สัปดาห์ที่ผ่านมา มีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ทั้งอาสาฬหบูชา และเข้าพรรษา
แต่น่าสังเกตว่า ช่วงที่ผ่านมา มีการนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนาบางประการ มาบิดเบือนเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ทางการเมืองของตน เช่น การอ้างว่า แก้รัฐธรรมนูญเป็นการดับทุกข์ ตามหลักอริยะสัจสี่ (ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค) หรือการอ้าง “ความเป็นกลาง” เพื่อกำราบ มิให้ประชาชน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ออกมาแสดงจุดยืนหรือแสดงออกทางการเมือง และแม้แต่การอ้าง “ประชาธิปไตย” อ้างตนว่ามาจากการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนของเสียงข้างมาก จึงเป็นประชาธิปไตย จะใช้อำนาจอย่างไรก็ต้องยอมรับ ฯลฯ
กรณีแรก นายสมัคร อ้างว่า จะดับทุกข์ที่พรรคของตนกำลังจะถูกยุบ ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ ต้นเหตุอยู่ที่กรรมการบริหารพรรคของตนไปโกงเลือกตั้ง ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองนั้น แบบนี้ ไม่ต้องเป็นพระก็รู้ทันว่า เป็นการบิดเบือนหลักอริยะสัจสี่อย่างไม่กลัวบาปกรรม
การนำหลักอริยสัจ 4 มาสาธยาย แล้วสรุปมั่วๆ ว่ารัฐธรรมนูญเป็นปัญหา ต้องแก้รัฐธรรมนูญ เป็นมิจฉาทิฐิ คือ การเห็นผิดไปจากครรลองคลองธรรม มิใช่สัมมาทิฐิตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
แทนที่จะแก้ที่ต้นเหตุ คือ การโกงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคตนเอง โดยรับกรรมไปตามกฎหมายบ้านเมือง กลับจะไปแก้กฎหมาย แก้หลักการที่กำหนดไว้เพื่อเอาผิดกับคนโกงและพรรคการเมืองที่ไม่ดูแลคนทำชั่ว
ก่อนหน้านี้ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้เตือนว่า “การแก้ไขตัวเองเป็นการตัดกรรม แต่การแก้ไขหลักการจะก่อเวรต่อๆ ไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด จนอาจถึงเกิดจลาจลในบ้านเมือง”
สิ่งที่นายสมัครพูดในรายการ ดูจะน่าสนใจกว่า และดูเป็นจริงยิ่งกว่า คือช่วงที่นายสมัครนำจดหมายมาอ่าน ความว่า
“ไอ้สมัครบ้ากิน ตะกละ ไปไหนก็เร่ไปทำกับข้าว ที่สำคัญที่สุดทำเสร็จทั้งหมดแทนที่จะให้นักข่าวหรือคนในพื้นที่กิน เรียกว่า แจกเขานะ เพราะวัตถุดิบตัวเองก็ไม่ได้ซื้อมา พอทำเสร็จแล้วขนกลับบ้านหมด โอ้โฮ แน่จริง เขาบอกไอ้อุบาทว์ ทำอะไรต่างๆ บริหารบ้านเมืองก็ทำไม่เป็น ไม่มีความสามารถจะสะเออะอยากจะมาเป็นนายกฯ เพื่อจะได้บันทึกประวัติศาสตร์ตัวเอง แม้จะได้มาเป็นก็เพราะว่ามีใครเป็นคนจัดการมาให้ต่างๆ ไม่มีศักดิ์ศรี อำนาจ พลเมืองจำนวนมากเขาทุเรศพฤติกรรมของแกจะแย่อยู่แล้ว นอกจากหน้าตาบุคลิกจะอุบาทว์แล้ว นิสัยยังถ่อยฉะนั้น ที่เกิดมาไม่เคยพบเห็นนายกรัฐมนตรีที่จะมีความเลว ความถ่อยสถุล พับผ่าสิ วันหนึ่งไม่เห็นจะบริหารอะไรดีแต่ปากเห่าไปวันๆ ให้สัมภาษณ์ไปวันๆ เสร็จแล้วว่าอย่างไร ขอแช่งให้มันตายปุบปับ แผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น”
กรณีที่สอง เรื่อง “ความเป็นกลาง”
สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ มักมีคำพูดในลักษณะว่า “ต้องเป็นกลาง” – “เดินทางสายกลาง” หรือบางคน ก็ชอบที่จะเรียกตัวเองว่า “เป็นคนกลาง”
เป็นกลางระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นกลางระหว่างทักษิณกับ คตส.
