xs
xsm
sm
md
lg

ต้องหยุดโครงการผลาญอีสานถึงกรุงเทพฯ!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ในขณะที่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตอันหนักหน่วงในทุกด้าน และกำลังนำพาสถานการณ์บ้านเมืองไปสู่สงครามกลางเมืองที่สุดวิปโยค แทนที่จะตั้งหน้าแก้ไขปัญหาชาติ กลับทุ่มเทและทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และโกงบ้านกินเมืองอย่างหน้าด้านหน้าทนต่อไป

ฝ่ายรัฐบาลได้แถลงว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเริ่มขึ้นในกลางเดือนสิงหาคม ศกนี้ และการแก้ไขครั้งนี้ก็จะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าการเตรียมการแก้ไขครั้งที่แล้วมากมายนัก

ตรงจุดนี้จึงน่าจะเป็นจุดแตกหักของสถานการณ์ในบ้านเมืองที่รัฐบาลหุ่นเชิดจะต้องทำการทุกอย่างเพื่อให้เกิดความสำเร็จดังประสงค์ แม้กระทั่งการระดมผู้คนเข้ามาฆ่าฟันคนไทยด้วยกันเองก็ตาม

ดังนั้นผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ทุกหมู่เหล่าจึงต้องจับตาดูสถานการณ์นี้ให้ใกล้ชิดเพื่อหยุดยั้งความวิปโยคและความพินาศของราชอาณาจักรไทยเอาไว้ให้ทันท่วงที


ความคิดที่กลัวความสูญเสียแล้วจำนนให้โจรครองเมืองเป็นความคิดที่ผิดและไม่มีทางที่พวกเขาจะกลับใจได้ จำถึงคราวต้องปฏิบัติตามพระพุทธภาษิตที่ว่า สละทรัพย์สินเพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม

ก่อนที่ราชอาณาจักรนี้และอาณาประชาราษฎรในแผ่นดินนี้จะถูกเหล่าอสูรกายทำลายล้างจนสิ้นสูญ

นั่นเป็นด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติก็ยังคงเดินหน้าปล้นชาติปล้นประชาชนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ดังข้อเท็จจริงที่ถูกนำมาตีแผ่เป็นระยะ ๆ

ยังมีโครงการสำคัญอีกโครงการหนึ่งซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดต่อคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศตั้งแต่ภาคอีสานลงมา ถึงภาคกลางและกรุงเทพมหานคร หากหยุดยั้งโครงการนี้ไว้ไม่ได้ ความพินาศฉิบหายวายวอดก็จะเกิดแก่คนอีสาน คนภาคกลาง และคนกรุงเทพฯ จนสุดที่จะคณานับไปตลอดกาล

นั่นคือโครงการผันน้ำจากเขื่อนน้ำงึมของประเทศลาว ผ่านอุโมงค์ซึ่งจะทำลอดใต้แม่น้ำโขงเข้ามายังภาคอีสานของประเทศไทย ด้วยงบประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของเกษตรกร

มันเป็นโครงการโกหกหลอกลวงเพียงเพื่อจะฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดิน แต่มีผลแท้จริงคือการล้างผลาญคนอีสาน คนภาคกลางและคนกรุงเทพฯ จนยับเยินไปตลอดกาลนาน ดังที่จะสรุปประเด็นสำคัญ ๆ ต่อไปนี้

ประเด็นแรก ประเทศไทยไม่ได้ขาดน้ำหรือมีน้ำธรรมชาติไม่พอเพียงแต่ประการใดเลย ปริมาณน้ำในปัจจุบันนี้ไม่ต่างกับปริมาณน้ำเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ดังนั้นเมื่อเข้าเทศกาลหน้าฝนของแต่ละปีจึงมีน้ำท่วมขนาดใหญ่ตั้งแต่ภาคอีสานท่วมท้นลงมายังภาคกลางและท่วมกรุงเทพมหานคร

ปริมาณน้ำท่วมเพิ่มมากขึ้น คือท่วมหลายพื้นที่มากขึ้น น้ำท่วมสูงขึ้น และท่วมนานขึ้น
นี่แสดงให้เห็นว่าปริมาณน้ำไม่ได้น้อยลง และไม่ได้ขาดแคลน น้ำที่ท่วมนั้นเมื่อไหลบ่าเข้าท่วมกรุงเทพฯ แล้วก็ไหลออกสู่ทะเลไปขับไล่น้ำเค็ม มีปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ได้ไม่ถึง 20% ของปริมาณน้ำทั้งหมด

ดังนั้นเมื่อปริมาณน้ำของประเทศไทยมีมากพออยู่แล้วและมิได้ขาดแคลนเช่นนี้ จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องผันน้ำจากประเทศลาวเข้ามาแต่ประการใด

