xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ สมัคร ท่านยังเห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด... เรื่อยไป

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

ว่าจะไม่กล่าวถึง แต่บังเอิญ ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ท่านได้ยก อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ขึ้นมาอธิบายว่าสาเหตุที่รัฐบาลมีทุกข์ พรรคพลังประชาชนมีทุกข์ และบริหารประเทศไม่ได้ เพราะมีเหตุ คือ รัฐธรรมนูญ ดังนั้น รัฐบาลจะต้องแก้รัฐธรรมนูญ นี่คือ ความเห็นผิดของ ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช เป็นการอธิบายเข้าข้างตนเอง คิดเอาแต่ได้ และเป็นมิจฉาทิฐิอย่างแรงกล้า จะพาชาติให้ล่มจมอย่างไม่ต้องสงสัย ป. เพชรอริยะ จะอธิบายเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ดังนี้

ขอย้ำว่า ผู้รักชาติอย่างมีปัญญา พึงพิจารณากฎอิทัปปัจจยตานี้ดู เผื่อว่าท่านจะได้มีแรงบันดาลใจให้คิดใหม่ทำใหม่ แก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ถูกต้องโดยธรรมเสียที กฎนี้เป็นหลัก หรือเป็นตัวตั้งหรือเป็นกฎทั่วไป (General Law) หมายความว่ากฎนี้ครอบคลุมเหตุปัจจัยอื่นทั้งหมดทั้งปวงที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด

อิทัปปัจจยตา มาจากคำว่า “อิทะ” แปลว่า นี้, “ปัจจยตา” แปลว่า ความเป็นปัจจัย, ความที่มีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น

มีคำที่จะต้องทำความเข้าใจได้แก่ คำว่าเหตุ (Cause) สิ่งที่ให้เกิดผล (Effect) โดยตรง หรือหมายถึงต้นเหตุโดยตรงของสิ่งนั้น (ผล) และถ้าเป็นเหตุโดยอ้อม หรือมีตัวแปรหลายๆ ตัวมาประชุมกัน เรียกว่า “ปัจจัย” (factor) แปลว่า เครื่องก่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ออกมา หรือสะสมขึ้นมาอย่างครบถ้วน, ปะจะยะ เรียกว่า ปัจจัย แปลว่า สะสมขึ้นมาอย่างครบถ้วนเพื่อเกิดสิ่งใหม่ ได้แก่การปรุงแต่ง, นี้เรียกว่าปัจจัยมันปรุงแต่ง เช่น เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ ขบวนการผลิต สี ฯลฯ ประกอบกันขึ้น แล้วก็เกิดเป็นสิ่งใหม่เป็นรถยนต์ นี่เป็นความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัย

กฎอิทัปปัจจยตานี้ เป็นกฎที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ดำรงอยู่อย่างธรรมดา เป็นเช่นนั้นเอง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุอันนั้น พระองค์ทรงตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น ง่ายต่อการเข้าใจ มีแสดงในพระไตรปิฎกเล่มที่ 29 ข้อที่ 865 มีใจความว่า

อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี หรือ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น

อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น หรือเพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น

อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี หรือเมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นก็ไม่มี

อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ หรือเพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นก็ดับ

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ กฎอิทัปปัจจยตา และเป็นเหตุให้พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญู และทรงบัญญัติคำสอนทั้งหมดเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัยของกฎธรรมชาติ และเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยของมนุษย์ก็ตาม ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากกฎอิทัปปัจจยตานี้ได้

กฎอิทัปปัจจยตา คือลักษณะความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยระหว่างเหตุและผล ในลักษณะกุศล ก้าวหน้า ลักษณะเป็นกลางๆ และลักษณะอกุศล เสื่อม มีลักษณะคล้ายกับฟันเฟืองเครื่องจักร หรือเหมือนกับแม่สี 3 สีผสมกันเรื่อยไปอย่างไม่รู้จบสิ้น ถ้าปัจจัยเหตุดี ปัจจัยผลก็จะดี แต่ถ้าปัจจัยเหตุเลว ปัจจัยผลก็จะเลวตามไปด้วย ซึ่งต่างก็รู้กันโดยทั่วไปว่า “กฎแห่งกรรม” ดังนี้

พระพุทธเจ้า ตรัสอธิบายเหตุปัจจัยทางจิตของมนุษย์ พระองค์ทรงเรียกว่า กฎปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจะ แปลว่า อาศัย สมุปบาท แปลว่า เกิดขึ้นครบถ้วน) พระพุทธเจ้าตรัสว่า “กล่าวคือเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมี วิญญาณ ฯลฯ ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้”

สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ของแผ่นดิน คือ

เพราะผู้ปกครองไทยหลายรุ่นแล้วมิจฉาทิฐิ จึงไม่มีหลักการปกครอง (Principle of Government)

เพราะไม่มีหลักการปกครอง จึงทำให้รัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ

เพราะรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ จึงทำให้รัฐบาลมิจฉาทิฐิ

เพราะรัฐบาลมิจฉาทิฐิ จึงทำให้การปกครองมิจฉาทิฐิ

เพราะการปกครองมิจฉาทิฐิ จึงทำให้ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ ปั่นป่วน อ่อนแอ พินาศกันไปหมด ซึ่งท่านทั้งหลายได้ประจักษ์ชัดกันอยู่แล้ว

นอกจากนี้ อริยสัจ 4 กล่าวคือ ทุกข์ เป็นผล, สมุทัย เป็นเหตุ, นิโรธ เป็นผล, มรรค เป็นเหตุ ดังนี้ ส่วน มรรคมีองค์ 8 ทางแห่งปัญญาอันยิ่ง เพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ กล่าวคือ