หากเป็นคนกลาง ก็ต้องไม่มีกิจกรรม ไม่เข้าร่วมกิจกรรมกับฝ่ายใด
นอกจากนี้ คนจำนวนหนึ่ง ยังอ้างว่าตนเป็นกลาง วางตัวสูงส่ง ยกตัวอยู่เหนือความขัดแย้ง แล้ววิจารณ์ด่าว่าทั้งสองฝ่าย เพื่อให้ตนได้รับการยกย่องว่า “เป็นคนกลาง-ผู้อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง”
ไปๆ มาๆ “ความเป็นกลาง” ก็เลยถูกบิดเบือนว่า เป็นการไม่มีความเห็น ไม่ออกความคิดเห็น ไม่รับรู้ปัญหา ไม่สนใจในปัญหาบ้านเมือง ไม่ต้องศึกษาว่าอะไรคือความถูกต้อง- เป็นธรรม
พลอยทำให้คิดตื้นๆ (หรือไม่คิด) ผิดๆ เพี้ยนๆ มั่วๆ ในประเด็นต่อเนื่องบางเรื่อง เช่น การถอยคนละก้าว – การพบกันครึ่งทาง โดยไม่ต้องดูว่าถูก-ผิดอยู่ตรงไหน คนทำถูกก็ให้ถอย คนทำผิดก็ให้ถอย
เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่กินเหล้า อีกฝ่ายบอกว่ากินเหล้า 10 แก้ว “ความเป็นกลาง” ของคนที่คิดตื้นๆ แบบนี้ คือ กินเหล้า 5 แก้ว หรือในการแข่งฟุตบอล ถ้าฝ่ายหนึ่งทำฟาวล์ กรรมการให้ใบแดง “ความเป็นกลาง” ของคนกลุ่มนี้ก็จะบอกว่า กรรมการต้องให้ใบแดงอีกฝ่ายหนึ่งด้วย โดยไม่ต้องสนว่าเขาทำผิดกติกาด้วยหรือไม่
“การเดินสายกลาง” หรือ “มัชฌิมาปฎิปทา” ไม่ใช่การเดินตามค่าเฉลี่ยระหว่างดีกับเลว หรือค่าเฉลี่ยของความถูกต้องกับความไม่ถูกต้อง แต่เป็นการเลือกสิ่งที่ถูกต้องอย่างรู้เท่าทัน เช่น ถ้าฝ่ายหนึ่งบอกว่าการกินเหล้าไม่ดี อีกฝ่ายบอกว่ากินเหล้า 10 แก้วดี ก็จะต้องใช้สติปัญญา สัมมาปัญญา รู้เท่าทัน เห็นความจริงว่าเหล้าเป็นของที่ทำให้ขาดสติ เสพติด จึงไม่ควรกิน การเดินสายกลาง คือการไม่กินเหล้า ไม่ใช่กิน 5 แก้ว (ตามค่าเฉลี่ย) เป็นต้น
คนที่ยังไม่เข้าใจก็ลองคิดดูว่า ถ้ามีข้าวชามหนึ่ง กับขี้อีกชามหนึ่ง ความเป็นกลางคงไม่ใช่ต้องเลือกที่จะกินข้าวผสมขี้แน่นอน !
