xs
xsm
sm
md
lg

อนิจจามหาอำนาจซัดกันเป็นทอด ไร้แนวทางรูปธรรมสกัดราคาน้ำมัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ราคาน้ำมันดิบไต่ขึ้นทำนิวไฮ ณ 139.12 ดอลลาร์ ในวันศุกร์ (6) ที่ผ่านมา
เอเอฟพี - ผู้นำประเทศมหาอำนาจของโลกแสดงความกังวลหลังราคาน้ำมันดิบพุ่งทำสถิติวันเดียวกว่า 10 ดอลลาร์ พร้อมโยนความผิดกันเป็นทอดๆ แต่ไม่มีใครแสดงความรับผิดชอบ และไม่มีวี่แววว่าจะมีมาตรการแก้ไขเป็นรูปธรรมออกมา

ฟรานซิส เพอร์ริน บรรณาธิการบริหารนิตยสารรายเดือน อาหรับ ออยล์ แอนด์ แก๊ส กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลของหลายประเทศกำลังถูกประชาชนกดดันให้ทำอะไรสักอย่าง แต่ปัญหาคือโอกาสต่างๆ ถูกปิดกั้นหมดแล้ว ดังนั้น ทางออกของรัฐบาลคือการหาแพะรับบาป

วันศุกร์ที่ผ่านมา (6) ราคาน้ำมันดิบไลต์สวีตครูดของตลาดไนเม็กซ์แห่งนิวยอร์ก ที่แพงขึ้น 5 เท่านับจากปี 2003 ทำสถิติใหม่ด้วยการพุ่งขึ้นวันเดียว 10.75 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 138.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แล้วต่อมาในการซื้อขายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์หลังตลาดปิดก็ยังไต่ขึ้นทำนิวไฮสำหรับการซื้อขายระหว่างวัน ณ 139.12 ดอลลาร์

ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์ของดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดระหว่างวันในวันศุกร์ที่ 138.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะลดลงเล็กน้อยตอนปิดมาอยู่ที่ 137.69 ดอลลาร์ ซึ่งก็เป็นนิวไฮสำหรับราคาปิดอยู่ดี และสูงขึ้นจากปิดวันก่อน 10.15 ดอลลาร์

ปัจจัยที่เชื่อว่า เป็นสาเหตุของการทำนิวไฮครั้งนี้คือการอ่อนตัวของดอลลาร์เมื่อเทียบยูโร รวมถึงการที่รองนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ชาอูล โมฟาซ ขู่โจมตีอิหร่าน

มาวันเสาร์ (7) สหรัฐฯ และ 4 ประเทศมหาอำนาจเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันระหว่างหารือกันที่เมืองเอโอโมริ ฮับอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น

แซม บ็อดแมน รัฐมนตรีพลังงาน กล่าวว่า ช็อกกับราคาน้ำมัน ขณะที่อะกิรา อะมาริ รัฐมนตรีพลังงานญี่ปุ่น เจ้าภาพการประชุม สำทับว่า การทะยานขึ้นของราคาน้ำมันเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ มอร์แกน สแตนลีย์ วาณิชธนกิจยักษ์รายหนึ่งของวอลล์สตรีท คาดหมายว่า ราคาน้ำมันจะขึ้นไปถึงระดับ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในวันที่ 4 กรกฎาคม อันเป็นวันชาติอเมริกัน

ในการประชุมดังกล่าว ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำกล่าวโทษว่า มาตรการประคองราคาน้ำมันในประเทศกำลังพัฒนาเพื่อแบ่งเบาภาระคนจน ทำให้ดีมานด์น้ำมันยังคงพุ่งกระฉูดและหนุนให้ราคาทะยานติดจรวด

จีนและอินเดียยอมรับว่าการยกเลิกมาตรการอุดหนุนเป็นสิ่งที่ดี แต่ปฏิเสธที่จะดำเนินการในทันที เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นภายในประเทศ

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีดมิตทรี เมดเวเดฟของรัสเซีย ก็ได้ไปพูดในกรุงมอสโก กล่าวหาว่าสาเหตุทั้งหมดเนื่องมาจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นต้นตอของวิกฤตการเงินที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้

สอดรับกับ โจเซฟ สติกลิซ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันเจ้าของรางวัลโนเบล ที่กล่าวหาว่าการทำสงครามในอิรักเป็นตัวกระตุ้นวิกฤตการณ์น้ำมันในปัจจุบัน และวิกฤตซับไพรม์ก็เป็นผลพวงของสงครามและราคาน้ำมัน เช่นเดียวกับวิกฤตอาหารอันเนื่องมาจากการบูมของเชื้อเพลิงชีวภาพ จึงเป็นผลจากวิกฤตราคาน้ำมันเช่นเดียวกัน

ด้านสหรัฐฯ นั้นมักโยนความผิดให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่ไม่ยอมผลิตน้ำมันเพิ่ม ขณะที่โอเปกโยนบาปต่อให้นักเก็งกำไร และปัญหาศักยภาพการกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯไม่เพียงพอ ตลอดจนถึงความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์

การประชุมระหว่างสหรัฐฯ กับ 4 ชาติสำคัญของเอเชีย เป็นการนำร่องก่อนหน้าการประชุมรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่ม 8 ชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี 8) เมื่อวานนี้ (8) อันประกอบด้วยอังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น รัสเซีย และสหรัฐฯ โดยที่มีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำมันด้วยเช่นกัน แล้วหลังจากนั้นก็ยังมีการหารือระหว่างจี 8กับจีน,อินเดีย,เกาหลีใต้อีก (ญี่ปุ่นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจี 8 อยู่แล้ว)

อย่างไรก็ตาม เพอร์ริน คาดว่า คงไม่มีมาตรการรูปธรรมใดๆ คลอดออกมาจากการประชุมนี้ หรือแม้กระทั่งการประชุมระหว่างจอร์จ ดับเบิลยู บุช กับยุโรปในการทัวร์อำลาตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในวันนี้ (9)

กระนั้น นักวิเคราะห์ เชื่อว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เนื่องจากปรากฏสัญญาณว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มรับสภาพไม่ได้

สำหรับ เพอร์ริน นั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศอย่างจีนและอินเดียกำลังจะยุติมาตรการพยุงราคาน้ำมัน สะท้อนว่ามาตรการดังกล่าวเริ่มถึงระดับที่รับไม่ได้เช่นกันสำหรับงบประมาณของประเทศเหล่านี้ และหากมีการยกเลิกมาตรการนี้จริง ดีมานด์น้ำมันก็จะลดตามลงอย่างฉับพลัน ฉุดให้ราคาน้ำมันดิบดิ่งตัวลง
กำลังโหลดความคิดเห็น