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก
30 ปีที่แล้วคนที่เปลี่ยนแปลงทางการเมือง เกิดจากพลังของ นิสิต นักศึกษา และประชาชน
16 ปีที่แล้วคนที่ต่อสู้กับรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็คือ ผู้ชุมนุมชนชั้นกลางที่ถูกตั้งสมญานามว่า “ม็อบมือถือ”
30 ปีผ่านไป คนที่ออกมาต่อสู้กลับกลายเป็นชนชั้นกลางที่สูงวัย แม้จะมีจิตใจที่มุ่งมั่นและเข้มแข็ง แต่ก็มีข้อจำกัดทางกายภาพอยู่พอสมควร จนหลายคนต้องล้มป่วยลงจากสภาพอากาศที่ผันผวน ในขณะที่ภาพปรากฏเป็นข่าวของเยาวชนกำลังคลั่งไคล้นักร้องดาราไทยและเกาหลีตามงานคอนเสิร์ตมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ
หมดจากประชาชนรุ่นนี้แล้วก็ยังไม่รู้ว่าสังคมไทยในรุ่นหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับหัวเลี้ยวหัวต่อของคนรุ่นปัจจุบันที่จะสามารถสร้างรากฐานการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ได้มากแค่ไหนให้กับคนรุ่นหน้า
การต่อสู้ครั้งนี้อาจจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของผู้ชุมนุมสูงวัยที่จะยังคงมีกำลังวังชาเหลืออยู่เท่าที่มี จึงย่อมมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่ออนาคตของลูกหลานจะได้มีโอกาสอยู่ในสังคมที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ไม่ใช่สู้แค่เพื่อให้เบี้ยตัวหนึ่งลาออก หรือสู้เพื่อให้ถอนญัตติล้มล้างรัฐธรรมนูญชั่วคราวหลอกลวงประชาชนไปวันๆ
และนั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราต้องสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียว!
ในวันที่พายุฝนโหมกระหน่ำมายังที่ชุมนุมและสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ไม่สามารถออกอากาศถ่ายทอดสดได้ ภาพที่น่าประทับใจก็คือประชาชนก็ยังคงยืนหยัด ใส่เสื้อกันฝน กางร่มและร้องเพลงเราสู้อย่างไม่ท้อถอย
อันที่จริงเพลงปลุกใจของฝ่ายขวา และเพลงเพื่อชีวิตของฝ่ายซ้าย ที่เคยใช้ในการต่อสู้เข่นฆ่ากันระหว่างคนไทยด้วยกันเมื่อ 30 ปีก่อน ได้มาปรากฏบนเวทีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2549 อย่างกลมกลืน
เพราะไม่ว่าจะเป็นมุมมองจากเพลงปลุกใจของฝ่ายขวา หรือเป็นมุมมองจากเพลงเพื่อชีวิตของฝ่ายซ้ายก็ตาม ต่างก็สามารถนำมาประยุกต์เป็นศิลปะที่มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการต่อสู้กับทุนที่ชั่วช้าได้เหมือนกันในยุคปัจจุบัน
แต่ความสำคัญของการที่เพลงเราสู้ กลายเป็นเพลงที่ร้องบ่อยที่สุดในการชุมนุมครั้งนี้ก็อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาของเพลงเราสู้ได้ปลุกใจให้ต่อสู้อย่างไม่รู้จักถอยแม้แต่ก้าวเดียว
การสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียวนี้เองได้เป็นผลทำให้มีความเห็นทั้งจากฝ่ายตรงกันข้ามและฝ่ายเดียวกันที่หวังดีเจตนาดีบางส่วนมองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ควรที่จะดื้อแพ่ง ได้คืบจะเอาศอก เรียกร้องสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จึงอยากให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย “ถอย”
ฝ่ายที่อยากให้ถอยนั้นยกเหตุผลว่านายจักรภพ เพ็ญแข ได้ลาออกจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไปแล้ว สมาชิกวุฒิสภาก็ได้ถอนรายชื่อออกจากญัตติการล้มล้างรัฐธรรมนูญจนจำนวนเสียงไม่ครบจำนวนแล้ว ลิ่วล้อของรัฐบาลก็มาแสดงละครขอความเห็นใจว่า ถอยจนสุดซอยแล้ว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็สมควรจะต้องถอยบ้าง
แต่แล้วละครฉากนี้ก็ต้องถูกทำลายอย่างย่อยยับ ด้วยพฤติกรรมที่ถูกเปลือยจนล่อนจ้อนจากเหตุผลในการลาออกของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่เปรียบตัวเองเสมือนเบี้ยยอมถูกกำจัดตัดตอนเพื่อปกป้องขุน ตลอดจนมติพรรคพลังประชาชนที่ประกาศว่าจะเข้าชื่อในการล้มล้างรัฐธรรมนูญใหม่อีกรอบหนึ่ง
จากเหตุการณ์ดังกล่าวย่อมเป็นการพิสูจน์ว่าขบวนการที่อยู่เบื้องหลังนายจักรภพก็ยังอยู่ต่อไป และแผนการล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องตัวเองและพวกพ้องก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป แล้วจะให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถอยด้วยเหตุผลกำมะลอไปได้อย่างไร?