“คนกลาง” ต้องเป็นคนที่ใช้สติปัญญาศึกษาไตร่ตรองอย่างรู้เท่าทัน สามารถที่จะเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม ไม่ใช่เป็นคนกลางแล้วเลือกข้างความถูกต้องไม่ได้ และยิ่งถ้าใช้มิจฉาทิฐิ (เหมือนที่มีคนพยายามจะใช้เพื่อแก้รัฐธรรมนูญแก้ความผิดของตนเอง) และเลือกเดินตามมิจฉาทิฐิ ก็จะยิ่งเป็นการเดินออกจากทางสายกลาง
โปรดตรองดูธรรมเทศนาของท่าน ว.วชิระเมธี ท่านเตือนสติว่า
“..ในทางพุทธศาสนา ความเป็นกลาง ก็คือความเป็นธรรม ธรรมะคือความถูกต้อง
...ภาวะที่เป็นกลาง การวางตัวเป็นกลาง ก็คือการวางตนอยู่กับธรรม และธรรมอยู่กับใคร เราก็ควรจะสังกัดอยู่ในฝ่ายนั้น การเป็นกลางจึงไม่ได้หมายถึงการไม่เลือกฝ่าย
…การอยู่เฉยๆ ไม่เรียกว่า การวางตนเป็นกลาง แต่ควรเรียกว่า วางตนเป็น ‘ก้าง’ คือคอยขวางไม่ให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในสังคม ... น่าเป็นห่วงมากที่ในสังคมไทยของเราคิดกันตื้นๆ ว่า การวางตนเป็นกลาง คือ การอยู่เฉยๆ และก็คนกลุ่มใหญ่พยายามขยายแนวคิดนี้ออกไปจนทำท่าจะเห็นดีเห็นงามกันทั้งประเทศ
...บ้านเมืองที่มากไปด้วยคนที่วางตัวเป็นกลาง ด้วยการอยู่เฉยๆ นั้น ไม่ต่างอะไรกับการเปิดทางให้ประเทศเดินเข้าสู่ความหายนะอย่างถาวรด้วยความยินดี
ความสงบสุขที่ปราศจากปัญญานั้น เป็นความสงบสุขของป่าช้ามากกว่าของอารยชน
ความนิ่งที่เกิดจากพื้นฐาน คือความกลัวนั้น ไม่ต่างอะไรกับความนิ่งของสิงโตหินตามวัด”
กรณีที่สาม เรื่อง “ประชาธิปไตย”
รัฐบาลที่ชอบอ้างว่า มาจากการเลือกตั้ง มาจากเสียงข้างมาก จึงมีความชอบที่จะใช้อำนาจ เพราะถือว่าเป็นประชาธิปไตยนั้น โปรดพิจารณาธรรมเทศนาของหลวงพ่อ “พุทธทาสภิกขุ” ซึ่งผมเคยสนทนาธรรมกับท่านที่วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม และปรากฏอยู่ในเทปวีซีดีและหนังสือที่พิมพ์ออกเผยแพร่แล้ว (ผู้สนใจ ติดต่อ 02-6634064 บริษัทว็อชด็อก)
“เจิมศักดิ์ : ผมอยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์นะครับว่า ผมเข้ามาที่สวนโมกข์นี่ ผมเห็นปากประตูเขียนว่า "เห็นแก่ประชาธิปไตยต้องไม่เห็นแก่ตัว"
พุทธทาส : ไม่ทราบใครเขียน ฮึๆ
เจิมศักดิ์ : แต่เห็นเขียนไว้ว่าเป็นคำพูดของท่านอาจารย์
พุทธทาส : ไม่ทราบ อาตมาจะเคยพูดหรือไม่ก็ยังนึกไม่ออก ก็ไม่ทราบว่าใครเขียน แต่ถ้าโดยตามตัวหนังสือ มันก็ต้องไม่เห็นแก่ตัว ประชาธิปไตยเห็นแก่ตัวทุกคน ถ้าเห็นแก่ตัวมันเห็นแก่คนเดียว นี่พอจะเข้าใจได้อย่างนั้น
เจิมศักดิ์ : ในความหมายของคำว่า "ประชาธิปไตย" ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร
พุทธทาส : ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่
เจิมศักดิ์ : ต่างกันอย่างไรครับ ถ้าประชาชนเป็นใหญ่
