xs
xsm
sm
md
lg

"องคมนตรี" ติง "ฝ่ายบริหาร" อย่าลุอำนาจอยู่เหนือ กม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

องคมนตรีชี้ ฝ่ายบริหาร "อคติ" ใช้กฎหมายในทางที่ผิด เป็นอันตรายต่อบ้านเมือง แนะทหายต้องอยู่ในศีลธรรม เตือนฝ่ายนิติบัญญัติ ออกกฎหมายกำหนดโทษบางเบา เป็นแค่เสือกระดาษ ด้าน "ชวน" อัดรัฐขาดหลักนิติธรรม พาประเทศสู่วิกฤติ ฝากความหวังกับตุลาการ ช่วยพลิกพื้นประเทศ "จรัญ"แนะผู้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ต้องแยกตัวจากพวกอุ้มชูมิจฉาชีพ ชี้ผู้มีอำนาจทั้ง 3 ฝ่าย ยังทุศีลมัวเมาในอบายมุข

วานนี้ (18 ก.ค.) ที่ สำนักอบรมกฎหมายของเนติบัณฑิต นายธานินทร์ ไกรวิเชียร องคมนตรี บรรยายในหัวข้อ"นักกฎหมายกับอคติ" ต่อเนติบัณฑิตรุ่นที่ 60 ว่า สาเหตุของความผิดพลาดของนักกฏหมายคือ อคติของนักกฏหมายเอง จึงได้มีการเตือนใจนักกฏหมายให้เอาใจใส่ และระมัดระวังไม่ให้อคติก่อให้เกิดปัญหาในการประกอบวิชาชีพ

อคติ คือความลำเอียง ความลำเอียงเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เกิดความไขว้เขว และมองสถานการณ์ผิดเพี้ยนไป เปรียบเสมือนการมองผ่านแว่นตาหลากสีแล้วแต่ตนเองจะมี มนุษย์มีธรรมชาติจะยึดถือเอาความคิดเห็นของตนเองเป็นใหญ่ ทำให้คนเราเลือกรับฟัง เชื่อ ในสิ่งที่ตนเองชอบ ดังนั้นการจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่จะต้องคิดว่าเรามีคติหรือไม่

"เรื่องที่มักจะเกิดขึ้นกับเราเสมอคือ ความคิดที่มักคิดว่า "เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร" แต่ในความเป็นจริงทำให้เสียโอกาส เมื่อเห็นกฏหมายอย่าถือเอาความจำของตัวเองเป็นเกณฑ์ ให้ตรวจสอบให้ดี แม้แต่การอ้างกฏหมายต่อจากผู้อื่นโดยไม่ตรวจสอบเสียก่อนว่ากฏหมายมีการแก้ไขไปแล้ว นักกฏหมายต้องตรวจสอบตลอดเวลา แล้วตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน นักกฏหมายต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นคนเจ้าปัญหา สงสัยทุกเรื่องที่เราพิจารณา"

นายธานินทร์ กล่าวว่า การช่วยของทนายความ ต้องช่วยอยู่ในหลักศีลธรรมอยู่ในกรอบของกกหมาย ไม่ใช่ช่วยไปถึงการทำลายพยานหลักฐาน หรือสร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมา ทนายความยังต้องถือว่าตนเป็นผู้ช่วยศาลในการสร้างความถูกต้องชอบธรรม ไม่ใช่คิดแต่เพียงว่าต้องช่วยจำเลยให้พ้นจากความผิดเท่านั้น บางเรื่องทนายความเอาแต่ใจตัวเอง ถือว่าจะเอาชนะให้ได้ สุดท้ายจึงเกิดความเสียหายต่อลูกความ โดยเฉพาะการมีอคติที่จะเอาชนะให้ได้ เรื่องใดที่จะรอบชอมได้ขอให้รอมชอม อย่าคิดแต่ว่าต้องให้มีคดีความ ทนายต้องช่วยเหลือประชาชนจริงๆ โดยไม่คิดถึงประโยชน์ที่จะได้จากคดีความเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีอคติในตัวอาจารย์สอนกฏหมาย ข้อที่พึงระลึกคือ ต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ต้องเอาใจใสนักศึกษาโดยถ้วนหน้ากัน โดยอาจารย์ต้องเอาใจใส่ช่วยนักศึกษาตลอดเวลา และไม่ควรดูแคลนลูกศิษย์แต่ควรเสนอแนะให้กำลังใจ ให้นักศึกษาผ่านการเรียนไปได้ด้วยดี

นายธานินทร์ ยังกล่าวว่า ความอคติ ยังมีอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติด้วย กรณีการกำหนดบทโทษที่มีความรุนแรงเกินไป โดยไม่พิจารณาว่าความยุติธรรมไม่ใช่อันเดียวกันหมด แต่ควรให้ศาลมีโอกาสใช้ดุลยพินิจโดยกำหนดโทษตามความเหมาะสม โทษที่กำหนดควรได้สัดส่วนกับความผิด ฝ่ายนิติบัญญัติกำหนดบทบลงโทษตัวเองไว้เพียงแผ่วเบามาก เพียงตำหนิ ตักเตือน หรือประฌามเท่านั้น เพราะเกรงว่าตนเองอาจมีโอกาสรับโทษจากกฏหมายของตัวเอง การระบุโทษไว้อย่างแผ่วเบาเช่นนี้จึงเหมือนกับการเล่นขายของและเป็นเสือกระดาษ หากฝ่ายนิติบัญญัติยังไม่ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม อย่างไรก็ดีรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 ในมาตรา 179 (2) ที่กำหนดให้ประมวลจริยธรรมโดยให้มีกลไกในการกำหนดบทบลงโทษที่เหมาะสมมากขึ้น

"ส่วนอคติของฝ่ายบริหาร ถือเป็นอันตรายอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเคยมีพระราชดำรัสใจความว่า หากนำกฏหมายไปใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือเจตนารมย์โดยการพลิกแพลงบิดพลิ้วให้ผันผวนไปในทางที่ผิด จะเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง หากผู้บริหารไม่ว่าระดับใด จะลุแก่อำนาจ ทำอะไรอยู่เหนือกฏหมาย ภัยที่เกิดจากเจ้าพนักงานลุแก่อำนาจ เช่นการขู่ฆ่า การฆ่าตัดตอน การวิสามัญฆาตกรรมโดยอ้างสิ่งที่ชอบ หรือแม้แต่การยัดเยียดขอกล่าวหา การสร้างพยานหลักฐานเท็จ เป็นความร้ายแรงอย่างที่สุด โดยจะสร้างความเสียหายเดือดร้อนต่อประชาชน ถือเป็นภัยอันตรายที่ร้ายแรงที่สุด เจ้าพนักงานทั้งหลายไม่ควรลุกแก่อำนาจ แต่พึงระลึกเสมอว่าอำนาจที่มีอยู่เป็นอำนาจตามกฏหมายที่มาพร้อมกับหน้าที่ที่ต้องคำนึงพึงผลที่จะตามมา ส่วนหากผู้ใต้บังคับบัญชาจะอ้างว่ากระทำผิดตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา การจะอ้างได้เช่นนี้ ผู้บังคับบัญชาจะต้องออกคำสั่งที่อยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง"

ด้าน นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี บรรยายในหัวข้อ "บทบาทของนักกฏหมายในระบอบประชาธิปไตย"ว่า วิกฤตในบ้านเมืองที่เกิดขึ้นจากการขาดการปกครองด้วยหลักนิติธรรม บทบาทของนักกฏหมายในระบอบประชาธิปไตยคือการยึดมั่นในหลักนิติธรรม เราไม่สามารถทำให้คนทุกคนร่ำรวยเหมือนกันหมดทุกคน แต่ทำให้คนทุกคนอยู่ภายใต้หลักกฏหมายเดียวกันทั้งหมดอย่างเท่าเทียมกันได้ โดยหลักการปกครองที่ยุติธรรมหรือฝ่ายเลือกตั้งมาจากความยุติธรรม เสียงข้างมากของรัฐบาลย่อมได้รับความชอบธรรมที่มาของกระแสพระระราชดำรัส"วิกฤติที่สุดในโลก" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงพระราชทานต่อตุลาการ

"การปกครองด้วยหลักนิติธรรมจะช่วยลดความรุนแรงและการใช้กฏหมู่ในการแก้ไขปัญหา เมื่อทุกฝ่ายอยู่ภายใต้กฏหมายอย่างเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติหรือการใช้อภิสิทธิ์จะน้อยลง หลักนิติธรรม ยังมีส่วนสร้างระบบการบริหารบ้านเมืองที่ดี วิกฤติที่สุดในโลก ไม่ใช่ความผิดของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 วิกฤติเกิดขึ้นจากผู้บริหารที่ไม่ได้ยึดหลักนิติธรรม หลักนิติธรรมไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ในรัฐธรรมนญ ผู้บริหารประเทศต้องปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่ได้รับการปฏิบัติ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 จึงต้องเพิ่มวรรคสอง ของมาตรา 3 ที่ระบุว่าฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ องค์กรอิสระ ต้องบริหารโดยใช้หลักนิติธรรม" นายชวนกล่าว

นายชวน กล่าวต่อว่า มีผู้วิพากษ์วิจารณ์บทบาทของตุลาการอย่างมาก เพราะบทบาทของตุลาการคือการวินิจฉัยฝ่ายบริหาร และข้าราชการซึ่งจะมีส่วนทำให้บ้านเมืองออกจากวิกฤติ หรือเข้าสู่วิกฤติ ศาลเป็นความหวังที่จะพลิกสถานการณ์ของบ้านเมืองให้กลับคืนมา วันนี้คนหวังว่าศาลจะชี้ถูกเป็นถูก ชี้ผิดเป็นผิด ไม่ใช่เกรงใจ และไม่กลัว หากกลไกตรวจสอบคือตุลาการ องค์กรอิสระ และสื่อสารมวลชน ทำงาน จะช่วยให้หลักนิติธรรมเกิดขึ้นได้

ปัญหาของระบบการเมืองในขณะนี้คือ ความไม่ชอบธรรมที่ได้มาโดยการอ้างความชอบธรรม เช่น การซื้อสิทธิขายเสียงที่ทำให้การเมืองเลวลง ประชาชนจะต้องไม่ยอมรับที่มาเช่นนี้ และหาทางแก้ปัญหา เมื่อกลไกจัดการเลือกตั้งโดยกระทรวงมหาดไทยไม่ได้รับความเชื่อถือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จึงเกิดขึ้น อำนาจขององค์กรอิสระเกิดขึ้นเพื่อเสริมความเข้มแข็งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แม้องค์กรเหล่านี้จะมีอำนาจตุลาการบางส่วนอยู่ในมือที่สามารถตัดสินให้ได้ข้อยุติในบางเรื่องได้

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยมักไม่ได้อยู่ในอำนาจยั่งยืน ซึ่งกระทบต่อการแก้ไขปัญหาของประชาชน ขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์ มีความยั่งยืนและอยู่คู่กับเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ปัญหาภาคใต้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาอย่างยาวโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นสิ่งที่ยั่งยืน ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้เกิดจากความไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ และไม่เข้าใจหลักการปกครองโดยหลักนิติธรรม ความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยไม่ใช้หลักนิติธรรมหากไม่มีสถาบันกษัตริย์ ยึดโยงไว้ปัญหาคงรุนแรงไปมากกว่านี้

ผู้มีอำนาจยังทุศีล มัวเมาในอบายมุข

นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บรรยายในหัวข้อ"เนติบัณฑิตกับทางชีวิตที่ปลอดภัย"ว่า วิชาชีพกฎหมายเป็นเสาหลักต้นหนึ่งที่ค้ำสังคมไทยไว้ หากขาดเสาต้นนี้ สังคมจะเป็นอนาธิปไตย เรายึดมั่นในประชาธิปไตย แต่ต้องไม่ใช่ได้มาด้วยการทุจริตซื้อเสียง จะต้องเป็นประชาธิปไตยจากคนที่เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาธิปไตยจึงจะอยู่ในกำมือประชาชน

"ไม่ใช่ของเจ้าของเงิน ที่หว่านเศษเงินไปซื้อมาจากผู้ที่ขายขาดอำนาจประชาธิปไตย ในด้านเศรษฐกิจ เราจะยืนยันจะใช้เศรษฐกิจเสรีนิยมไม่ใช่สังคมนิยมของคอมมิวนิสต์"

ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมรับทุนนิยมสุดโต่ง อย่างที่ถูกนักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ทุนนิยมสามานย์ ที่แยกแยะทุนสร้างสรรค์ออกจากทุนสามานย์ ที่เอาแต่ตักตวงกอบโกย

ถ้าเรายึดมั่นในจริยธรรม และศีลธรรม ก็จะแปรสภาพจากนักกฎหมาย เป็นนักยุติธรรม ภารกิจของเราขับเคลื่อนไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่ประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือเพื่อพรรคใดพรรคหนึ่ง ขอให้เนติบัณฑิต ดำเนินชีวิตที่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ การเจ็บป่วย การเสื่อมลาภ เสื่อมเสียเกียรติยศ ชื่อเสียง จึงขอให้มั่นคงอยู่ในศีล 5 ลดละอบายมุข

"ขณะนี้คน 3 ฝ่าย ที่อยู่ในอำนาจอธิปไตย ยังทุศีล มัวเมาในอบายมุข ตัวเองเป็นผีพนันไม่พอ ยังจะเปิดบ่อนเสรี ชักชวนคนไทยไปเป็นผีพนันด้วย เพียงเพราะเห็นแก่เม็ดเงิน คนที่เป็นนักเลงเหล้า ก็จะมองเห็นแต่ประโยชน์ที่ได้จากกิจการ และภาษีนำเข้าเหล้า และค่าโฆษณาจากสุรา แต่มองไม่เห็นหายนะที่เกิดขึ้นกับประชาชน"

คนพวกนี้จะห้ามลูกหลานไม่ให้ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แต่ส่งเสริมประชาชนให้ดื่มสุรา สูบบุหรี่ เขาไม่รักประชาชน เหมือนลูกหลานตัวเอง ผีตัวที่ 3 เป็นผีจอมเจ้าชู้ ซึ่งอันตรายมาก ทั้งแก่ตัวเอง และบุคคลอันเป็นที่รัก ผีตัวที่ 4 คือ พวกอุ้มชูมิจฉาชีพ โดยมิจฉาชีพไม่ได้จำกัดอยู่ที่คนชั้นต่ำ แต่อาจเป็นรัฐมนตรี ส.ส. อธิบดี ทนายความ ผู้พิพากษา ผีตัวนี้ไม่เลือกอาชีพ แต่จะฝังอยู่ในกมลสันดาน ใครพบเจอต้องแยกตัวออกมาให้ห่าง
กำลังโหลดความคิดเห็น