เพราะสัมมาทิฐิ ความเห็นถูก เป็นเหตุ สัมมาสังกัปปะ การคิดถูกเป็นผล

เพราะสัมมาสังกัปปะ การคิดถูกเป็นเหตุ สัมมาวาจา การพูดถูกเป็นผล

เพราะสัมมาวาจา การพูดถูกเป็นเหตุ สัมมากัมมันตะ การทำถูกเป็นผล

เพราะสัมมากัมมันตะ การทำถูกเป็นเหตุ สัมมาอาชีวะ การมีอาชีพถูกเป็นผล

เพราะสัมมาอาชีวะ การมีอาชีพถูกเป็นเหตุ สัมมาวายามะ การมีความเพียรถูกเป็นผล

เพราะสัมมาวายามะ การมีความเพียรเป็นเหตุ สัมมาสติ การมีสติถูกเป็นผล

เพราะสัมมาสติ การมีสติถูกเป็นเหตุ สัมมาสมาธิ การมีสมาธิเป็นผล...จนกระทั่งบรรลุเข้าสู่ สัมมาญาณ คือมีปัญญาอย่างถูกต้อง และสัมมาวิมุตติคือการหลุดพ้นอย่างถูกต้อง ในที่สุด

เมื่อจะคิดแก้เหตุแห่งวิกฤตชาติ ต้องสืบสาวไปหาเหตุ ก็คือ ต้องมีคณะผู้ปกครองมีปัญญา แล้วร่วมมือผลักดัน จนกว่าพระเจ้าแผ่นดิน จะทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม เมื่อพระองค์ทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม สำเร็จลุล่วงโดยดีแล้ว จากนั้นจึงปรับปรุงรัฐธรรมนูญให้ถูกต้องสอดคล้องกับหลักการปกครองโดยธรรม เพียงเท่านี้เหตุแห่งวิกฤตชาติ ก็จะหมดสิ้นไป

เพราะมีคณะผู้ปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้มีการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม

เพราะมีหลักการปกปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้มีรัฐธรรมนูญโดยธรรม

เพราะรัฐธรรมนูญโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้รัฐบาลโดยธรรม

เพราะรัฐบาลโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้มีการปกครองโดยธรรม

เพราะการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้มีระบบเศรษฐกิจโดยธรรม

เพราะระบบเศรษฐกิจโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดขับเคลื่อนไปในแนวทางที่ถูกต้องโดยธรรมด้วยอย่างเป็นไปเอง

อีกนัยหนึ่งเป็นแนวทางสัมมาทิฐิหรือก้าวหน้า

เพราะมีหลักการปกปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้มีรัฐธรรมนูญโดยธรรม

เพราะรัฐธรรมนูญโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้รัฐบาลโดยธรรม

เพราะรัฐบาลโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้มีการปกครองโดยธรรม ...ย่อมเป็นปัจจัยให้กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว บุคคล หรือส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดดำเนินไป ขับเคลื่อนไปในแนวทางที่ถูกต้องโดยธรรมด้วยอย่างเป็นไปเอง

ขอยืนยันว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา ไม่มีสิ่งใดหลุดพ้นไปจากกฎธรรมชาติ นี้ได้ เพียงแต่เราจะเลือกให้ดำเนินไปในทางกุศล อันเป็นทางที่ดำเนินไปอย่างเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า หรือจะปล่อยให้ดำเนินไปในทางอกุศล อันเป็นแนวทางจะทำให้ประเทศไทยเสื่อมถอยลงๆ เกิดโกลาหล ตกอยู่ในความอัปยศอดสู มาอย่างยาวนานร่วม 76 ปีแล้ว ให้ยาวต่อไปอีกเช่นนั้นหรือไร

เราขอย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาล คิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการหลงทาง นำประเทศชาติและประชาชนไปสู่นรก ซ้ำรอยเดิมให้หนักลงไปอีก จงคิดไตร่ตรองให้จงหนัก

ใคร? คณะใด พรรคใด ทำถูกโดยวิถีธรรม เป็นแนวทางสัมมาทิฐิ คือ การผลักดันสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
(อธิบายให้ทราบหลายตอนแล้ว) ก็คือการสร้างระบอบโดยธรรมขึ้นมาก่อนนั่นเอง จากนั้นจึงดำเนินการปรับปรุงรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง เพียงเท่านี้ ก็จะเป็นการสร้างระบอบการเมืองการปกครองโดยธรรมอย่างแท้จริง ผู้เปลี่ยนจากแนวทางนรก ตกเหว ไปเป็นแนวทางสัมมาทิฐิที่สร้างสรรค์และก้าวหน้า มั่นคง ยิ่งกว่าประเทศอื่นใดในโลกย่อมเป็นรัฐบุรุษ

จึงขอแนะนำย้ำสอน ให้พิจารณาอย่างแยบคาย เปลี่ยนมาเป็นการสร้างหรือสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม นั่นก็คือการสร้างระบอบโดยธรรมขึ้นมาก่อนเป็นรูปธรรมให้ประชาชนสัมผัสได้และได้ประจักษ์ใจในคุณค่าของระบอบโดยธรรม
จากนั้นจึงไปปรับปรุงรัฐธรรมนูญ

ถ้าผู้นำสูงสุด ไม่สามารถทำได้ตามที่แนะนำนี้แล้วไซร้ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็เตรียมใจกันได้เลยว่าประเทศไทยจะมีแต่ความปั่นป่วนตลอดไป ทั้งถูกทำลายและสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองได้สืบทอดแนวทางมิจฉาทิฐิเรื่อยมา นั่นเอง ประชาชนทนได้หรือ...เราทนไม่ได้จึงคิดแก้ไขด้วยปัญญา
กำลังโหลดความคิดเห็น