พุทธทาส : ถ้าประชาชนเป็นใหญ่ ก็ทำเพื่อประชาชน ทำให้ประชาชน โดยประชาชน นี่เราต้องเอาประโยชน์ที่ถูกต้องของประชาชนทั้งหมด นั่นแหละเป็นใหญ่ สังคมนิยมก็เหมือนกัน ไม่ใช่เห็นแก่สังคม แต่เห็นแก่ประโยชน์ของสังคม มันจึงจะเป็นสังคมนิยม
เจิมศักดิ์ : ถ้าท่านอาจารย์บอกว่า ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่โดยประชาชน อาจจะโดยคนอื่นก็ได้
พุทธทาส : โดยคนอื่นก็ได้
เจิมศักดิ์ : แต่ต้องให้ประชาชน
พุทธทาส: ให้ประชาชนได้รับประโยชน์จริง อย่างนี้จึงจะเป็นประชาธิปไตย ประชาชนเป็นใหญ่ แล้วมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ของประชาชนโดยประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด”
จะเห็นว่า ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เป็นการทำเพื่อประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนส่วนรวมหรือไม่ ไม่ใช่ว่ามาจากการเลือกตั้งหรือไม่ และไม่ใช่ว่าอำนาจเป็นของประชาชนโดยประชาชนหรือไม่
อาจารย์พุทธทาส จึงเตือนว่า “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่”
ต่อให้มาจากการเลือกตั้ง ใช้อำนาจโดยประชาชน หรือใช้อำนาจตอบสนองตัณหา ความอยาก ความนิยมชมชอบของประชาชน ก็ไม่สำคัญ หากว่าไม่ได้ทำให้เกิด “ประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนส่วนรวม”
พวกนักการเมืองที่ชอบอ้างว่ามาจากเลือกตั้ง อ้างว่าประชาชนชมชอบในสิ่งที่ตนปรนเปรอหรือมอมเมาให้ (ที่อ้างว่าประชานิยม) หรือแม้แต่อ้างว่าประชาชนเห็นด้วย (ซึ่งอาจจะด้วยกิเลส ตัณหา ผลประโยชน์เฉพาะหน้า หรือมิจฉาทิฐิ) พึงสำเหนียกเอาไว้ว่า อาจจะเป็นอย่างที่อาจารย์พุทธทาสเตือนว่า “ถ้าประชาชนเป็นใหญ่แล้วมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ของประชาชนโดยประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด”
แต่น่าสังเกตว่า ช่วงที่ผ่านมา มีการนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนาบางประการ มาบิดเบือนเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ทางการเมืองของตน เช่น การอ้างว่า แก้รัฐธรรมนูญเป็นการดับทุกข์ ตามหลักอริยะสัจสี่ (ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค) หรือการอ้าง “ความเป็นกลาง” เพื่อกำราบ มิให้ประชาชน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ออกมาแสดงจุดยืนหรือแสดงออกทางการเมือง และแม้แต่การอ้าง “ประชาธิปไตย” อ้างตนว่ามาจากการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนของเสียงข้างมาก จึงเป็นประชาธิปไตย จะใช้อำนาจอย่างไรก็ต้องยอมรับ ฯลฯ
กรณีแรก นายสมัคร อ้างว่า จะดับทุกข์ที่พรรคของตนกำลังจะถูกยุบ ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ ต้นเหตุอยู่ที่กรรมการบริหารพรรคของตนไปโกงเลือกตั้ง ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองนั้น แบบนี้ ไม่ต้องเป็นพระก็รู้ทันว่า เป็นการบิดเบือนหลักอริยะสัจสี่อย่างไม่กลัวบาปกรรม
