ผู้จัดการรายวัน - รมว.อุตสาหกรรม สนับสนุนบริษัทที่ได้รับบีโอไอเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย แย้มบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่สนทำดูอัลลิสต์ติ้ง ด้าน "ปกรณ์" แนะเอกชนลุยระดมทุน แม้ภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อ แต่ได้ประโยชน์ด้านสิทธิทางภาษี พร้อมมั่นใจ 2 ปีนี้ หุ้นน้องใหม่เข้าไม่ต่ำกว่า 60 บริษัทแน่นอน ขณะที่ตั้งแต่ต้นปี 51 เอกชนจดทะเบียนแล้ว 10 ราย มูลค่าระดมทุนกว่า 1.67 หมื่นล้านบาท
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และในฐานะประธานสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึง กรณีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เสนอให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและบีโอไอสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าว และจะชักชวนให้บริษัทที่ได้รับบีโอไอเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้หารือกับบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมบีโอไอบ้างแล้ว
ขณะนี้มีบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในต่างประเทศและได้รับบีโอไอจากสำนักงานคณะกรรมการการลงทุนสนใจที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะเข้ามาจดทะเบียนในลักษณะจดทะเบียน 2 ตลาด (ดูอัลลิสต์ติ้ง) ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจฮาร์ดแวร์ และชิ้นส่วนรถยนต์
"การสนับสนุนให้บริษัทที่ได้รับบีโอไอเข้าจดทะเบียนนั้นจะเป็นลักษณะการชักจูงเชิญชวน ยังไม่ใช่เงื่อนไขที่จะต้องบังคับ ยกเว้นจะมีการขยายการส่งเสริมการลงทุน และอาจจะเป็นอุตสาหกรรมบางประเภท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา"
นายสุวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้บีโอไอปรับปรุงหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตอบสนองความต้องการของประเทศ และป้องกันไม่ให้สิทธิกับบริษัทที่ต้องการหลบเลี่ยงภาษีเพียงอย่างเดียว
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทที่มีแผนเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการเลื่อนการเข้าจดทะเบียน แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ค่อยดี จนทำให้ราคาหุ้นของบริษัทบางแห่งอาจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เพราะหากบริษัทยิ่งเข้าจดทะเบียนเร็วเท่าไรก็จะได้รับประโยชน์ทางด้านภาษีเร็วเท่านั้น
"บริษัทที่เข้าจดทะเบียนแล้วจะทำให้เป็นที่รู้จักของนักลงทุน โดยส่วนตัวมั่นใจว่าปีนี้จะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ตามเป้าหมายที่ 37 บริษัท แบ่งเป็นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 25 บริษัท ตลาดเอ็มเอไอ 12 บริษัท และเชื่อว่าบริษัทเข้าจดทะเบียนในปีนี้และปีหน้ารวมแล้วไม่ต่ำกว่า 60 บริษัท"
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีบริษัทเข้าจะทะเบียนในตลาดหุ้นไทยแล้วจำนวน 7 บริษัท มูลค่าระดมทุนรวมกว่า 16,780 ล้านบาท ประกอบด้วย LHK มูลค่าระดมทุน 220 ล้านบาท ESSO มูลค่าระดมทุน 9,304 ล้านบาท SABINA มูลค่าระดมทุน 336 ล้านบาท TTW มูลค่าระดมทุน 2,940 ล้านบาท PM มูลค่าระดมทุน 465 ล้านบาท AS มูลค่าระดมทุน 900 ล้านบาท และ SGP มูลค่าระดมทุน 2,240 ล้านบาท (เฉพาะหุ้นสามัญเพิ่มทุน ไม่รวมหุ้นสามัญเดิม)
ส่วนบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ จำนวน 3 บริษัท คือ บริษัท DIMET มูลค่าระดมทุน 40 ล้านบาท บริษัท CRANE มูลค่าระดมทุน 280 ล้านบาท และบริษัท BSM มูลค่าระดมทุน 55 ล้านบาท