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนอกจากไม่ถอยแล้ว ยังยกระดับของการต่อสู้จากการต่อต้านการล้มล้างรัฐธรรมนูญไปเป็นการโค่นล้มระบอบทักษิณ และขับไล่รัฐบาลอันธพาลหุ่นเชิดไปเป็นที่เรียบร้อยอีกด้วย
ถ้าจะย่อสาระเพื่อทบทวนแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ใช้เป็นเหตุผล “หนึ่งโหล” ในการยกระดับการต่อสู้เป็นขับไล่รัฐบาลนั้นมีดังนี้
1. เป็นหุ่นเชิดให้พรรคไทยรักไทยที่ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคเพราะเป็นปรปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2.ทุจริตนโยบายทางด้านเศรษฐกิจเพื่อเอื้อกลุ่มทุนของพวกพ้อง ทั้งเรื่องน้ำมัน การบริหารราคาข้าว และการขึ้นราคาน้ำตาล
3. ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาของคนยากจนจนเกิดการประท้วงการกดราคาพืชไร่ของเกษตรกรชาวไร่ชาวนาและค่าแรงทั่วประเทศ
4. มีพฤติกรรมขัดขวางการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา
5. โยกย้ายข้าราชการแทรกแซงและตัดตอนกระบวนการยุติธรรมและใช้ข้าราชการของตัวเองและพวกพ้องคุกคามองค์กรตรวจสอบอิสระตามรัฐธรรมนูญ
6. แทรกแซงและคุกคามการทำงานของสื่อสารมวลชน
7.ล้มเหลวในการบริหารจัดการปกป้องอธิปไตยของชาติ
8.ปกป้องคนทำผิดกฎหมายและผิดจริยธรรม ตลอดจนอันธพาล ให้มาทำงานการเมืองทั้งในรัฐบาลและรัฐสภา
9. อยู่เบื้องหลังกุ๊ยที่ทำร้ายประชาชนที่มาร่วมชุมนุม
10. อยู่เบื้องหลังขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
11. ร่วมมือกับนายทุนต่างชาติที่ส่อให้เห็นว่าจะเข้ายึดครองทรัพยากรและผลประโยชน์ของประเทศชาติและสิทธิสัมปทานต่างๆ ในอนาคต จนอาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ
12. มุ่งแต่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดของตัวเองและพวกพ้อง
เพราะเหตุผล “เป็นโหล” มากมายขนาดนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงสรุปว่า ไม่สามารถจะไว้วางใจรัฐบาลได้ และเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ก็คือหุ่นเชิดของระบอบทักษิณ ที่จะต้องขับไล่ต่อไป
มิตรสหายบางคนบอกว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งเป้าภารกิจยิ่งใหญ่เกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศชาติได้ ดังนั้นควรจะถอยเพื่อเก็บโครงสร้างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเอาไว้ใช้ยาวๆสำหรับการถ่วงดุล ตรวจสอบ และกดดัน อำนาจรัฐในแต่ละประเด็น ลดอำนาจบั่นทอนระบอบทักษิณทีละน้อยไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาหลายปี
ก็ต้องตอบมิตรสหายเหล่านั้นให้เข้าใจปัจจัย สภาพแวดล้อม และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ให้เข้าใจเสียก่อน
ประการแรก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้องยินดีหรือไม่ที่จะรอเวลา เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่กำลังเดินหน้า หรือจจะทนไม่ไหวที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนต้องล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อตัดตอนการตรวจสอบทั้งหมดไม่ให้เข้าสู่การพิจารณาชั้นศาลสถิตยุติธรรม
ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มั่นใจว่าตัวเองถูกต้องจริง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ลิ่วล้อไปตัดตอนกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมา
ในทำนองเดียวกันถ้าคนในระบอบทักษิณสามารถ แทรกแซง แทรกซึม และแทรกซื้อในกระบวนการยุติธรรมได้หมดจริง ก็คงไม่จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตา มุ่งจะเอาแต่แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองและพวกพ้องพ้นผิด ใช่หรือไม่?
เมื่อเวลาลดน้อยลงไปเรื่อยๆ คดีความก็ต้องก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกัน แล้วคนในระบอบทักษิณจะยอมถอยได้อย่างไร?
แล้วถ้าระบอบทักษิณไม่ถอยแล้ว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะถอยไปได้อย่างไร?