การนำหลักอริยสัจ 4 มาสาธยาย แล้วสรุปมั่วๆ ว่ารัฐธรรมนูญเป็นปัญหา ต้องแก้รัฐธรรมนูญ เป็นมิจฉาทิฐิ คือ การเห็นผิดไปจากครรลองคลองธรรม มิใช่สัมมาทิฐิตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
แทนที่จะแก้ที่ต้นเหตุ คือ การโกงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคตนเอง โดยรับกรรมไปตามกฎหมายบ้านเมือง กลับจะไปแก้กฎหมาย แก้หลักการที่กำหนดไว้เพื่อเอาผิดกับคนโกงและพรรคการเมืองที่ไม่ดูแลคนทำชั่ว
ก่อนหน้านี้ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้เตือนว่า “การแก้ไขตัวเองเป็นการตัดกรรม แต่การแก้ไขหลักการจะก่อเวรต่อๆ ไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด จนอาจถึงเกิดจลาจลในบ้านเมือง”
สิ่งที่นายสมัครพูดในรายการ ดูจะน่าสนใจกว่า และดูเป็นจริงยิ่งกว่า คือช่วงที่นายสมัครนำจดหมายมาอ่าน ความว่า
“ไอ้สมัครบ้ากิน ตะกละ ไปไหนก็เร่ไปทำกับข้าว ที่สำคัญที่สุดทำเสร็จทั้งหมดแทนที่จะให้นักข่าวหรือคนในพื้นที่กิน เรียกว่า แจกเขานะ เพราะวัตถุดิบตัวเองก็ไม่ได้ซื้อมา พอทำเสร็จแล้วขนกลับบ้านหมด โอ้โฮ แน่จริง เขาบอกไอ้อุบาทว์ ทำอะไรต่างๆ บริหารบ้านเมืองก็ทำไม่เป็น ไม่มีความสามารถจะสะเออะอยากจะมาเป็นนายกฯ เพื่อจะได้บันทึกประวัติศาสตร์ตัวเอง แม้จะได้มาเป็นก็เพราะว่ามีใครเป็นคนจัดการมาให้ต่างๆ ไม่มีศักดิ์ศรี อำนาจ พลเมืองจำนวนมากเขาทุเรศพฤติกรรมของแกจะแย่อยู่แล้ว นอกจากหน้าตาบุคลิกจะอุบาทว์แล้ว นิสัยยังถ่อยฉะนั้น ที่เกิดมาไม่เคยพบเห็นนายกรัฐมนตรีที่จะมีความเลว ความถ่อยสถุล พับผ่าสิ วันหนึ่งไม่เห็นจะบริหารอะไรดีแต่ปากเห่าไปวันๆ ให้สัมภาษณ์ไปวันๆ เสร็จแล้วว่าอย่างไร ขอแช่งให้มันตายปุบปับ แผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น”
กรณีที่สอง เรื่อง “ความเป็นกลาง”
สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ มักมีคำพูดในลักษณะว่า “ต้องเป็นกลาง” – “เดินทางสายกลาง” หรือบางคน ก็ชอบที่จะเรียกตัวเองว่า “เป็นคนกลาง”
เป็นกลางระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นกลางระหว่างทักษิณกับ คตส.
หากเป็นคนกลาง ก็ต้องไม่มีกิจกรรม ไม่เข้าร่วมกิจกรรมกับฝ่ายใด
นอกจากนี้ คนจำนวนหนึ่ง ยังอ้างว่าตนเป็นกลาง วางตัวสูงส่ง ยกตัวอยู่เหนือความขัดแย้ง แล้ววิจารณ์ด่าว่าทั้งสองฝ่าย เพื่อให้ตนได้รับการยกย่องว่า “เป็นคนกลาง-ผู้อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง”
ไปๆ มาๆ “ความเป็นกลาง” ก็เลยถูกบิดเบือนว่า เป็นการไม่มีความเห็น ไม่ออกความคิดเห็น ไม่รับรู้ปัญหา ไม่สนใจในปัญหาบ้านเมือง ไม่ต้องศึกษาว่าอะไรคือความถูกต้อง- เป็นธรรม
พลอยทำให้คิดตื้นๆ (หรือไม่คิด) ผิดๆ เพี้ยนๆ มั่วๆ ในประเด็นต่อเนื่องบางเรื่อง เช่น การถอยคนละก้าว – การพบกันครึ่งทาง โดยไม่ต้องดูว่าถูก-ผิดอยู่ตรงไหน คนทำถูกก็ให้ถอย คนทำผิดก็ให้ถอย
เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่กินเหล้า อีกฝ่ายบอกว่ากินเหล้า 10 แก้ว “ความเป็นกลาง” ของคนที่คิดตื้นๆ แบบนี้ คือ กินเหล้า 5 แก้ว หรือในการแข่งฟุตบอล ถ้าฝ่ายหนึ่งทำฟาวล์ กรรมการให้ใบแดง “ความเป็นกลาง” ของคนกลุ่มนี้ก็จะบอกว่า กรรมการต้องให้ใบแดงอีกฝ่ายหนึ่งด้วย โดยไม่ต้องสนว่าเขาทำผิดกติกาด้วยหรือไม่
“การเดินสายกลาง” หรือ “มัชฌิมาปฎิปทา” ไม่ใช่การเดินตามค่าเฉลี่ยระหว่างดีกับเลว หรือค่าเฉลี่ยของความถูกต้องกับความไม่ถูกต้อง แต่เป็นการเลือกสิ่งที่ถูกต้องอย่างรู้เท่าทัน เช่น ถ้าฝ่ายหนึ่งบอกว่าการกินเหล้าไม่ดี อีกฝ่ายบอกว่ากินเหล้า 10 แก้วดี ก็จะต้องใช้สติปัญญา สัมมาปัญญา รู้เท่าทัน เห็นความจริงว่าเหล้าเป็นของที่ทำให้ขาดสติ เสพติด จึงไม่ควรกิน การเดินสายกลาง คือการไม่กินเหล้า ไม่ใช่กิน 5 แก้ว (ตามค่าเฉลี่ย) เป็นต้น
คนที่ยังไม่เข้าใจก็ลองคิดดูว่า ถ้ามีข้าวชามหนึ่ง กับขี้อีกชามหนึ่ง ความเป็นกลางคงไม่ใช่ต้องเลือกที่จะกินข้าวผสมขี้แน่นอน !
“คนกลาง” ต้องเป็นคนที่ใช้สติปัญญาศึกษาไตร่ตรองอย่างรู้เท่าทัน สามารถที่จะเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม ไม่ใช่เป็นคนกลางแล้วเลือกข้างความถูกต้องไม่ได้ และยิ่งถ้าใช้มิจฉาทิฐิ (เหมือนที่มีคนพยายามจะใช้เพื่อแก้รัฐธรรมนูญแก้ความผิดของตนเอง) และเลือกเดินตามมิจฉาทิฐิ ก็จะยิ่งเป็นการเดินออกจากทางสายกลาง
โปรดตรองดูธรรมเทศนาของท่าน ว.วชิระเมธี ท่านเตือนสติว่า
“..ในทางพุทธศาสนา ความเป็นกลาง ก็คือความเป็นธรรม ธรรมะคือความถูกต้อง
...ภาวะที่เป็นกลาง การวางตัวเป็นกลาง ก็คือการวางตนอยู่กับธรรม และธรรมอยู่กับใคร เราก็ควรจะสังกัดอยู่ในฝ่ายนั้น การเป็นกลางจึงไม่ได้หมายถึงการไม่เลือกฝ่าย
…การอยู่เฉยๆ ไม่เรียกว่า การวางตนเป็นกลาง แต่ควรเรียกว่า วางตนเป็น ‘ก้าง’ คือคอยขวางไม่ให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในสังคม ... น่าเป็นห่วงมากที่ในสังคมไทยของเราคิดกันตื้นๆ ว่า การวางตนเป็นกลาง คือ การอยู่เฉยๆ และก็คนกลุ่มใหญ่พยายามขยายแนวคิดนี้ออกไปจนทำท่าจะเห็นดีเห็นงามกันทั้งประเทศ
...บ้านเมืองที่มากไปด้วยคนที่วางตัวเป็นกลาง ด้วยการอยู่เฉยๆ นั้น ไม่ต่างอะไรกับการเปิดทางให้ประเทศเดินเข้าสู่ความหายนะอย่างถาวรด้วยความยินดี
ความสงบสุขที่ปราศจากปัญญานั้น เป็นความสงบสุขของป่าช้ามากกว่าของอารยชน
ความนิ่งที่เกิดจากพื้นฐาน คือความกลัวนั้น ไม่ต่างอะไรกับความนิ่งของสิงโตหินตามวัด”
กรณีที่สาม เรื่อง “ประชาธิปไตย”
รัฐบาลที่ชอบอ้างว่า มาจากการเลือกตั้ง มาจากเสียงข้างมาก จึงมีความชอบที่จะใช้อำนาจ เพราะถือว่าเป็นประชาธิปไตยนั้น โปรดพิจารณาธรรมเทศนาของหลวงพ่อ “พุทธทาสภิกขุ” ซึ่งผมเคยสนทนาธรรมกับท่านที่วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม และปรากฏอยู่ในเทปวีซีดีและหนังสือที่พิมพ์ออกเผยแพร่แล้ว (ผู้สนใจ ติดต่อ 02-6634064 บริษัทว็อชด็อก)