ประเด็นที่สอง เมื่อปริมาณน้ำมากและมิได้ขาดแคลน แล้วเหตุไฉนเล่าประเทศไทยจึงขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง? และเกิดภัยแล้งรุนแรงทุกปี

ในประเด็นนี้จะต้องไม่แยกพิจารณาปัญหาน้ำท่วมและปัญหาภัยแล้งออกเป็นสองส่วนเพราะเป็นปัญหาเดียวกัน นั่นคือการไม่กักเก็บน้ำและมีแหล่งเก็บน้ำธรรมชาติไม่พอ ที่มีอยู่ก็ตื้นเขิน

ดังนั้นเมื่อถึงเทศกาลหน้าฝน แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ 25 แหล่งน้ำและสายน้ำใหญ่ 1,200 สาย ตื้นเขิน หรือถูกถมทับไปแล้ว จึงไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ดังแต่ก่อน น้ำส่วนใหญ่จึงไหลล้นบ่าท่วมภาคอีสาน บ่าลงมาท่วมภาคกลางและกรุงเทพฯ แล้วไปออกทะเลโดยไร้ค่า

เพราะเหตุที่ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ พอสิ้นเทศกาลหน้าฝนน้ำก็แห้งขอดทุกแหล่งน้ำและสายน้ำ จึงเกิดเป็นภัยแล้งขึ้น

เมื่อเป็นดังนี้ก็จะเห็นต้นเหตุว่าเกิดจากแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่และสายน้ำขนาดใหญ่ทั้งหมดตื้นเขินหรือถูกถมจนไม่สามารถกักเก็บน้ำเอาไว้ได้ในหน้าฝน น้ำเกือบทั้งหมดจึงไหลบ่าท่วมภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพฯ ครั้นพ้นเทศกาลฝนก็ขาดน้ำทันที จึงเกิดเป็นภัยแล้งขึ้น

ในสมัยรัชกาลที่ 5 แหล่งน้ำทั้งหลายลึกกว่าปัจจุบันนับสิบเท่า และไม่มีความตื้นเขิน ไม่ได้ถูกถม มีแต่การขุดเพิ่มเติมตามพระบรมราโชบายของพระองค์ท่าน ทำให้ปริมาณน้ำในธรรมชาติเทียบกับจำนวนประชากรต่อคนต่อปีมีถึง 24,000 คิวบิกเมตร พูดง่ายๆ ก็คือคนไทยแต่ละคนในยุคนั้นมีน้ำใช้ถึง 24,000 คิวบิกเมตรต่อปี แต่ขณะนี้เพราะความตื้นเขินและถูกถมไป ทั้งไม่ได้ขุดเพิ่มจึงลดลงมาเหลือเพียงไม่เกิน 30 คิวบิกเมตรต่อคนต่อปีเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อต้นตอของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความขาดแคลนน้ำหรือปริมาณน้ำไม่พอเพียง หากยังมีน้ำมากจนไหลบ่าท่วมทั้งภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพฯ เช่นนี้ หากยังทำโครงการผันน้ำจากเขื่อนน้ำงึมของลาวเข้ามาเพิ่มเติมอีก ก็ลองนึกกันดูเถิด

ภาคอีสานก็จะมีน้ำท่วมมากขึ้น แล้วน้ำนั้นก็จะไหลมาท่วมภาคกลางมากขึ้น แล้วท่วมกรุงเทพฯ มากขึ้น โครงการผันน้ำจากลาวดังกล่าวจึงไม่ได้ช่วยประเทศไทยและเกษตรกรไทย แต่จะทำลายประชาชนไทยทั้งภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพฯ จนยับเยิน

ดังนั้นหากไม่อยากให้บ้านเมืองและพี่น้องประชาชนในภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพฯ ต้องถูกน้ำท่วมมากกว่าที่เป็นมา ก็ต้องช่วยกันขัดขวางโครงการนี้ไม่ให้เกิดขึ้น และหนทางหนึ่งก็คือการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพราะโครงการนี้มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศทั้งสามภาค ซึ่งต้องทำประชาพิจารณ์ตามรัฐธรรมนูญก่อน แต่รัฐบาลหุ่นเชิดก็ละเมิดไม่ยอมทำประชาพิจารณ์

ประเด็นที่สาม แล้วทำไมจึงต้องทำโครงการผันน้ำจากลาวผ่านอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำโขงเข้ามายังภาคอีสานเล่า?

ก็ต้องตอบว่ารัฐบาลหุ่นเชิดขายชาตินี้เป็นรัฐบาลโจรปล้นชาติด้วย วัตถุประสงค์จึงเป็นไปเพื่อการฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดินโดยไม่ได้คำนึงว่าประเทศชาติและประชาชนจะได้รับผลประการใดและจะฉิบหายวายวอดขนาดไหน

ดังนั้นโครงการผันน้ำจากลาวเข้าภาคอีสานจึงถูกตั้งเป็นเมกะโปรเจกต์หรืออภิโครงการในรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาตินี้ โดยตั้งงบประมาณของโครงการเป็นเงินประมาณ 100,000 ล้านบาท แล้วลองนึกกันดูว่าอัตรามาตรฐานของเงินใต้โต๊ะที่อยู่ในระดับ 30-40% จะเป็นเงินมากมายมหาศาลถึง 30,000-40,000 ล้านบาท

จากทั้งสามประเด็นดังได้แสดงมานี้ก็พอจะเห็นได้ว่าโครงการนี้จะนำความพินาศฉิบหายให้กับประเทศไทยและคนไทยในภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพฯ อย่างร้ายแรงที่สุด เพราะอุทกภัยนั้นเป็นภัยที่ป้องกันได้ยาก ทำความเสียหายได้มาก แม้ปัจจุบันนี้ยังมิได้ผันน้ำจากลาวก็เดือดร้อนด้วยอุทกภัยกันทุกปี และมีความเสียหายปีละหลายแสนล้านบาทอยู่แล้ว หากผันน้ำจากลาวเข้ามาอีก ความเสียหายจะรุนแรงหลายเท่าทวีนัก

ในประการสุดท้าย ทำไมจึงต้องเกิดเป็นโครงการนี้ขึ้นเล่า? ก็เพราะว่ามันมีผลประโยชน์โยงใยที่น่าสนใจจับตาอย่างยิ่ง

ก็ต้องบอกว่าฝรั่งเศสซึ่งจะมาเกี่ยวข้องกับดินแดนเขาพระวิหาร ได้เป็นผู้วางโครงการพลังงานน้ำให้กับลาวทั้งประเทศ และวางแผนว่าใน 5 ปีจากนี้ประชาชนลาวจะมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวมากกว่าประเทศไทย และหนึ่งในนั้นก็คือโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังน้ำที่เขื่อนน้ำงึม

โครงการนี้คนที่ได้รับสัมปทานไปก็คือบริษัทของที่ปรึกษาอดีตนายกรัฐมนตรีไทยประจำประเทศจีน ผู้มีนามเหยียนปิงนั่นเอง

เพราะมีน้ำทิ้งลงแม่น้ำโขงเป็นจำนวนมหาศาล คนหัวใสกลุ่มนี้จึงคิดแปรน้ำทิ้งเป็นเงิน เรียกว่าผันน้ำเป็นเงิน จนเกิดเป็นโครงการปล้นชาติขนาดใหญ่นี้ขึ้น

คงจำกันได้ว่าเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ คณะรัฐมนตรีหุ่นเชิดขายชาติได้มีมติให้บริษัทของนายเหยียนปิงเข้ามาาทำการศึกษาโครงการผันน้ำจากเขื่อนน้ำงึมเข้าสู่ภาคอีสาน เป็นโครงการที่เร่งรีบ ล็อกสเป็ก และเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องโดยแท้

และเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีหุ่นเชิดขายชาติก็ได้มีมติเห็นชอบงบประมาณ 17,000 ล้านบาท ให้พัฒนาแหล่งน้ำในภาคอีสานเพื่อจะรองรับกับโครงการผันน้ำดังกล่าว ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าบริษัทในกลุ่มที่กล่าวมานี้ แต่อาจจะใช้ชื่อหรือมอมินีแทนจะเป็นผู้ได้โครงการไป

เมื่อขั้นตอนอนุมัติการศึกษา อนุมัติการฟื้นฟูแหล่งน้ำภาคอีสานเพื่อรองรับกับโครงการผันน้ำดังกล่าวแล้ว จังหวะก้าวต่อไปก็คือการอนุมัติงบประมาณอีกประมาณ 80,000-90,000 ล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการผันน้ำดังกล่าว โดยพวกเจ้าเก่านั่นแหละที่จะได้รับโครงการไป

งบประมาณประมาณ 100,000 ล้านบาทจากภาษีของประชาชนจะถูกจัดสรรเป็นเงินใต้โต๊ะ 30,000-40,000 ล้านบาท โดยกลุ่มคนที่จ้องปล้นชาติได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ

แต่อนิจจาผลของโครงการที่ว่านี้จะไม่ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำให้กับเกษตรกรหรือประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย เพราะมันคือโครงการล้างผลาญภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพฯ ด้วยมหาอุทกภัยที่ผันเพิ่มเข้ามาจากประเทศลาวเข้าสู่ภาคอีสานนี่เอง

ดังนั้นสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินก็ดี ป.ป.ช. ก็ดี ผู้รักชาติ รักประชาธิปไตยทั้งปวงก็ดี ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาก็ดี และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบทั้งภาคกลาง ภาคอีสาน และกรุงเทพฯ ก็ดี จึงต้องร่วมจิตร่วมใจกันหยุดโครงการผลาญชาตินี้ให้จงได้!
กำลังโหลดความคิดเห็น