xs
xsm
sm
md
lg

พุทธศาสนากับการเมืองสามานย์

เผยแพร่:   โดย: ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ทั้งอาสาฬหบูชา และเข้าพรรษา

แต่น่าสังเกตว่า ช่วงที่ผ่านมา มีการนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนาบางประการ มาบิดเบือนเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ทางการเมืองของตน เช่น การอ้างว่า แก้รัฐธรรมนูญเป็นการดับทุกข์ ตามหลักอริยะสัจสี่ (ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค) หรือการอ้าง “ความเป็นกลาง” เพื่อกำราบ มิให้ประชาชน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ออกมาแสดงจุดยืนหรือแสดงออกทางการเมือง และแม้แต่การอ้าง “ประชาธิปไตย” อ้างตนว่ามาจากการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนของเสียงข้างมาก จึงเป็นประชาธิปไตย จะใช้อำนาจอย่างไรก็ต้องยอมรับ ฯลฯ

กรณีแรก นายสมัคร อ้างว่า จะดับทุกข์ที่พรรคของตนกำลังจะถูกยุบ ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ ต้นเหตุอยู่ที่กรรมการบริหารพรรคของตนไปโกงเลือกตั้ง ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองนั้น แบบนี้ ไม่ต้องเป็นพระก็รู้ทันว่า เป็นการบิดเบือนหลักอริยะสัจสี่อย่างไม่กลัวบาปกรรม

การนำหลักอริยสัจ 4 มาสาธยาย แล้วสรุปมั่วๆ ว่ารัฐธรรมนูญเป็นปัญหา ต้องแก้รัฐธรรมนูญ เป็นมิจฉาทิฐิ คือ การเห็นผิดไปจากครรลองคลองธรรม มิใช่สัมมาทิฐิตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

แทนที่จะแก้ที่ต้นเหตุ คือ การโกงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคตนเอง โดยรับกรรมไปตามกฎหมายบ้านเมือง กลับจะไปแก้กฎหมาย แก้หลักการที่กำหนดไว้เพื่อเอาผิดกับคนโกงและพรรคการเมืองที่ไม่ดูแลคนทำชั่ว

ก่อนหน้านี้ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้เตือนว่า “การแก้ไขตัวเองเป็นการตัดกรรม แต่การแก้ไขหลักการจะก่อเวรต่อๆ ไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด จนอาจถึงเกิดจลาจลในบ้านเมือง”

สิ่งที่นายสมัครพูดในรายการ ดูจะน่าสนใจกว่า และดูเป็นจริงยิ่งกว่า คือช่วงที่นายสมัครนำจดหมายมาอ่าน ความว่า

“ไอ้สมัครบ้ากิน ตะกละ ไปไหนก็เร่ไปทำกับข้าว ที่สำคัญที่สุดทำเสร็จทั้งหมดแทนที่จะให้นักข่าวหรือคนในพื้นที่กิน เรียกว่า แจกเขานะ เพราะวัตถุดิบตัวเองก็ไม่ได้ซื้อมา พอทำเสร็จแล้วขนกลับบ้านหมด โอ้โฮ แน่จริง เขาบอกไอ้อุบาทว์ ทำอะไรต่างๆ บริหารบ้านเมืองก็ทำไม่เป็น ไม่มีความสามารถจะสะเออะอยากจะมาเป็นนายกฯ เพื่อจะได้บันทึกประวัติศาสตร์ตัวเอง แม้จะได้มาเป็นก็เพราะว่ามีใครเป็นคนจัดการมาให้ต่างๆ ไม่มีศักดิ์ศรี อำนาจ พลเมืองจำนวนมากเขาทุเรศพฤติกรรมของแกจะแย่อยู่แล้ว นอกจากหน้าตาบุคลิกจะอุบาทว์แล้ว นิสัยยังถ่อยฉะนั้น ที่เกิดมาไม่เคยพบเห็นนายกรัฐมนตรีที่จะมีความเลว ความถ่อยสถุล พับผ่าสิ วันหนึ่งไม่เห็นจะบริหารอะไรดีแต่ปากเห่าไปวันๆ ให้สัมภาษณ์ไปวันๆ เสร็จแล้วว่าอย่างไร ขอแช่งให้มันตายปุบปับ แผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น”

กรณีที่สอง เรื่อง “ความเป็นกลาง”

สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ มักมีคำพูดในลักษณะว่า “ต้องเป็นกลาง” – “เดินทางสายกลาง” หรือบางคน ก็ชอบที่จะเรียกตัวเองว่า “เป็นคนกลาง”

เป็นกลางระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นกลางระหว่างทักษิณกับ คตส.