“เจิมศักดิ์ : ผมอยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์นะครับว่า ผมเข้ามาที่สวนโมกข์นี่ ผมเห็นปากประตูเขียนว่า "เห็นแก่ประชาธิปไตยต้องไม่เห็นแก่ตัว"
พุทธทาส : ไม่ทราบใครเขียน ฮึๆ
เจิมศักดิ์ : แต่เห็นเขียนไว้ว่าเป็นคำพูดของท่านอาจารย์
พุทธทาส : ไม่ทราบ อาตมาจะเคยพูดหรือไม่ก็ยังนึกไม่ออก ก็ไม่ทราบว่าใครเขียน แต่ถ้าโดยตามตัวหนังสือ มันก็ต้องไม่เห็นแก่ตัว ประชาธิปไตยเห็นแก่ตัวทุกคน ถ้าเห็นแก่ตัวมันเห็นแก่คนเดียว นี่พอจะเข้าใจได้อย่างนั้น
เจิมศักดิ์ : ในความหมายของคำว่า "ประชาธิปไตย" ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร
พุทธทาส : ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่
เจิมศักดิ์ : ต่างกันอย่างไรครับ ถ้าประชาชนเป็นใหญ่
พุทธทาส : ถ้าประชาชนเป็นใหญ่ ก็ทำเพื่อประชาชน ทำให้ประชาชน โดยประชาชน นี่เราต้องเอาประโยชน์ที่ถูกต้องของประชาชนทั้งหมด นั่นแหละเป็นใหญ่ สังคมนิยมก็เหมือนกัน ไม่ใช่เห็นแก่สังคม แต่เห็นแก่ประโยชน์ของสังคม มันจึงจะเป็นสังคมนิยม
เจิมศักดิ์ : ถ้าท่านอาจารย์บอกว่า ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่โดยประชาชน อาจจะโดยคนอื่นก็ได้
พุทธทาส : โดยคนอื่นก็ได้
เจิมศักดิ์ : แต่ต้องให้ประชาชน
พุทธทาส: ให้ประชาชนได้รับประโยชน์จริง อย่างนี้จึงจะเป็นประชาธิปไตย ประชาชนเป็นใหญ่ แล้วมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ของประชาชนโดยประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด”
จะเห็นว่า ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เป็นการทำเพื่อประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนส่วนรวมหรือไม่ ไม่ใช่ว่ามาจากการเลือกตั้งหรือไม่ และไม่ใช่ว่าอำนาจเป็นของประชาชนโดยประชาชนหรือไม่
อาจารย์พุทธทาส จึงเตือนว่า “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่”
ต่อให้มาจากการเลือกตั้ง ใช้อำนาจโดยประชาชน หรือใช้อำนาจตอบสนองตัณหา ความอยาก ความนิยมชมชอบของประชาชน ก็ไม่สำคัญ หากว่าไม่ได้ทำให้เกิด “ประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนส่วนรวม”
พวกนักการเมืองที่ชอบอ้างว่ามาจากเลือกตั้ง อ้างว่าประชาชนชมชอบในสิ่งที่ตนปรนเปรอหรือมอมเมาให้ (ที่อ้างว่าประชานิยม) หรือแม้แต่อ้างว่าประชาชนเห็นด้วย (ซึ่งอาจจะด้วยกิเลส ตัณหา ผลประโยชน์เฉพาะหน้า หรือมิจฉาทิฐิ) พึงสำเหนียกเอาไว้ว่า อาจจะเป็นอย่างที่อาจารย์พุทธทาสเตือนว่า “ถ้าประชาชนเป็นใหญ่แล้วมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ของประชาชนโดยประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด”