คำว่า วันเป่านกหวีด เป็นคำสั้น ๆ กระชับ และน่าตื่นเต้นมาก ระยะ 2-3 วันนี้มีพันธมิตรฯ หลายคนพยายามแหย่ถามมาว่าวันไหน ... อาจารย์ท่านหนึ่งที่เชียงใหม่ถึงกับจะขนเด็ก ๆ เยาวชนที่ทำกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรท้องถิ่นไปร่วมอีกคันรถใหญ่ .. จึงได้บอกกับอาจารย์ท่านดังกล่าวไปว่าไม่ทราบจริง ๆ ให้รอฟังจากปาก 5 แกนนำเท่านั้น
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ยิ่งเห็นชัดว่า มวลชนพันธมิตรฯ เป็นมวลชนคุณภาพ มีความรู้ มีวินัย มาด้วยใจเสียสละ และด้วยสำนึกพลเมือง ทุกคนรู้ว่าตนเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ต้องสละตนเองมานั่ง เดิน นอน ณ ที่ชุมนุมเพราะต้องการธำรงการชุมนุมให้ดำเนินต่อเนื่อง และอย่างมีพลัง
สังเกตมวลชนแต่ละกลุ่มแต่ละเหล่าที่หมุนเวียนกันมา วันเป่านกหวีดให้เลิกพูดเรื่องคนเรือนหมื่นไปได้เลย .. ถึงนาทีนี้รอลุ้นปรากฏการณ์คนเรือนล้านอาจเกิดให้เห็นเป็นอัศจรรย์
อยากให้นักวิจารณ์บนหอคอยงาช้างที่บ่นท่องคาถา “เป็นกลาง ๆ” มาสัมผัสด้วยตนเองจริง ๆ พวกเขาจะเข้าใจไหมหนอ...ในบางเวลาคำว่าเป็นกลางแท้จริงคือหลุมหลบภัยของคนขลาดและคนที่ไม่รู้เท่านั้น !
หลายคนอาจรอคอยวันดีเดย์เป่านกหวีดด้วยใจจดจ่อ.. แต่สำหรับผู้เขียน เลิกตื่นเต้นกับรัฐบาลสมัคร-เฉลิมจะหลุดจากอำนาจแล้ว เพราะยังไงคนเหล่านี้ต้องตกจากเวทีประวัติศาสตร์แบบศพไม่สวยอย่างแน่นอน
ที่น่าตื่นเต้นกว่า คือปรากฏการณ์สะพานมัฆวานฯ กำลังจะเป็นจุดเปลี่ยนของการเมืองไทยยุคใหม่
การเมืองไทยนับจากนี้กำลังเปลี่ยนโฉมอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่ภูมิรัฐศาสตร์การเมือง สภาพแวดล้อมและปัจจัยเกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด
เจตนาของการพยายามลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่แค่ในแผ่นกระดาษคำประกาศเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ หากเกิดขึ้นจากการพร้อมใจกันลงมือกระทำด้วยตนเอง ด้วยความต้องการ ความรู้ ความเข้าใจ ของประชาชนพลเมืองเจ้าของประเทศ
เมื่อยุคก่อนหน้า ประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารประเทศโดยนักการเมืองที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต เกินกรอบกฎหมายและกฎศีลธรรม ก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างกันของคนในชาติ อันเนื่องมาจากระดับความรู้ความเข้าใจและทัศนะต่อการเมืองในอุดมคติที่แตกต่างกัน
เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย เหมือนกับวัดกลางชุมชนเก่าแก่ ที่จู่ ๆ มีคณะสงฆ์ท่าทางน่าเชื่อถือกลุ่มหนึ่งเข้ามาปกครอง เข้ามาทำมาหากินกับเงินบริจาคและสมบัติของวัด และจัดสรรเศษเงินผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไว้เป็นฐานสนับสนุน ที่สำคัญคณะสงฆ์และเจ้าอาวาสใหม่ไม่ได้ปฏิบัติตามศีลวัตร ไม่ได้ถือศีล 227 ข้อเหมือนวัดอื่น ๆ แหกศีลกันเป็นประจำ
ชาวบ้านที่ได้ผลประโยชน์ก็เห็นแต่มองผ่าน ๆ ทำเป็นไม่เห็น บ้างก็ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย การพัฒนาวัดและชุมชนเป็นเรื่องใหญ่กว่า
ส่วนชาวบ้านอีกกลุ่ม ยืนยันพระสงฆ์ต้องปฏิบัติตาม ศีล 227 ข้อเท่านั้น !!! ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ใช่สงฆ์ จะต้องถูกขับไล่ออกไป
ประชาชนที่อยากให้สงฆ์อยู่ในศีล 227 ข้อมันผิดปกติตรงไหน !!?
ก็เหมือนกับประชาชนที่อยากให้รัฐบาลใช้อำนาจอยู่ในกรอบ กฎหมายและกรอบศีลธรรม เป็นพวกผิดปกติ หรือ ไม่ยึดกติกาตรงไหน !!?
คนสองพวกทะเลาะกัน ฝ่ายหนึ่งหนุนสงฆ์แหกศีลกินเหล้าแจกเงิน อีกฝ่ายต้องการให้สงฆ์อยู่ในกรอบ 227 ข้อ ... แล้วก็มีคนพวกหนึ่งบอกว่าอย่าทะเลาะกัน มันไม่บ้าไปหน่อยหรือประเทศไทย !!
แต่อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวนั้นกำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้า
รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นศูนย์รวมของทุนชาติที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นรัฐบาลที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเกินกรอบนิติรัฐ และธรรมาภิบาล
เหมือนเจ้าอาวาสแหกศีลกินเหล้า เซ้งวัดเซ้งโบสถ์แต่ก็ฉลาดพอที่ไม่ลืมเจียดเงินบริจาคมาหว่านให้ชาวบ้านส่วนใหญ่รอบ ๆ วัดนั่นแหละ
รัฐบาลทักษิณ ไม่ได้ก้าวหน้าลอยอยู่บนกระแสโลกาภิวัตน์ที่สวยงามหรอก เพราะกระทั่งทุนนิยมโลกเองก็ยังอยู่ในภาวะถึงทางตัน กลืนกินตัวเอง และกำลังทำลายสังคมโลกทั้งใบโดยที่ตนเองรู้ว่ากำลังเดินสู่หายนะแต่หยุดตัวมันเองไม่ได้
การใช้อำนาจอย่างไม่บันยะบันยังของรัฐบาลทักษิณก็กลืนกินตัวเอง ก่อให้เกิดแรงปฏิกิริยา ซึ่งกำลังนำมาสู่การจัดระเบียบการเมืองใหม่ มีพลังที่แสดงตนต้องการจำกัดการใช้อำนาจของฝ่ายการเมือง สร้างดุลอำนาจใหม่เพื่อตรวจสอบและเหนี่ยวรั้งการใช้อำนาจ
โจทย์ใหม่ของสังคมไทย ไม่ได้อยู่ที่พรรคการเมืองทั้งหมดต้องคิดสร้างนโยบายที่กินได้ จับต้องได้ถูกใจโดนใจประชาชนชั้นล่างที่ยากจนเท่านั้น
แต่โจทย์ใหม่ ยังรวมไปถึง การสร้างบรรทัดฐานการใช้อำนาจและอยู่ในอำนาจของนักการเมือง นอกจากการใช้อำนาจแล้วยังหมายรวมถึงการเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนโยบายสาธารณะอย่างกว้างขวาง ซึ่งเหล่านี้เป็นความต้องการของประชาชนพลเมืองอีกกลุ่มหนึ่งที่ส่วนใหญ่อยู่ในตัวเมือง
โจทย์ข้อแรกทำง่าย แค่พรรคการเมืองออกนโยบายประชานิยม และจริงใจกับประชาชนชั้นล่างที่เป็นผู้ด้อยโอกาสมานาน
