รอยเตอร์/เอเอฟพี – ราคาน้ำมันในตลาดโลกเมื่อวานนี้(31) ร่วงลงแรงอีก เนื่องจากตัวเลขที่แสดงอาการไม่ดีของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายหลังที่ได้ดีดขึ้นมามากกว่า 4 ดอลลาร์สหรัฐฯในวันพุธ(30) จากรายงานปริมาณน้ำมันตามคลังเก็บทั่วอเมริกาได้ลดลงอย่างน่าประหลาดใจ
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ เพื่อการส่งมอบเดือนกันยายน เมื่อเวลา 14.08 น.จีเอ็มทีวานนี้ (ตรงกับ 21.08 น.เวลาเมืองไทย) ได้ถอยลงมา 2.32 ดอลลาร์ อยู่ที่ 124.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่พุ่งขึ้น 4.58 ดอลลาร์ไปยืนที่ 126.77 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เมื่อปิดการค้าบนฟลอร์ในตลาดไนเม็กซ์วันพุธ
ราคาของน้ำมันดิบเบรนท์ในทะเลเหนือส่งมอบเดือนกันยายน เวลา 14.08 น.จีเอ็มทีวานนี้ ก็ลดลง 2.95 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 124.15 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้น 4.39 ดอลลาร์เมื่อวันก่อนหน้า
ตัวเลขจำนวนผู้ยื่นขอรับเงินทดแทนการว่างงานประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่ประกาศวานนี้ ซึ่งย่ำแย่กว่าที่ตลาดคาดหมาย ได้ส่งผลทำให้เงินดอลลาร์อ่อนตัวลง จึงทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ แต่แล้วตลาดก็กลับวิตกในแง่ที่ว่า การว่างงานที่เพิ่มขึ้นคือการสะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
ทางด้าน นิมิต คามาร์ นักวิเคราะห์แห่งบริษัทโบรกเกอร์ ซัคเดน ในลอนดอน ให้ความเห็นวานนี้ว่า “กระแสการเคลื่อนที่น่าของราคาน้ำมันจะอยู่ขาลงต่อไป แม้ว่าเมื่อวานนี้(พุธ)จะเป็นครั้งแรกในรอบมากกว่าสองสัปดาห์ ที่ราคาปิดตลาดเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาของวันก่อนหน้า”
อย่างไรก็ตาม ชูกรี กาเนม รัฐมนตรีน้ำมันของลิเบีย ทำนายวานนี้เช่นกันว่า ราคาน้ำมันจะต้องดีดตัวขึ้นอีก
ลิเบียนั้นเป็นสมาชิกขององค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) อันเป็นองค์กรที่ควบคุมการส่งออกน้ำมันถึง 40% ของปริมาณน้ำมันทั้งโลก
“การร่วงลงรุนแรงเป็นเพราะว่าราคาปัจจุบันนั้นอยู่ในระดับสูงมาก เมื่อราคาขึ้นไปยืนอยู่ที่ 130-140 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาย่อมจะลดลงมาอย่างรุนแรง” เขากล่าวและยังได้บอกอีกว่าโอเปกติดตามพัฒนาของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด แต่ก็คิดว่าราคาจะต้องดีดตัวอีกขึ้นแน่นอน” กาเนมกล่าวภายหลังจากที่น้ำมันพุ่งขึ้นไปแล้วราว 4.5 ดอลลาร์หนึ่งบาร์เรล เมื่อวันพุธในตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก
กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯออกมาแถลงในวันนั้นว่า ปริมาณน้ำมันเบนซินตามคลังเก็บทั่วสหรัฐฯประจำสัปดาห์ล่าสุด ได้ลดลงราว 3.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งทำให้บรรดผู้ค้าตราสารแปลกใจเนื่องจากคาดไว้ว่าปริมาณจะเพิ่มขึ้นราว 400,000 บาร์เรล
เดวิด มัวร์ นักวิเคราะห์ของ คอมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลียในซิดนีย์กล่าวว่ารายงานของกระทรวงพลังงานเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเมื่อวันพุธ นอกจากนี้ปริมาณน้ำมันดิบตามคลังเก็บก็ยังลดลง 100,000 บาร์เรลด้วย นับเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สอง ในขณะที่บรรดานักวิเคราะห์ต่างพากันคาดว่าน้ำมันดิบจะลดลงมากถึง 1.25 ล้านบาร์เรล
“ในความคิดของเรา รายงานที่ออกมาแสดงข้อมูลหลายทิศทาง แต่นักลงทุนก็ตัดสินใจที่จะเทเม็ดเงินกลับเข้าไปในตลาดอีกครั้งกับข้อมูลที่ว่าน้ำมันเบนซินลดลง3.5 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันลดลง 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว นับตั้งแต่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เหนือ 147 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา
บรรดาผู้ค้าน้ำมันเชื่อว่าราคาที่ลดลงมาจากความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกลดลง
“เป็นที่ชัดเจนว่าการบริโภคกำลังชะลอตัวลง เพราะเงื่อนไขทางเศรษฐกิจต่าง ๆกำลังอ่อนแอลงต่อเนื่อง” อังตวน ฮาล์ฟ นักวิเคราะห์จากนิวเอดจ์ กรุ๊ปกล่าว
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ เพื่อการส่งมอบเดือนกันยายน เมื่อเวลา 14.08 น.จีเอ็มทีวานนี้ (ตรงกับ 21.08 น.เวลาเมืองไทย) ได้ถอยลงมา 2.32 ดอลลาร์ อยู่ที่ 124.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่พุ่งขึ้น 4.58 ดอลลาร์ไปยืนที่ 126.77 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เมื่อปิดการค้าบนฟลอร์ในตลาดไนเม็กซ์วันพุธ
ราคาของน้ำมันดิบเบรนท์ในทะเลเหนือส่งมอบเดือนกันยายน เวลา 14.08 น.จีเอ็มทีวานนี้ ก็ลดลง 2.95 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 124.15 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้น 4.39 ดอลลาร์เมื่อวันก่อนหน้า
ตัวเลขจำนวนผู้ยื่นขอรับเงินทดแทนการว่างงานประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่ประกาศวานนี้ ซึ่งย่ำแย่กว่าที่ตลาดคาดหมาย ได้ส่งผลทำให้เงินดอลลาร์อ่อนตัวลง จึงทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ แต่แล้วตลาดก็กลับวิตกในแง่ที่ว่า การว่างงานที่เพิ่มขึ้นคือการสะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
ทางด้าน นิมิต คามาร์ นักวิเคราะห์แห่งบริษัทโบรกเกอร์ ซัคเดน ในลอนดอน ให้ความเห็นวานนี้ว่า “กระแสการเคลื่อนที่น่าของราคาน้ำมันจะอยู่ขาลงต่อไป แม้ว่าเมื่อวานนี้(พุธ)จะเป็นครั้งแรกในรอบมากกว่าสองสัปดาห์ ที่ราคาปิดตลาดเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาของวันก่อนหน้า”
อย่างไรก็ตาม ชูกรี กาเนม รัฐมนตรีน้ำมันของลิเบีย ทำนายวานนี้เช่นกันว่า ราคาน้ำมันจะต้องดีดตัวขึ้นอีก
ลิเบียนั้นเป็นสมาชิกขององค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) อันเป็นองค์กรที่ควบคุมการส่งออกน้ำมันถึง 40% ของปริมาณน้ำมันทั้งโลก
“การร่วงลงรุนแรงเป็นเพราะว่าราคาปัจจุบันนั้นอยู่ในระดับสูงมาก เมื่อราคาขึ้นไปยืนอยู่ที่ 130-140 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาย่อมจะลดลงมาอย่างรุนแรง” เขากล่าวและยังได้บอกอีกว่าโอเปกติดตามพัฒนาของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด แต่ก็คิดว่าราคาจะต้องดีดตัวอีกขึ้นแน่นอน” กาเนมกล่าวภายหลังจากที่น้ำมันพุ่งขึ้นไปแล้วราว 4.5 ดอลลาร์หนึ่งบาร์เรล เมื่อวันพุธในตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก
กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯออกมาแถลงในวันนั้นว่า ปริมาณน้ำมันเบนซินตามคลังเก็บทั่วสหรัฐฯประจำสัปดาห์ล่าสุด ได้ลดลงราว 3.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งทำให้บรรดผู้ค้าตราสารแปลกใจเนื่องจากคาดไว้ว่าปริมาณจะเพิ่มขึ้นราว 400,000 บาร์เรล
เดวิด มัวร์ นักวิเคราะห์ของ คอมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลียในซิดนีย์กล่าวว่ารายงานของกระทรวงพลังงานเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเมื่อวันพุธ นอกจากนี้ปริมาณน้ำมันดิบตามคลังเก็บก็ยังลดลง 100,000 บาร์เรลด้วย นับเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สอง ในขณะที่บรรดานักวิเคราะห์ต่างพากันคาดว่าน้ำมันดิบจะลดลงมากถึง 1.25 ล้านบาร์เรล
“ในความคิดของเรา รายงานที่ออกมาแสดงข้อมูลหลายทิศทาง แต่นักลงทุนก็ตัดสินใจที่จะเทเม็ดเงินกลับเข้าไปในตลาดอีกครั้งกับข้อมูลที่ว่าน้ำมันเบนซินลดลง3.5 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันลดลง 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว นับตั้งแต่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เหนือ 147 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา
บรรดาผู้ค้าน้ำมันเชื่อว่าราคาที่ลดลงมาจากความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกลดลง
“เป็นที่ชัดเจนว่าการบริโภคกำลังชะลอตัวลง เพราะเงื่อนไขทางเศรษฐกิจต่าง ๆกำลังอ่อนแอลงต่อเนื่อง” อังตวน ฮาล์ฟ นักวิเคราะห์จากนิวเอดจ์ กรุ๊ปกล่าว