หากเป็นคนกลาง ก็ต้องไม่มีกิจกรรม ไม่เข้าร่วมกิจกรรมกับฝ่ายใด


นอกจากนี้ คนจำนวนหนึ่ง ยังอ้างว่าตนเป็นกลาง วางตัวสูงส่ง ยกตัวอยู่เหนือความขัดแย้ง แล้ววิจารณ์ด่าว่าทั้งสองฝ่าย เพื่อให้ตนได้รับการยกย่องว่า “เป็นคนกลาง-ผู้อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง”

ไปๆ มาๆ “ความเป็นกลาง” ก็เลยถูกบิดเบือนว่า เป็นการไม่มีความเห็น ไม่ออกความคิดเห็น ไม่รับรู้ปัญหา ไม่สนใจในปัญหาบ้านเมือง ไม่ต้องศึกษาว่าอะไรคือความถูกต้อง- เป็นธรรม

พลอยทำให้คิดตื้นๆ (หรือไม่คิด) ผิดๆ เพี้ยนๆ มั่วๆ ในประเด็นต่อเนื่องบางเรื่อง เช่น การถอยคนละก้าว – การพบกันครึ่งทาง โดยไม่ต้องดูว่าถูก-ผิดอยู่ตรงไหน คนทำถูกก็ให้ถอย คนทำผิดก็ให้ถอย

เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่กินเหล้า อีกฝ่ายบอกว่ากินเหล้า 10 แก้ว “ความเป็นกลาง” ของคนที่คิดตื้นๆ แบบนี้ คือ กินเหล้า 5 แก้ว หรือในการแข่งฟุตบอล ถ้าฝ่ายหนึ่งทำฟาวล์ กรรมการให้ใบแดง “ความเป็นกลาง” ของคนกลุ่มนี้ก็จะบอกว่า กรรมการต้องให้ใบแดงอีกฝ่ายหนึ่งด้วย โดยไม่ต้องสนว่าเขาทำผิดกติกาด้วยหรือไม่

“การเดินสายกลาง” หรือ “มัชฌิมาปฎิปทา” ไม่ใช่การเดินตามค่าเฉลี่ยระหว่างดีกับเลว หรือค่าเฉลี่ยของความถูกต้องกับความไม่ถูกต้อง แต่เป็นการเลือกสิ่งที่ถูกต้องอย่างรู้เท่าทัน เช่น ถ้าฝ่ายหนึ่งบอกว่าการกินเหล้าไม่ดี อีกฝ่ายบอกว่ากินเหล้า 10 แก้วดี ก็จะต้องใช้สติปัญญา สัมมาปัญญา รู้เท่าทัน เห็นความจริงว่าเหล้าเป็นของที่ทำให้ขาดสติ เสพติด จึงไม่ควรกิน การเดินสายกลาง คือการไม่กินเหล้า ไม่ใช่กิน 5 แก้ว (ตามค่าเฉลี่ย) เป็นต้น

คนที่ยังไม่เข้าใจก็ลองคิดดูว่า ถ้ามีข้าวชามหนึ่ง กับขี้อีกชามหนึ่ง ความเป็นกลางคงไม่ใช่ต้องเลือกที่จะกินข้าวผสมขี้แน่นอน !

“คนกลาง” ต้องเป็นคนที่ใช้สติปัญญาศึกษาไตร่ตรองอย่างรู้เท่าทัน สามารถที่จะเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม ไม่ใช่เป็นคนกลางแล้วเลือกข้างความถูกต้องไม่ได้ และยิ่งถ้าใช้มิจฉาทิฐิ (เหมือนที่มีคนพยายามจะใช้เพื่อแก้รัฐธรรมนูญแก้ความผิดของตนเอง) และเลือกเดินตามมิจฉาทิฐิ ก็จะยิ่งเป็นการเดินออกจากทางสายกลาง

โปรดตรองดูธรรมเทศนาของท่าน ว.วชิระเมธี ท่านเตือนสติว่า

“..ในทางพุทธศาสนา ความเป็นกลาง ก็คือความเป็นธรรม ธรรมะคือความถูกต้อง

...ภาวะที่เป็นกลาง การวางตัวเป็นกลาง ก็คือการวางตนอยู่กับธรรม และธรรมอยู่กับใคร เราก็ควรจะสังกัดอยู่ในฝ่ายนั้น การเป็นกลางจึงไม่ได้หมายถึงการไม่เลือกฝ่าย

…การอยู่เฉยๆ ไม่เรียกว่า การวางตนเป็นกลาง แต่ควรเรียกว่า วางตนเป็น ‘ก้าง’ คือคอยขวางไม่ให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในสังคม ... น่าเป็นห่วงมากที่ในสังคมไทยของเราคิดกันตื้นๆ ว่า การวางตนเป็นกลาง คือ การอยู่เฉยๆ และก็คนกลุ่มใหญ่พยายามขยายแนวคิดนี้ออกไปจนทำท่าจะเห็นดีเห็นงามกันทั้งประเทศ


...บ้านเมืองที่มากไปด้วยคนที่วางตัวเป็นกลาง ด้วยการอยู่เฉยๆ นั้น ไม่ต่างอะไรกับการเปิดทางให้ประเทศเดินเข้าสู่ความหายนะอย่างถาวรด้วยความยินดี

ความสงบสุขที่ปราศจากปัญญานั้น เป็นความสงบสุขของป่าช้ามากกว่าของอารยชน

ความนิ่งที่เกิดจากพื้นฐาน คือความกลัวนั้น ไม่ต่างอะไรกับความนิ่งของสิงโตหินตามวัด”


กรณีที่สาม เรื่อง “ประชาธิปไตย”

รัฐบาลที่ชอบอ้างว่า มาจากการเลือกตั้ง มาจากเสียงข้างมาก จึงมีความชอบที่จะใช้อำนาจ เพราะถือว่าเป็นประชาธิปไตยนั้น โปรดพิจารณาธรรมเทศนาของหลวงพ่อ “พุทธทาสภิกขุ” ซึ่งผมเคยสนทนาธรรมกับท่านที่วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม และปรากฏอยู่ในเทปวีซีดีและหนังสือที่พิมพ์ออกเผยแพร่แล้ว (ผู้สนใจ ติดต่อ 02-6634064 บริษัทว็อชด็อก)

“เจิมศักดิ์ : ผมอยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์นะครับว่า ผมเข้ามาที่สวนโมกข์นี่ ผมเห็นปากประตูเขียนว่า "เห็นแก่ประชาธิปไตยต้องไม่เห็นแก่ตัว"

พุทธทาส : ไม่ทราบใครเขียน ฮึๆ

เจิมศักดิ์ : แต่เห็นเขียนไว้ว่าเป็นคำพูดของท่านอาจารย์

พุทธทาส : ไม่ทราบ อาตมาจะเคยพูดหรือไม่ก็ยังนึกไม่ออก ก็ไม่ทราบว่าใครเขียน แต่ถ้าโดยตามตัวหนังสือ มันก็ต้องไม่เห็นแก่ตัว ประชาธิปไตยเห็นแก่ตัวทุกคน ถ้าเห็นแก่ตัวมันเห็นแก่คนเดียว นี่พอจะเข้าใจได้อย่างนั้น

เจิมศักดิ์ : ในความหมายของคำว่า "ประชาธิปไตย" ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร

พุทธทาส : ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่


เจิมศักดิ์ : ต่างกันอย่างไรครับ ถ้าประชาชนเป็นใหญ่

พุทธทาส : ถ้าประชาชนเป็นใหญ่ ก็ทำเพื่อประชาชน ทำให้ประชาชน โดยประชาชน นี่เราต้องเอาประโยชน์ที่ถูกต้องของประชาชนทั้งหมด นั่นแหละเป็นใหญ่ สังคมนิยมก็เหมือนกัน ไม่ใช่เห็นแก่สังคม แต่เห็นแก่ประโยชน์ของสังคม มันจึงจะเป็นสังคมนิยม

เจิมศักดิ์ : ถ้าท่านอาจารย์บอกว่า ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่โดยประชาชน อาจจะโดยคนอื่นก็ได้

พุทธทาส : โดยคนอื่นก็ได้

เจิมศักดิ์ : แต่ต้องให้ประชาชน

พุทธทาส: ให้ประชาชนได้รับประโยชน์จริง อย่างนี้จึงจะเป็นประชาธิปไตย ประชาชนเป็นใหญ่ แล้วมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ของประชาชนโดยประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด”

จะเห็นว่า ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เป็นการทำเพื่อประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนส่วนรวมหรือไม่ ไม่ใช่ว่ามาจากการเลือกตั้งหรือไม่ และไม่ใช่ว่าอำนาจเป็นของประชาชนโดยประชาชนหรือไม่

อาจารย์พุทธทาส จึงเตือนว่า “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่”

ต่อให้มาจากการเลือกตั้ง ใช้อำนาจโดยประชาชน หรือใช้อำนาจตอบสนองตัณหา ความอยาก ความนิยมชมชอบของประชาชน ก็ไม่สำคัญ หากว่าไม่ได้ทำให้เกิด “ประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนส่วนรวม”

พวกนักการเมืองที่ชอบอ้างว่ามาจากเลือกตั้ง อ้างว่าประชาชนชมชอบในสิ่งที่ตนปรนเปรอหรือมอมเมาให้ (ที่อ้างว่าประชานิยม) หรือแม้แต่อ้างว่าประชาชนเห็นด้วย (ซึ่งอาจจะด้วยกิเลส ตัณหา ผลประโยชน์เฉพาะหน้า หรือมิจฉาทิฐิ) พึงสำเหนียกเอาไว้ว่า อาจจะเป็นอย่างที่อาจารย์พุทธทาสเตือนว่า “ถ้าประชาชนเป็นใหญ่แล้วมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ของประชาชนโดยประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด”

กำลังโหลดความคิดเห็น