แต่โจทย์ข้อหลังคือการห้ามไม่ให้คนใช้อำนาจ ห้ามไม่ให้คนโกง เป็นเรื่องเป็นเรื่องยากขึ้นมาอีกขั้น .. คนกำลังกินไปดึงอาหารจากปากเขาคงไม่ยอมง่าย ๆ แถมคนโกงยุคใหม่มันก็เนียนขึ้นจับติดยากต้องอาศัยการอธิบายและความรู้เท่า
แต่นั่นเอง ถึงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปอีกแล้ว เพราะการก่อเกิดของพลังพลเมืองเรือนแสนเรือนล้านที่ออกจากบ้านมาแสดงเจตนาอย่างมุ่งมั่น
นี่เป็นระยะเปลี่ยนผ่าน การแหกกติกาใช้อำนาจแบบเหิมเกริมเหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ กำลังถูกต่อต้านไม่สามารถลงมือทำอย่างสบาย ๆ หรือเดินลอยชายได้อีกต่อไป
ซึ่งนั่นเองระยะเปลี่ยนผ่านของปรากฏการณ์การเมืองใหม่ ก็ยังคงมีซากเดนนักการเมือง และข้าราชการชั่ว ๆ ที่แอบอิงกับอำนาจการเมือง ยังคงเข้าใจว่า ตนยังสามารถทำอะไรตามใจเหมือนครั้งสมัยทักษิณเรืองอำนาจ
นี่เป็นเฮือกสุดท้ายของการใช้อำนาจแบบระบอบทักษิณ ยังมีพวกเหิมเกริม ไม่แยแสสังคม คิดจะพูดก็พูด ย้ายใครก็ย้าย ส่วนลิ่วล้อข้าราชการชั่ว ๆอย่างผู้ว่าฯ และตำรวจบางคนก็ยังไม่เข้าใจว่านี่เป็นเฮือกสุดท้ายของเขาอย่างไร
วันเป่านกหวีด คือวันที่พลังของประชาชนพลเมืองเจ้าของประเทศออกมาแสดงเจตนารมณ์สร้างชาติบ้านเมืองขึ้นใหม่
และเพื่อประกาศว่าหมดยุคทุนรวมศูนย์ฮุบอำนาจแล้วเข้ามาใช้อำนาจรัฐแบบเหิมเกริมแล้ว
ที่ สุริยะใส พูดน่ะถูกแล้ว…
เรากำลังจะพ้นจากภารกิจกู้ชาติ มาสู่ภารกิจการสร้างชาติขึ้นมาใหม่ !!
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ยิ่งเห็นชัดว่า มวลชนพันธมิตรฯ เป็นมวลชนคุณภาพ มีความรู้ มีวินัย มาด้วยใจเสียสละ และด้วยสำนึกพลเมือง ทุกคนรู้ว่าตนเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ต้องสละตนเองมานั่ง เดิน นอน ณ ที่ชุมนุมเพราะต้องการธำรงการชุมนุมให้ดำเนินต่อเนื่อง และอย่างมีพลัง
สังเกตมวลชนแต่ละกลุ่มแต่ละเหล่าที่หมุนเวียนกันมา วันเป่านกหวีดให้เลิกพูดเรื่องคนเรือนหมื่นไปได้เลย .. ถึงนาทีนี้รอลุ้นปรากฏการณ์คนเรือนล้านอาจเกิดให้เห็นเป็นอัศจรรย์
อยากให้นักวิจารณ์บนหอคอยงาช้างที่บ่นท่องคาถา “เป็นกลาง ๆ” มาสัมผัสด้วยตนเองจริง ๆ พวกเขาจะเข้าใจไหมหนอ...ในบางเวลาคำว่าเป็นกลางแท้จริงคือหลุมหลบภัยของคนขลาดและคนที่ไม่รู้เท่านั้น !
หลายคนอาจรอคอยวันดีเดย์เป่านกหวีดด้วยใจจดจ่อ.. แต่สำหรับผู้เขียน เลิกตื่นเต้นกับรัฐบาลสมัคร-เฉลิมจะหลุดจากอำนาจแล้ว เพราะยังไงคนเหล่านี้ต้องตกจากเวทีประวัติศาสตร์แบบศพไม่สวยอย่างแน่นอน
ที่น่าตื่นเต้นกว่า คือปรากฏการณ์สะพานมัฆวานฯ กำลังจะเป็นจุดเปลี่ยนของการเมืองไทยยุคใหม่
การเมืองไทยนับจากนี้กำลังเปลี่ยนโฉมอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่ภูมิรัฐศาสตร์การเมือง สภาพแวดล้อมและปัจจัยเกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด
เจตนาของการพยายามลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่แค่ในแผ่นกระดาษคำประกาศเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ หากเกิดขึ้นจากการพร้อมใจกันลงมือกระทำด้วยตนเอง ด้วยความต้องการ ความรู้ ความเข้าใจ ของประชาชนพลเมืองเจ้าของประเทศ
เมื่อยุคก่อนหน้า ประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารประเทศโดยนักการเมืองที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต เกินกรอบกฎหมายและกฎศีลธรรม ก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างกันของคนในชาติ อันเนื่องมาจากระดับความรู้ความเข้าใจและทัศนะต่อการเมืองในอุดมคติที่แตกต่างกัน
เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย เหมือนกับวัดกลางชุมชนเก่าแก่ ที่จู่ ๆ มีคณะสงฆ์ท่าทางน่าเชื่อถือกลุ่มหนึ่งเข้ามาปกครอง เข้ามาทำมาหากินกับเงินบริจาคและสมบัติของวัด และจัดสรรเศษเงินผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไว้เป็นฐานสนับสนุน ที่สำคัญคณะสงฆ์และเจ้าอาวาสใหม่ไม่ได้ปฏิบัติตามศีลวัตร ไม่ได้ถือศีล 227 ข้อเหมือนวัดอื่น ๆ แหกศีลกันเป็นประจำ
ชาวบ้านที่ได้ผลประโยชน์ก็เห็นแต่มองผ่าน ๆ ทำเป็นไม่เห็น บ้างก็ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย การพัฒนาวัดและชุมชนเป็นเรื่องใหญ่กว่า
ส่วนชาวบ้านอีกกลุ่ม ยืนยันพระสงฆ์ต้องปฏิบัติตาม ศีล 227 ข้อเท่านั้น !!! ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ใช่สงฆ์ จะต้องถูกขับไล่ออกไป
ประชาชนที่อยากให้สงฆ์อยู่ในศีล 227 ข้อมันผิดปกติตรงไหน !!?
ก็เหมือนกับประชาชนที่อยากให้รัฐบาลใช้อำนาจอยู่ในกรอบ กฎหมายและกรอบศีลธรรม เป็นพวกผิดปกติ หรือ ไม่ยึดกติกาตรงไหน !!?
คนสองพวกทะเลาะกัน ฝ่ายหนึ่งหนุนสงฆ์แหกศีลกินเหล้าแจกเงิน อีกฝ่ายต้องการให้สงฆ์อยู่ในกรอบ 227 ข้อ ... แล้วก็มีคนพวกหนึ่งบอกว่าอย่าทะเลาะกัน มันไม่บ้าไปหน่อยหรือประเทศไทย !!
แต่อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวนั้นกำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้า
รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นศูนย์รวมของทุนชาติที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นรัฐบาลที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเกินกรอบนิติรัฐ และธรรมาภิบาล
เหมือนเจ้าอาวาสแหกศีลกินเหล้า เซ้งวัดเซ้งโบสถ์แต่ก็ฉลาดพอที่ไม่ลืมเจียดเงินบริจาคมาหว่านให้ชาวบ้านส่วนใหญ่รอบ ๆ วัดนั่นแหละ
รัฐบาลทักษิณ ไม่ได้ก้าวหน้าลอยอยู่บนกระแสโลกาภิวัตน์ที่สวยงามหรอก เพราะกระทั่งทุนนิยมโลกเองก็ยังอยู่ในภาวะถึงทางตัน กลืนกินตัวเอง และกำลังทำลายสังคมโลกทั้งใบโดยที่ตนเองรู้ว่ากำลังเดินสู่หายนะแต่หยุดตัวมันเองไม่ได้
การใช้อำนาจอย่างไม่บันยะบันยังของรัฐบาลทักษิณก็กลืนกินตัวเอง ก่อให้เกิดแรงปฏิกิริยา ซึ่งกำลังนำมาสู่การจัดระเบียบการเมืองใหม่ มีพลังที่แสดงตนต้องการจำกัดการใช้อำนาจของฝ่ายการเมือง สร้างดุลอำนาจใหม่เพื่อตรวจสอบและเหนี่ยวรั้งการใช้อำนาจ
โจทย์ใหม่ของสังคมไทย ไม่ได้อยู่ที่พรรคการเมืองทั้งหมดต้องคิดสร้างนโยบายที่กินได้ จับต้องได้ถูกใจโดนใจประชาชนชั้นล่างที่ยากจนเท่านั้น
แต่โจทย์ใหม่ ยังรวมไปถึง การสร้างบรรทัดฐานการใช้อำนาจและอยู่ในอำนาจของนักการเมือง นอกจากการใช้อำนาจแล้วยังหมายรวมถึงการเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนโยบายสาธารณะอย่างกว้างขวาง ซึ่งเหล่านี้เป็นความต้องการของประชาชนพลเมืองอีกกลุ่มหนึ่งที่ส่วนใหญ่อยู่ในตัวเมือง
โจทย์ข้อแรกทำง่าย แค่พรรคการเมืองออกนโยบายประชานิยม และจริงใจกับประชาชนชั้นล่างที่เป็นผู้ด้อยโอกาสมานาน
แต่โจทย์ข้อหลังคือการห้ามไม่ให้คนใช้อำนาจ ห้ามไม่ให้คนโกง เป็นเรื่องเป็นเรื่องยากขึ้นมาอีกขั้น .. คนกำลังกินไปดึงอาหารจากปากเขาคงไม่ยอมง่าย ๆ แถมคนโกงยุคใหม่มันก็เนียนขึ้นจับติดยากต้องอาศัยการอธิบายและความรู้เท่า
แต่นั่นเอง ถึงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปอีกแล้ว เพราะการก่อเกิดของพลังพลเมืองเรือนแสนเรือนล้านที่ออกจากบ้านมาแสดงเจตนาอย่างมุ่งมั่น
นี่เป็นระยะเปลี่ยนผ่าน การแหกกติกาใช้อำนาจแบบเหิมเกริมเหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ กำลังถูกต่อต้านไม่สามารถลงมือทำอย่างสบาย ๆ หรือเดินลอยชายได้อีกต่อไป
ซึ่งนั่นเองระยะเปลี่ยนผ่านของปรากฏการณ์การเมืองใหม่ ก็ยังคงมีซากเดนนักการเมือง และข้าราชการชั่ว ๆ ที่แอบอิงกับอำนาจการเมือง ยังคงเข้าใจว่า ตนยังสามารถทำอะไรตามใจเหมือนครั้งสมัยทักษิณเรืองอำนาจ
นี่เป็นเฮือกสุดท้ายของการใช้อำนาจแบบระบอบทักษิณ ยังมีพวกเหิมเกริม ไม่แยแสสังคม คิดจะพูดก็พูด ย้ายใครก็ย้าย ส่วนลิ่วล้อข้าราชการชั่ว ๆอย่างผู้ว่าฯ และตำรวจบางคนก็ยังไม่เข้าใจว่านี่เป็นเฮือกสุดท้ายของเขาอย่างไร
วันเป่านกหวีด คือวันที่พลังของประชาชนพลเมืองเจ้าของประเทศออกมาแสดงเจตนารมณ์สร้างชาติบ้านเมืองขึ้นใหม่
และเพื่อประกาศว่าหมดยุคทุนรวมศูนย์ฮุบอำนาจแล้วเข้ามาใช้อำนาจรัฐแบบเหิมเกริมแล้ว
ที่ สุริยะใส พูดน่ะถูกแล้ว…
เรากำลังจะพ้นจากภารกิจกู้ชาติ มาสู่ภารกิจการสร้างชาติขึ้นมาใหม่ !!