ประการที่สอง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นส่วนผสมผสาน เกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างน่าอัศจรรย์ ประกอบไปด้วย กูรูด้านสื่อสารมวลชนที่พร้อมสู้จนยอมเจ๊งยอมตาย + นักการทหารและนักต่อสู้ที่มั่นคงเด็ดเดี่ยว + เอ็นจีโอรุ่นใหญ่ที่สุขุมรอบคอบ + ครูจากภาคอีสานที่ต่อสู้เพื่อคนยากจน + คนภาคใต้สายแรงงานและพนักงานรัฐวิสาหกิจมาเกือบตลอดชีวิต ซึ่งไม่รู้จะหาการรวมตัวที่มีส่วนผสมเช่นนี้ได้อีกเมื่อใดในวันข้างหน้าหรือไม่?
ปัจจัยสำคัญมีอยู่ว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบางคนแม้ว่าจะยังแข็งแรงดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าสูงวัยแล้ว จะให้สู้ต่อไปอีกหลายรอบ ชุมนุมอีกหลายหน วนไปวนมาซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ดูเหมือนจะเป็นข้อจำกัดอยู่พอสมควร จนอาจกล่าวได้ว่าการต่อสู้บนท้องถนนครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของส่วนผสมที่ลงตัวเช่นนี้ก็ได้
ดังนั้นแกนนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยย่อมไม่สามารถประนีประนอมกับเรื่องที่เป็นแค่เปลือกของปัญหาได้ ถ้าไม่อาศัยจังหวะนี้เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้น่าอยู่กว่าที่เป็นอยู่ ก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะมีโอกาสที่จะหลุดการจมปลักในวงจรอุบาทว์ทางการเมืองได้หรือไม่?
แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงสู้แบบถอยไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
ประการที่สาม ไม่มีใครรู้ว่า เอเอสทีวี จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เพราะการลงทุนเป็นสถานีข่าวที่เป็นโทรทัศน์ทางเลือกผ่านดาวเทียมนั้น ยังไม่สามารถสร้างดอกผลให้คุ้มค่ากับทางธุรกิจได้ ผู้ลงโฆษณารายใหญ่ก็ยังคงหวาดกลัวอำนาจรัฐ นอกจากนี้ยังไม่มีใครจะรับประกันได้ว่าเงินที่สนับสนุนที่มาจากการบริจาคกับประชาชน เมื่อรวมกับเงินที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลต้องไปเสียสละกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อหล่อเลี้ยงสถานีโทรทัศน์แห่งนี้จะมีเพียงพอที่จะทำให้ยืนหยัดได้อีกนานเท่าใด
ถ้าวันใดวันหนึ่งเอเอสทีวี ไม่สามารถดำรงสภาพเพื่อให้ข้อมูลข่าวสารต่อไปได้ การต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็คงจะไม่ทรงพลังเหมือนเดิมอย่างแน่นอน
ดังนั้น สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี จึงถอยไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียวเช่นเดียวกัน และนั่นเป็นเหตุผลที่ประชาชนได้เข้ามาโอบอุ้มบริจาคเพื่อหล่อเลี้ยงองค์กรให้อยู่รอดได้เป็นผลสำเร็จในเดือนที่ผ่านมา
ประการที่สี่ ใครได้มีโอกาสสังเกตก็จะทราบได้ทันทีว่า ประชาชนที่เข้าชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัย ในขณะที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และเยาวชน เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้มีสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก
30 ปีที่แล้วคนที่เปลี่ยนแปลงทางการเมือง เกิดจากพลังของ นิสิต นักศึกษา และประชาชน
16 ปีที่แล้วคนที่ต่อสู้กับรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็คือ ผู้ชุมนุมชนชั้นกลางที่ถูกตั้งสมญานามว่า “ม็อบมือถือ”
30 ปีผ่านไป คนที่ออกมาต่อสู้กลับกลายเป็นชนชั้นกลางที่สูงวัย แม้จะมีจิตใจที่มุ่งมั่นและเข้มแข็ง แต่ก็มีข้อจำกัดทางกายภาพอยู่พอสมควร จนหลายคนต้องล้มป่วยลงจากสภาพอากาศที่ผันผวน ในขณะที่ภาพปรากฏเป็นข่าวของเยาวชนกำลังคลั่งไคล้นักร้องดาราไทยและเกาหลีตามงานคอนเสิร์ตมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ
หมดจากประชาชนรุ่นนี้แล้วก็ยังไม่รู้ว่าสังคมไทยในรุ่นหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับหัวเลี้ยวหัวต่อของคนรุ่นปัจจุบันที่จะสามารถสร้างรากฐานการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ได้มากแค่ไหนให้กับคนรุ่นหน้า
การต่อสู้ครั้งนี้อาจจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของผู้ชุมนุมสูงวัยที่จะยังคงมีกำลังวังชาเหลืออยู่เท่าที่มี จึงย่อมมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่ออนาคตของลูกหลานจะได้มีโอกาสอยู่ในสังคมที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ไม่ใช่สู้แค่เพื่อให้เบี้ยตัวหนึ่งลาออก หรือสู้เพื่อให้ถอนญัตติล้มล้างรัฐธรรมนูญชั่วคราวหลอกลวงประชาชนไปวันๆ
และนั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราต้องสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียว!