ผู้จัดการรายวัน - “สมัคร” บิดเบือนกล่าวหาพันธมิตรฯ ต้านแก้ รธน.เพราะไม่ต้องการให้โละ ม.63 พร้อมทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะประโคมข่าวใส่ร้ายยุทธการเป่านกหวีดให้ยึดศาลากลางจังหวัดเพื่อให้ทหารปฏิวัติ จวก “คนหน้าแหลมฟันดำ” ตัวการ ด่าสื่อสำราก “เลวทราม ต่ำช้า ทุเรศ” เฝ้านายกฯเข้าห้องน้ำ แถมเย้ยบอกนั่งกระดิกเท้ารอในห้องสุขานานเกือบชั่วโมงเพื่อแกล้งนักข่าว ขณะที่ “เป็ดเหลิม” อาฆาตคนพปช. อีสาน ลั่นขอให้ไปปราศรัยอีกต้องมีเงื่อนไข แฉแหลกไม่สนองตอบการโยกย้ายปลัด อธิบดี และผู้ว่า ขวางแก๊งหาผลประโยชน์เสนอให้โยกงบท้องถิ่นแต่ไม่ทำตาม แถมต้านออกสลากพิเศษ จนถูกเหม็นหน้า รับได้ยินข่าวอิทธิพล“ยี้ห้อย” อยู่เบื้องหลัง ซัดเมืองไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนชั่วไม่มีวันเจริญ
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” วานนี้ (3 ส.ค.)ว่า คนไทยขณะนี้แบ่งแยกเป็น 2 ฝ่าย แม้ศาล จะพิพากษาคดีคนไทยก็ยังแบ่งแยกกัน สาเหตุอย่างไรคงรู้กันอยู่ มีการปลุกระดมกันทั้งวันทั้งคืน จะเอากันให้พังกันไปข้างหนึ่งและยังมีการกำหนดวันว่า อีก 7 วัน รัฐบาลจะลาออก ก็ว่ากันไป
“ที่แบ่งแยกเพราะมีการออกโทรทัศน์ปลุกระดมให้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเข้าใจผิด เรียกคนให้เข้ามาจะโชว์ดาวน์ ผมเคยพูดไว้แล้วว่า มีสำนักอยู่ข้างหลัง คอยให้การสนับสนุน สำนักสงฆ์ที่ยกเลิกไปแล้วและไม่ยอมเลิก ฟังวิทยุกลางคืนเขาถ่ายทอด ตัวยืนตัวหลัก สำนักนี้เขาแผ่ไปทั่วประเทศ เขาสร้างสมมาตั้งแต่คดีความ พ.ศ.2538 -2539 ก็ไม่จบไม่สิ้น ก็ปล่อยไว้ให้เป็นเชื้อ จุดหมายปลายทางก็เกิดอย่างที่ฟาดฟันกันใน จ.อุดรธานี ก็ต้องปะทะกัน ทั้งหมดนี้เขาต้องการยึดศาลากลางทั้งหมดให้ทำงานไม่ได้ จะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็มีคณะนี้ออกมาต่อต้าน”
นายสมัคร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 ส.ค. เขาบอกว่าหากคดีนายกรัฐมนตรีจบค่อยแก้รัฐธรรมนูญ เพราะกลัวจะไปล้มคดี ซึ่งไม่ใช่ การแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ประโยชน์กับพรรคการเมืองที่จะถูกยุบ ในมาตรา 309 ไม่ใช่ แต่ที่พวกนี้ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ที่มาตรา 63 กลัวจะแก้มาตรานี้ เพราะจะทำให้ชุมนุมอย่างปัจจุบันไม่ได้ ทำให้คาราคาซังอยู่ทุกวันนี้ จากนนนี้ย้ายไปถนนนั้น ว่างๆ มีเวลาก็เดินขบวนไปปิดถนนหมด ที่ทำได้เพราะมาตรา 63 กลัวรัฐบาลจะไปแก้ กลัวจะลุกระดมไม่ได้ ขนาดศาลสั่งก็ยังชุมนุมกันที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ นี่ก็จะยึดศาลากลางทั่วประเทศ จึงขอพูดความจริงกันซะตอนนี้
นายสมัครยังได้ตอบคำถามจากทางบ้านที่ว่า ขณะนี้ประเทศไทยวุ่นวายเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ก็พูดแล้วว่า มีการปลุกระดมกันโดยใช้โทรทัศน์ ASTVปลุกระดมให้คนไทยแบ่งค่าย ด่าทอหยาบคายว่ากล่าว บอกรัฐบาลเถื่อนออกไป นี่หรือรัฐบาลเถื่อน ขีดเส้นด้วย 7 วันต้องออกไป เป่านกหวีด คือยึดศาลากลาง ให้ทหารออกมาปฏิวัติ ตนไม่ได้ท้าทายอะไรใคร แต่งานการต่างๆ ที่ทำ เราทำให้บ้านเมืองสงบสุข ใครกันที่เป็นคนปลุกระดม ขนาดคนจะปลุกระดมวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา ตนยังสั่งห้ามเพราะพยายามไม่ให้แบ่งซีก
ผู้ฟังทางบ้านถามว่า คนไทยในสหรัฐอเมริกาก็แบ่งซีกด้วย นายสมัคร กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มันทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงแล้วหรือยัง เขากลัวจะแก้มาตรา 63 พวกนี้เขียนเอาไว้ ก็พวกหน้าแหลมฟันดำนั่นแหละทำจนสำเร็จ แผนการที่จะทำลายล้างประเทศไทยมีอยู่ นำสถาบันพระมหากษัตริย์ไปเหยียบย่ำ คนพวกนี้ต้องระมัดระวัง ปลายทางหวังยึดศาลากลางจังหวัด ให้ทหารออกมา แต่ทหารยังไงก็ไม่ออก
นายสมัคร กล่าวอีกว่า “พูดไปก็เกิดเรื่อง ไม่พูดก็เกิดเรื่อง ไม่ประกาศชัยชนะ ต้องการให้อยู่อย่างสันติ เรามีสถาบันเดียวกัน อยู่ด้วยกัน ให้จบ ไม่เหมือนพวกแว้ดๆ กลางถนน ของผมอยู่ในที่ทำการ ไม่อยู่ริมถนน ก็จะดูว่า เค้าจะอยู่อย่างไร จะดูว่า สื่อสารมวลชนจะสนับสนุนใครแค่ไหน ขอความกรุณาว่า ทุกอย่างพยายามหลบ-หลีก-เลี่ยง-อดทน เค้าต้องการให้เลือดตกยางออก ผมไม่ได้สั่งอะไร เค้าเลือดตก ก็ไปยื่นสหประชาชาติ คนมันยั่วกัน ลองคิดสิ ถ้าไม่ตั้งวงด่าทอ จะมีใครออกมาตีกันหรือไม่ ไม่มีครับ เพราะมันมีเหตุต้องทำให้เกิด”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากจัดรายการ “สทนาประสาสมัคร”นายสมัคร ได้ออกจากห้องส่งอย่างอารมณ์ดี พร้อมกล่าวกับผู้สื่อข่าวที่มารอทำข่าวว่าจะให้สัมภาษณ์เฉพาะเรื่องกาพย์ยานีเท่านั้น แต่สื่อมวลชนพยายามสอบถามถึงเหตุผลการปรับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ออกจากตำแหน่ง รมว.มหาดไทย แต่นายกรัฐมนตรีไม่ให้สัมภาษณ์แต่เดินขึ้นรถออกไปทันที
**จิตเสื่อมด่านักข่าว “เลวทราม ต่ำช้า ทุเรศ”
จากนั้นนายสมัครเดินทางไปตลาด อตก.ท่ามกลางสื่อมวลชน ที่ติดตามไปขอสัมภาษณ์ถึงสถานการณ์หลังปรับ ครม. แต่เมื่อไปถึงไม่พบนายสมัครเดินจ่ายตลาดเหมือนเช่นเคย แต่ทราบจากแม่ค้าว่านายสมัคร เข้าห้องน้ำ ซึ่งเป็นห้องน้ำเก่าๆ เล็กๆ ที่พ่อค้า แม่ค้าใช้กัน จนเวลาผ่านไปประมาณ 30 นาที ประกอบกับรถตู้ของนายกรัฐมนตรี และรถนำขบวนเคลื่อนออกไปจากตลาด ทำให้ผู้สื่อข่าวไม่แน่ใจว่านายสมัครอยู่ในหองน้ำจริงเพราะเป็นห้องน้ำขนาดเล็กและมีอากาศร้อนอบอ้างนายกรัฐมนตรี จะอยู่ได้นานขนาดนั้น แต่เมื่อผู้สื่อข่าวเข้าไปสังเกตการณ์พบว่ามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรียืนเข้าหน้าห้องน้ำอยู่ 2 นาย
จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง รถบีเอ็มดับบลิวสีดำ หมายเลข ศฮ.9206 ซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ขับเข้ามาเปลี่ยนเพื่อรอรับนายกรัฐมนตรี จากนั้น นายสมัครได้ออกจากห้องน้ำด้วยสีหน้าไม่พอใจ โดยจ้องหน้าสื่อทีละช่อง พร้อมกล่าวตำหนิสื่อมวลชนที่ถ่ายภาพและรอทำข่าวอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำว่า
“ผมไม่เคยเห็นใครเลวทรามต่ำช้าได้เท่าไอ้คนพวกนี้ ไม่เคยเห็นอะไรที่ทุเรศเช่นนี้เลย นายกรัฐมนตรีเข้าห้องน้ำ ก็มายืนไม่ให้ออก ไม่รู้สมาคมอบรมกันมายังไง บรรณาธิการเขาอบรมสั่งสอนกันมาแบบนี้หรือ มันทุเรศ น่าอายไหม ผมจะเป็นส่วนตัวไม่ได้เลยหรือ รึจะเปิดประตูเข้าไปถ่ายผมข้างในขณะถ่ายเลย ดูเอาเถอะสถานีโทรทัศน์เมืองไทยมันเป็นยังไง ต้องไปให้หมอดูว่าจะบ้าหรือเปล่า มันผิดปกติมนุษยชน ผมนั่งอยู่ข้างในมันก็สิทธิ์ของผม ผมนั่งเล่นอยู่ข้างในนั้นหละจะทำไม อะไรนายกฯจะเดินตลาด จะเข้าห้องน้ำ ก็ตามถ่ายกันอยู่ได้ จะบ้าหรือเปล่า”นายสมัครกล่าวพร้อมกับถามสื่อมวลชนว่า “พูดกันบ้างซิ ว่ามันทุเรศไหม เอ้าไหนลองพูดกันมาซิ”
จากนั้นนายสมัคร ได้เดินไปบ่นกับแม่ค้าว่า “มันทุเรศไหมสถานีโทรทัศน์เมืองไทย ผมนั่งกระดิกเท้าอยู่ข้างในนั้นแหละ ดูซิว่าจะตามเข้าไปถ่ายกันถึงข้างในไหม”
จากนั้น ได้ย้อนกลับมาด่าสื่ออีก โดยตามต้อนสื่อทีละช่องว่า “อ้าวเจ้าของสถานี บรรณาธิการลองดูซิว่ามันน่าอายไหม ทีผมพูดปาฐกถาเรื่อง ภาษาไทย 2 ชั่วโมง กลับไม่ออกอากาศ ทีนายกรัฐมนตรีเข้าห้องน้ำตามมาถ่ายกัน หน้าด้านไหมแบบนี้” ท่ามกลางพ่อค้า แม่ค้า ตลอดจนประชาชนมายื่นมุ่งดู โดยบางคนเห็นว่าสื่อละเมิดสิทธิ ขณะที่บางคนกล่าวกับนายสมัครว่า เป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนที่จะต้องติดตามทำข่าวบุคคลสาธารณะจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทางออกจากตลาดทันทีโดยไม่ได้จ่ายตลาดแต่อย่างใด
**เฉลิมแฉแหลกเหตุถูกปรับออก
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีต รมว.มหาดไทย กล่าวเปิดใจหลังถูกปรับออกจาก ครม.ว่า ขอแสดงความยินดีกับรัฐมนตรีใหม่ทุกคน และขอให้นายกฯและรัฐบาลประสบความสำเร็จในการบริหารบ้านเมือง ส่วนที่ว่าตนไม่โยกย้ายข้าราชการ ตามความต้องการของใครบางคนนั้น ข้อเท็จจริงคือการโยกย้ายต้องเป็นไปตาม กฎเกณฑ์ข้าราชการจึงไม่ทราบว่า ไม่เป็นไปตามความต้องการของใครหรือไม่ เช่นเดียวกับการที่ไม่ยอมย้ายปลัดกระทรวงมหาดไทย และ อธิบดีอีก 5 คน ซึ่งคงไม่สามารถสนองตอบได้ เพราะต้องให้โอกาสคนเหล่านี้และก็ไม่ทราบว่ามีใครบ้างที่ไม่พอใจ
“มีคนมาขอร้องผมให้โยกย้ายผู้ว่าฯคนนั้นคนนี้ แต่ผมไม่ตอบสนอง เพราะผมมีคุณธรรม ยึดหลักกฎหมาย อาจทำให้คนไม่พอใจ เกลียดหรือไม่ผมไม่รู้”
สำหรับเรื่องขอให้เปลี่ยนงบกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งมีงบมาก โดยมีคนบางคนอยากให้เปลี่ยนแปลงงบในการกระจายลงไปในพื้นที่ 70-80 % มาเป็นงบอื่นแต่ตนทำให้ไม่ได้ เพราะเป็นงบที่สำคัญต่อประชาชน หากยกเลิกถือเป็นการปล้นความรู้สึกประชาชน จึงอาจทำให้ใครไม่พอใจ
**ขวางออกหวยพิเศษผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ยังมีปัญหาตนไปคัดค้านการออกสลากพิเศษใน ครม. 7 ข้อ จนทำให้คนบางกลุ่มไม่พอใจ เพราะตนเป็นนักกฎหมายหากทำอะไรผิดแล้วจะติดคุกในอนาคตตนไม่ทำ
“มีมูลนิธิแห่งหนึ่งไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ขอออกสลากพิเศษ 40 งวด งวดละ 300 ล้าน เป็นเงินทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท โดยมูลนิธิจะได้เงิน 9 % หรือ พันกว่าล้านบาท โดยอ้างว่าจะนำไปช่วยเหลือประชาชน 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่คนในพื้นที่เห็นว่าเป็นเงินปากจึงไม่รับ รัฐบาลสมัย นายชวน หลีกภัย ก็มีมติว่าการออกสลากพิเศษ ต้องเป็นหน่วยงานรัฐ เมื่อผมค้านนายกฯก็ถอนเรื่องออกไป หากผมยังอยู่ก็จะค้านอีก”
**อ้างนายกฯให้เป็นรองประธานสภาฯ
ส่วนเรื่องการปรับ ครม.นั้นช่วงมีกระแสข่าวการปรับ ครม.นายกฯ ไม่เคยบอกจนกระทั้งหลังจากนั้นก็โทร.มาว่าจะปรับตน ซึ่งก็ไม่ได้ถามเพราะเชื่อมั่นในดุลพินิจของนายกฯ เมื่อปรับตนออก จึงไม่ต้องมาถามตนต้องไปถามนายกฯว่าปรับตนออกเพื่ออะไร เพราะนายกฯบอกกับตนว่าอยากให้ไปนั่งเป็นรองประธานฯ ซึ่งก็ได้พูดติดตลกกับนายกฯว่า ตนเป็นคนชอบพูดให้คนฟัง แต่ถ้าให้ไปนั่งฟังคนพูดมันไม่ถนัด
“ผมไม่น้อยใจ ไม่โกรธ และไม่คิดว่ามีแก๊งนู้น แก๊งนี้มากดดัน ผมเต็มใจ ที่จะออกและเต็มใจที่จะนั่งปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.เพียงอย่างเดียว”
**คุยสมัครตามให้มาเล่นการเมือง2รอบ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ที่มีกระแสข่าวว่าที่ถูกปรับออกจาก ครม.เพราะภาพพจน์ไม่ดี สังคมไม่เชื่อมั่น คนในพรรคพลังประชาชนไม่ชอบ แต่ที่สังคมไม่รู้คือ ที่ตนกลับมาเล่นการเมืองเพราะนายสมัคร มาพบตนที่บานให้กลับไปเล่นการเมืองถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกตนปฏิเสธโดยบอกว่าไม่มีเงิน แต่นายสมัครบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะสามารถบริหารจัดการได้ ต่อมานายสมัครขับรถมาหาที่บ้านก่อนมีการปราศรัยใหญ่วันที่ 17 พ.ย.2550 ที่สนามหลวง มาให้ตนลงสมัคร ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 ลำดับ 2 ถ้าพรรคได้เป็นรัฐบาลจะมีตำแหน่งรัฐมนตรีให้แน่นอน ตนจึงได้ตอบตกลง
หลังจากนั้นก็ไปปราศรัยหาเสียงกับนายกฯ ตลอด โดยเฉพาะภาคอีสาน ที่ ส.ส. มักจะขอร้องให้ไปช่วยปราศรัย เนื่องจากประชาชนพอใจและมีผู้มาฟังมาก แต่ขณะนี้มี ส.ส.วิพากษ์วิจารณ์ตนว่าภาพพจน์ไม่ดี ดังนั้น ต่อไปนี้ตนจะจำไว้ และทบทวนตัวเอง หากใครมาเชิญ ให้ไปช่วยปราศรัยหรือช่วยงานก็จะพิจารณาดูเงาหัวตัวเอง แต่มีข้อแม้ว่า คนที่จะเชิญตนไปนั้นก็จะต้องมีการแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ว่าตนมีภาพพจน์อย่างไร ดีอย่างไร ถึงจะไปร่วมกิจกรรมนั้น
**รับได้ยินข่าว “เนวิน” อยู่เบื้องหลังปรับครม.
ผู้สื่อข่าวถามว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้มาจากการแนะนำของนายเนวิน ชิดชอบ หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่เขาว่ามา ตนได้ยินมา เพราะทุกสายบอกมาว่านายเนวินมีอิทธิพลในการปรับ ครม. แต่ตนไม่ทราบ ไม่สนิท ไม่เคยถาม และเขาก็ไม่เคยมาบอก ตนจึงคิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะจะหาว่าตีรวน แต่ตนก็มีแหล่งข่าวของตน
“ผมคงไม่ไปถามนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นมารยาท หากถามก็จะกลายเป็นว่านายกรัฐมนตรีเป็นเด็ก ที่ต้องมีคนมีอิทธิพลมาชี้นำ”
**คุยรู้ใครอยู่เบื้องหลังม็อบตีพันธมิตรฯ
ร.ต.อ.เฉลิมยืนยันด้วยว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังการปะทะกันที่ จ.อุดรฯ กับพันธมิตรฯ เข้าใจผิดว่าผมอยู่เบื้องหลัง แต่เขารู้กันทั้งนั้นว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ เพราะมีคนแอบสั่งการ และคนสั่งก็ไม่ใช่ระดับรัฐมนตรี มีแต่พันธมิตรฯ ที่ไม่รู้
ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังม็อบตีกัน เป็นคนเดียวกับคนที่อยู่เบื้องหลังการปรับ ครม.หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า พวกคุณก็รู้นี่ มีคนตั้งข้อสังเกต แต่ตนไม่ตอบ เรื่องนี้มีคนแอบสั่งการ แต่พันธมิตรฯ ไม่เข้าใจ นักเลงกับโจร ไม่เหมือนกัน เพราะนักเลงไม่ใช่โจร และโจรก็ไม่ใช่นักเลง
ผู้สื่อข่าวถามว่านายเนวิน เข้ามายุ่งกับการปรับ ครม.ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่ขอแสดงความคิดเห็น แต่ปัจจุบันเป็นยุคของข่าวสาร ปิดอะไรไม่ได้ คนชั่วไม่มีวันเจริญ เมืองไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ ไม่เชื่อ อย่าลบลู่ จะมาตั้งแก๊งอะไรตนไม่รู้ สุดท้ายก็ต้องถอยหมด คนทำผิดคิดชั่วจะต้องได้รับกรรม คนคิดที่จะเอาสมบัติชาติ สุดท้ายก็ไปไม่รอด ตนไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ เดี๋ยวจะหาว่าเฉลิมแค้น
**ฉะสมัครดิสเครดิต ASTV
นายเทพไท เสนพงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการที่นายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่าพันธมิตรฯคัดค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ต้องการให้แก้ไขมาตรา 63 ถือเป็นความพยายามดิสเครดิตพันธมิตรฯ ทั้งที่ความจริงรัฐบาลอยู่ที่การแก้ไข มาตรา 190 ,237 และ 309 แต่นายกรัฐมนตรีกลับพูดถึง มาตรา 63 ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการชุมนุมโดยเสรีภาพปราศจากอาวุธ
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังพูดถึงยุทธการเป่านกหวีดว่าจะปิดล้อมศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีพูดหลายครั้งหากนายกรัฐมนตรีมีข้อเท็จจริงก็ควรจะดำเนินการเพื่อให้เกิดความชัดเจนในฐานะที่มีหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมืองไม่ใช่ออกมาประโคมข่าว
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีระบุถึงสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอสแดกดันกระทบกระเทียบรัฐบาล ทั้งที่ให้งบประมาณไป 2000 ล้านบาทว่า นายกรัฐมนตรีไม่ควรใช้เงื่อนไขด้านงบประมาณมาเป็นตัวกดดันสื่อสาธารณะ เพราะตามกฎหมายในเรื่องสื่อสาธารณะได้มีการกำหนดหน้าที่ของรัฐในการสนับสนุนงบประมาณไว้อย่างชัดเจน นายกรัฐมนตรีไม่ควรใช้เงิน 2000 ล้านบาท เพื่อให้สื่อ เข้ามาบิดเบือนการทำหน้าที่ของรัฐ เพราะสื่อสาธารณะจะต้องไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของรัฐและต้องเสนอข่าวตามวิชาชีพ
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” วานนี้ (3 ส.ค.)ว่า คนไทยขณะนี้แบ่งแยกเป็น 2 ฝ่าย แม้ศาล จะพิพากษาคดีคนไทยก็ยังแบ่งแยกกัน สาเหตุอย่างไรคงรู้กันอยู่ มีการปลุกระดมกันทั้งวันทั้งคืน จะเอากันให้พังกันไปข้างหนึ่งและยังมีการกำหนดวันว่า อีก 7 วัน รัฐบาลจะลาออก ก็ว่ากันไป
“ที่แบ่งแยกเพราะมีการออกโทรทัศน์ปลุกระดมให้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเข้าใจผิด เรียกคนให้เข้ามาจะโชว์ดาวน์ ผมเคยพูดไว้แล้วว่า มีสำนักอยู่ข้างหลัง คอยให้การสนับสนุน สำนักสงฆ์ที่ยกเลิกไปแล้วและไม่ยอมเลิก ฟังวิทยุกลางคืนเขาถ่ายทอด ตัวยืนตัวหลัก สำนักนี้เขาแผ่ไปทั่วประเทศ เขาสร้างสมมาตั้งแต่คดีความ พ.ศ.2538 -2539 ก็ไม่จบไม่สิ้น ก็ปล่อยไว้ให้เป็นเชื้อ จุดหมายปลายทางก็เกิดอย่างที่ฟาดฟันกันใน จ.อุดรธานี ก็ต้องปะทะกัน ทั้งหมดนี้เขาต้องการยึดศาลากลางทั้งหมดให้ทำงานไม่ได้ จะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็มีคณะนี้ออกมาต่อต้าน”
นายสมัคร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 ส.ค. เขาบอกว่าหากคดีนายกรัฐมนตรีจบค่อยแก้รัฐธรรมนูญ เพราะกลัวจะไปล้มคดี ซึ่งไม่ใช่ การแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ประโยชน์กับพรรคการเมืองที่จะถูกยุบ ในมาตรา 309 ไม่ใช่ แต่ที่พวกนี้ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ที่มาตรา 63 กลัวจะแก้มาตรานี้ เพราะจะทำให้ชุมนุมอย่างปัจจุบันไม่ได้ ทำให้คาราคาซังอยู่ทุกวันนี้ จากนนนี้ย้ายไปถนนนั้น ว่างๆ มีเวลาก็เดินขบวนไปปิดถนนหมด ที่ทำได้เพราะมาตรา 63 กลัวรัฐบาลจะไปแก้ กลัวจะลุกระดมไม่ได้ ขนาดศาลสั่งก็ยังชุมนุมกันที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ นี่ก็จะยึดศาลากลางทั่วประเทศ จึงขอพูดความจริงกันซะตอนนี้
นายสมัครยังได้ตอบคำถามจากทางบ้านที่ว่า ขณะนี้ประเทศไทยวุ่นวายเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ก็พูดแล้วว่า มีการปลุกระดมกันโดยใช้โทรทัศน์ ASTVปลุกระดมให้คนไทยแบ่งค่าย ด่าทอหยาบคายว่ากล่าว บอกรัฐบาลเถื่อนออกไป นี่หรือรัฐบาลเถื่อน ขีดเส้นด้วย 7 วันต้องออกไป เป่านกหวีด คือยึดศาลากลาง ให้ทหารออกมาปฏิวัติ ตนไม่ได้ท้าทายอะไรใคร แต่งานการต่างๆ ที่ทำ เราทำให้บ้านเมืองสงบสุข ใครกันที่เป็นคนปลุกระดม ขนาดคนจะปลุกระดมวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา ตนยังสั่งห้ามเพราะพยายามไม่ให้แบ่งซีก
ผู้ฟังทางบ้านถามว่า คนไทยในสหรัฐอเมริกาก็แบ่งซีกด้วย นายสมัคร กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มันทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงแล้วหรือยัง เขากลัวจะแก้มาตรา 63 พวกนี้เขียนเอาไว้ ก็พวกหน้าแหลมฟันดำนั่นแหละทำจนสำเร็จ แผนการที่จะทำลายล้างประเทศไทยมีอยู่ นำสถาบันพระมหากษัตริย์ไปเหยียบย่ำ คนพวกนี้ต้องระมัดระวัง ปลายทางหวังยึดศาลากลางจังหวัด ให้ทหารออกมา แต่ทหารยังไงก็ไม่ออก
นายสมัคร กล่าวอีกว่า “พูดไปก็เกิดเรื่อง ไม่พูดก็เกิดเรื่อง ไม่ประกาศชัยชนะ ต้องการให้อยู่อย่างสันติ เรามีสถาบันเดียวกัน อยู่ด้วยกัน ให้จบ ไม่เหมือนพวกแว้ดๆ กลางถนน ของผมอยู่ในที่ทำการ ไม่อยู่ริมถนน ก็จะดูว่า เค้าจะอยู่อย่างไร จะดูว่า สื่อสารมวลชนจะสนับสนุนใครแค่ไหน ขอความกรุณาว่า ทุกอย่างพยายามหลบ-หลีก-เลี่ยง-อดทน เค้าต้องการให้เลือดตกยางออก ผมไม่ได้สั่งอะไร เค้าเลือดตก ก็ไปยื่นสหประชาชาติ คนมันยั่วกัน ลองคิดสิ ถ้าไม่ตั้งวงด่าทอ จะมีใครออกมาตีกันหรือไม่ ไม่มีครับ เพราะมันมีเหตุต้องทำให้เกิด”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากจัดรายการ “สทนาประสาสมัคร”นายสมัคร ได้ออกจากห้องส่งอย่างอารมณ์ดี พร้อมกล่าวกับผู้สื่อข่าวที่มารอทำข่าวว่าจะให้สัมภาษณ์เฉพาะเรื่องกาพย์ยานีเท่านั้น แต่สื่อมวลชนพยายามสอบถามถึงเหตุผลการปรับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ออกจากตำแหน่ง รมว.มหาดไทย แต่นายกรัฐมนตรีไม่ให้สัมภาษณ์แต่เดินขึ้นรถออกไปทันที
**จิตเสื่อมด่านักข่าว “เลวทราม ต่ำช้า ทุเรศ”
จากนั้นนายสมัครเดินทางไปตลาด อตก.ท่ามกลางสื่อมวลชน ที่ติดตามไปขอสัมภาษณ์ถึงสถานการณ์หลังปรับ ครม. แต่เมื่อไปถึงไม่พบนายสมัครเดินจ่ายตลาดเหมือนเช่นเคย แต่ทราบจากแม่ค้าว่านายสมัคร เข้าห้องน้ำ ซึ่งเป็นห้องน้ำเก่าๆ เล็กๆ ที่พ่อค้า แม่ค้าใช้กัน จนเวลาผ่านไปประมาณ 30 นาที ประกอบกับรถตู้ของนายกรัฐมนตรี และรถนำขบวนเคลื่อนออกไปจากตลาด ทำให้ผู้สื่อข่าวไม่แน่ใจว่านายสมัครอยู่ในหองน้ำจริงเพราะเป็นห้องน้ำขนาดเล็กและมีอากาศร้อนอบอ้างนายกรัฐมนตรี จะอยู่ได้นานขนาดนั้น แต่เมื่อผู้สื่อข่าวเข้าไปสังเกตการณ์พบว่ามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรียืนเข้าหน้าห้องน้ำอยู่ 2 นาย
จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง รถบีเอ็มดับบลิวสีดำ หมายเลข ศฮ.9206 ซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ขับเข้ามาเปลี่ยนเพื่อรอรับนายกรัฐมนตรี จากนั้น นายสมัครได้ออกจากห้องน้ำด้วยสีหน้าไม่พอใจ โดยจ้องหน้าสื่อทีละช่อง พร้อมกล่าวตำหนิสื่อมวลชนที่ถ่ายภาพและรอทำข่าวอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำว่า
“ผมไม่เคยเห็นใครเลวทรามต่ำช้าได้เท่าไอ้คนพวกนี้ ไม่เคยเห็นอะไรที่ทุเรศเช่นนี้เลย นายกรัฐมนตรีเข้าห้องน้ำ ก็มายืนไม่ให้ออก ไม่รู้สมาคมอบรมกันมายังไง บรรณาธิการเขาอบรมสั่งสอนกันมาแบบนี้หรือ มันทุเรศ น่าอายไหม ผมจะเป็นส่วนตัวไม่ได้เลยหรือ รึจะเปิดประตูเข้าไปถ่ายผมข้างในขณะถ่ายเลย ดูเอาเถอะสถานีโทรทัศน์เมืองไทยมันเป็นยังไง ต้องไปให้หมอดูว่าจะบ้าหรือเปล่า มันผิดปกติมนุษยชน ผมนั่งอยู่ข้างในมันก็สิทธิ์ของผม ผมนั่งเล่นอยู่ข้างในนั้นหละจะทำไม อะไรนายกฯจะเดินตลาด จะเข้าห้องน้ำ ก็ตามถ่ายกันอยู่ได้ จะบ้าหรือเปล่า”นายสมัครกล่าวพร้อมกับถามสื่อมวลชนว่า “พูดกันบ้างซิ ว่ามันทุเรศไหม เอ้าไหนลองพูดกันมาซิ”
จากนั้นนายสมัคร ได้เดินไปบ่นกับแม่ค้าว่า “มันทุเรศไหมสถานีโทรทัศน์เมืองไทย ผมนั่งกระดิกเท้าอยู่ข้างในนั้นแหละ ดูซิว่าจะตามเข้าไปถ่ายกันถึงข้างในไหม”
จากนั้น ได้ย้อนกลับมาด่าสื่ออีก โดยตามต้อนสื่อทีละช่องว่า “อ้าวเจ้าของสถานี บรรณาธิการลองดูซิว่ามันน่าอายไหม ทีผมพูดปาฐกถาเรื่อง ภาษาไทย 2 ชั่วโมง กลับไม่ออกอากาศ ทีนายกรัฐมนตรีเข้าห้องน้ำตามมาถ่ายกัน หน้าด้านไหมแบบนี้” ท่ามกลางพ่อค้า แม่ค้า ตลอดจนประชาชนมายื่นมุ่งดู โดยบางคนเห็นว่าสื่อละเมิดสิทธิ ขณะที่บางคนกล่าวกับนายสมัครว่า เป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนที่จะต้องติดตามทำข่าวบุคคลสาธารณะจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทางออกจากตลาดทันทีโดยไม่ได้จ่ายตลาดแต่อย่างใด
**เฉลิมแฉแหลกเหตุถูกปรับออก
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีต รมว.มหาดไทย กล่าวเปิดใจหลังถูกปรับออกจาก ครม.ว่า ขอแสดงความยินดีกับรัฐมนตรีใหม่ทุกคน และขอให้นายกฯและรัฐบาลประสบความสำเร็จในการบริหารบ้านเมือง ส่วนที่ว่าตนไม่โยกย้ายข้าราชการ ตามความต้องการของใครบางคนนั้น ข้อเท็จจริงคือการโยกย้ายต้องเป็นไปตาม กฎเกณฑ์ข้าราชการจึงไม่ทราบว่า ไม่เป็นไปตามความต้องการของใครหรือไม่ เช่นเดียวกับการที่ไม่ยอมย้ายปลัดกระทรวงมหาดไทย และ อธิบดีอีก 5 คน ซึ่งคงไม่สามารถสนองตอบได้ เพราะต้องให้โอกาสคนเหล่านี้และก็ไม่ทราบว่ามีใครบ้างที่ไม่พอใจ
“มีคนมาขอร้องผมให้โยกย้ายผู้ว่าฯคนนั้นคนนี้ แต่ผมไม่ตอบสนอง เพราะผมมีคุณธรรม ยึดหลักกฎหมาย อาจทำให้คนไม่พอใจ เกลียดหรือไม่ผมไม่รู้”
สำหรับเรื่องขอให้เปลี่ยนงบกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งมีงบมาก โดยมีคนบางคนอยากให้เปลี่ยนแปลงงบในการกระจายลงไปในพื้นที่ 70-80 % มาเป็นงบอื่นแต่ตนทำให้ไม่ได้ เพราะเป็นงบที่สำคัญต่อประชาชน หากยกเลิกถือเป็นการปล้นความรู้สึกประชาชน จึงอาจทำให้ใครไม่พอใจ
**ขวางออกหวยพิเศษผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ยังมีปัญหาตนไปคัดค้านการออกสลากพิเศษใน ครม. 7 ข้อ จนทำให้คนบางกลุ่มไม่พอใจ เพราะตนเป็นนักกฎหมายหากทำอะไรผิดแล้วจะติดคุกในอนาคตตนไม่ทำ
“มีมูลนิธิแห่งหนึ่งไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ขอออกสลากพิเศษ 40 งวด งวดละ 300 ล้าน เป็นเงินทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท โดยมูลนิธิจะได้เงิน 9 % หรือ พันกว่าล้านบาท โดยอ้างว่าจะนำไปช่วยเหลือประชาชน 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่คนในพื้นที่เห็นว่าเป็นเงินปากจึงไม่รับ รัฐบาลสมัย นายชวน หลีกภัย ก็มีมติว่าการออกสลากพิเศษ ต้องเป็นหน่วยงานรัฐ เมื่อผมค้านนายกฯก็ถอนเรื่องออกไป หากผมยังอยู่ก็จะค้านอีก”
**อ้างนายกฯให้เป็นรองประธานสภาฯ
ส่วนเรื่องการปรับ ครม.นั้นช่วงมีกระแสข่าวการปรับ ครม.นายกฯ ไม่เคยบอกจนกระทั้งหลังจากนั้นก็โทร.มาว่าจะปรับตน ซึ่งก็ไม่ได้ถามเพราะเชื่อมั่นในดุลพินิจของนายกฯ เมื่อปรับตนออก จึงไม่ต้องมาถามตนต้องไปถามนายกฯว่าปรับตนออกเพื่ออะไร เพราะนายกฯบอกกับตนว่าอยากให้ไปนั่งเป็นรองประธานฯ ซึ่งก็ได้พูดติดตลกกับนายกฯว่า ตนเป็นคนชอบพูดให้คนฟัง แต่ถ้าให้ไปนั่งฟังคนพูดมันไม่ถนัด
“ผมไม่น้อยใจ ไม่โกรธ และไม่คิดว่ามีแก๊งนู้น แก๊งนี้มากดดัน ผมเต็มใจ ที่จะออกและเต็มใจที่จะนั่งปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.เพียงอย่างเดียว”
**คุยสมัครตามให้มาเล่นการเมือง2รอบ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ที่มีกระแสข่าวว่าที่ถูกปรับออกจาก ครม.เพราะภาพพจน์ไม่ดี สังคมไม่เชื่อมั่น คนในพรรคพลังประชาชนไม่ชอบ แต่ที่สังคมไม่รู้คือ ที่ตนกลับมาเล่นการเมืองเพราะนายสมัคร มาพบตนที่บานให้กลับไปเล่นการเมืองถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกตนปฏิเสธโดยบอกว่าไม่มีเงิน แต่นายสมัครบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะสามารถบริหารจัดการได้ ต่อมานายสมัครขับรถมาหาที่บ้านก่อนมีการปราศรัยใหญ่วันที่ 17 พ.ย.2550 ที่สนามหลวง มาให้ตนลงสมัคร ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 ลำดับ 2 ถ้าพรรคได้เป็นรัฐบาลจะมีตำแหน่งรัฐมนตรีให้แน่นอน ตนจึงได้ตอบตกลง
หลังจากนั้นก็ไปปราศรัยหาเสียงกับนายกฯ ตลอด โดยเฉพาะภาคอีสาน ที่ ส.ส. มักจะขอร้องให้ไปช่วยปราศรัย เนื่องจากประชาชนพอใจและมีผู้มาฟังมาก แต่ขณะนี้มี ส.ส.วิพากษ์วิจารณ์ตนว่าภาพพจน์ไม่ดี ดังนั้น ต่อไปนี้ตนจะจำไว้ และทบทวนตัวเอง หากใครมาเชิญ ให้ไปช่วยปราศรัยหรือช่วยงานก็จะพิจารณาดูเงาหัวตัวเอง แต่มีข้อแม้ว่า คนที่จะเชิญตนไปนั้นก็จะต้องมีการแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ว่าตนมีภาพพจน์อย่างไร ดีอย่างไร ถึงจะไปร่วมกิจกรรมนั้น
**รับได้ยินข่าว “เนวิน” อยู่เบื้องหลังปรับครม.
ผู้สื่อข่าวถามว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้มาจากการแนะนำของนายเนวิน ชิดชอบ หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่เขาว่ามา ตนได้ยินมา เพราะทุกสายบอกมาว่านายเนวินมีอิทธิพลในการปรับ ครม. แต่ตนไม่ทราบ ไม่สนิท ไม่เคยถาม และเขาก็ไม่เคยมาบอก ตนจึงคิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะจะหาว่าตีรวน แต่ตนก็มีแหล่งข่าวของตน
“ผมคงไม่ไปถามนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นมารยาท หากถามก็จะกลายเป็นว่านายกรัฐมนตรีเป็นเด็ก ที่ต้องมีคนมีอิทธิพลมาชี้นำ”
**คุยรู้ใครอยู่เบื้องหลังม็อบตีพันธมิตรฯ
ร.ต.อ.เฉลิมยืนยันด้วยว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังการปะทะกันที่ จ.อุดรฯ กับพันธมิตรฯ เข้าใจผิดว่าผมอยู่เบื้องหลัง แต่เขารู้กันทั้งนั้นว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ เพราะมีคนแอบสั่งการ และคนสั่งก็ไม่ใช่ระดับรัฐมนตรี มีแต่พันธมิตรฯ ที่ไม่รู้
ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังม็อบตีกัน เป็นคนเดียวกับคนที่อยู่เบื้องหลังการปรับ ครม.หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า พวกคุณก็รู้นี่ มีคนตั้งข้อสังเกต แต่ตนไม่ตอบ เรื่องนี้มีคนแอบสั่งการ แต่พันธมิตรฯ ไม่เข้าใจ นักเลงกับโจร ไม่เหมือนกัน เพราะนักเลงไม่ใช่โจร และโจรก็ไม่ใช่นักเลง
ผู้สื่อข่าวถามว่านายเนวิน เข้ามายุ่งกับการปรับ ครม.ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่ขอแสดงความคิดเห็น แต่ปัจจุบันเป็นยุคของข่าวสาร ปิดอะไรไม่ได้ คนชั่วไม่มีวันเจริญ เมืองไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ ไม่เชื่อ อย่าลบลู่ จะมาตั้งแก๊งอะไรตนไม่รู้ สุดท้ายก็ต้องถอยหมด คนทำผิดคิดชั่วจะต้องได้รับกรรม คนคิดที่จะเอาสมบัติชาติ สุดท้ายก็ไปไม่รอด ตนไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ เดี๋ยวจะหาว่าเฉลิมแค้น
**ฉะสมัครดิสเครดิต ASTV
นายเทพไท เสนพงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการที่นายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่าพันธมิตรฯคัดค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ต้องการให้แก้ไขมาตรา 63 ถือเป็นความพยายามดิสเครดิตพันธมิตรฯ ทั้งที่ความจริงรัฐบาลอยู่ที่การแก้ไข มาตรา 190 ,237 และ 309 แต่นายกรัฐมนตรีกลับพูดถึง มาตรา 63 ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการชุมนุมโดยเสรีภาพปราศจากอาวุธ
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังพูดถึงยุทธการเป่านกหวีดว่าจะปิดล้อมศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีพูดหลายครั้งหากนายกรัฐมนตรีมีข้อเท็จจริงก็ควรจะดำเนินการเพื่อให้เกิดความชัดเจนในฐานะที่มีหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมืองไม่ใช่ออกมาประโคมข่าว
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีระบุถึงสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอสแดกดันกระทบกระเทียบรัฐบาล ทั้งที่ให้งบประมาณไป 2000 ล้านบาทว่า นายกรัฐมนตรีไม่ควรใช้เงื่อนไขด้านงบประมาณมาเป็นตัวกดดันสื่อสาธารณะ เพราะตามกฎหมายในเรื่องสื่อสาธารณะได้มีการกำหนดหน้าที่ของรัฐในการสนับสนุนงบประมาณไว้อย่างชัดเจน นายกรัฐมนตรีไม่ควรใช้เงิน 2000 ล้านบาท เพื่อให้สื่อ เข้ามาบิดเบือนการทำหน้าที่ของรัฐ เพราะสื่อสาธารณะจะต้องไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของรัฐและต้องเสนอข่าวตามวิชาชีพ