***ลุ้นTKSเทรดวันแรก
สำหรับวันนี้ (16 มิ.ย.)บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ SYNEX เข้าซื้อขายหุ้นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งบริษัทเสนอขายเพิ่มทุนครั้งนี้จำนวน 180 ล้านบาทมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 1 บาท ราคาหุ้นละ 2.90 บาท แบ่งเป็น เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป 123 ล้านหุ้น และอีก 57 ล้านหุ้น เสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัท ที.เค.เอส เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)หรือ TKS ทำให้ได้เงินระดมทุนครั้งนี้รวม 552 ล้านบาท
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และในฐานะประธานสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึง กรณีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เสนอให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและบีโอไอสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าว และจะชักชวนให้บริษัทที่ได้รับบีโอไอเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้หารือกับบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมบีโอไอบ้างแล้ว
ขณะนี้มีบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในต่างประเทศและได้รับบีโอไอจากสำนักงานคณะกรรมการการลงทุนสนใจที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะเข้ามาจดทะเบียนในลักษณะจดทะเบียน 2 ตลาด (ดูอัลลิสต์ติ้ง) ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจฮาร์ดแวร์ และชิ้นส่วนรถยนต์
"การสนับสนุนให้บริษัทที่ได้รับบีโอไอเข้าจดทะเบียนนั้นจะเป็นลักษณะการชักจูงเชิญชวน ยังไม่ใช่เงื่อนไขที่จะต้องบังคับ ยกเว้นจะมีการขยายการส่งเสริมการลงทุน และอาจจะเป็นอุตสาหกรรมบางประเภท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา"
นายสุวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้บีโอไอปรับปรุงหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตอบสนองความต้องการของประเทศ และป้องกันไม่ให้สิทธิกับบริษัทที่ต้องการหลบเลี่ยงภาษีเพียงอย่างเดียว
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทที่มีแผนเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการเลื่อนการเข้าจดทะเบียน แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ค่อยดี จนทำให้ราคาหุ้นของบริษัทบางแห่งอาจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เพราะหากบริษัทยิ่งเข้าจดทะเบียนเร็วเท่าไรก็จะได้รับประโยชน์ทางด้านภาษีเร็วเท่านั้น
"บริษัทที่เข้าจดทะเบียนแล้วจะทำให้เป็นที่รู้จักของนักลงทุน โดยส่วนตัวมั่นใจว่าปีนี้จะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ตามเป้าหมายที่ 37 บริษัท แบ่งเป็นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 25 บริษัท ตลาดเอ็มเอไอ 12 บริษัท และเชื่อว่าบริษัทเข้าจดทะเบียนในปีนี้และปีหน้ารวมแล้วไม่ต่ำกว่า 60 บริษัท"
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีบริษัทเข้าจะทะเบียนในตลาดหุ้นไทยแล้วจำนวน 7 บริษัท มูลค่าระดมทุนรวมกว่า 16,780 ล้านบาท ประกอบด้วย LHK มูลค่าระดมทุน 220 ล้านบาท ESSO มูลค่าระดมทุน 9,304 ล้านบาท SABINA มูลค่าระดมทุน 336 ล้านบาท TTW มูลค่าระดมทุน 2,940 ล้านบาท PM มูลค่าระดมทุน 465 ล้านบาท AS มูลค่าระดมทุน 900 ล้านบาท และ SGP มูลค่าระดมทุน 2,240 ล้านบาท (เฉพาะหุ้นสามัญเพิ่มทุน ไม่รวมหุ้นสามัญเดิม)
ส่วนบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ จำนวน 3 บริษัท คือ บริษัท DIMET มูลค่าระดมทุน 40 ล้านบาท บริษัท CRANE มูลค่าระดมทุน 280 ล้านบาท และบริษัท BSM มูลค่าระดมทุน 55 ล้านบาท
***ลุ้นTKSเทรดวันแรก
สำหรับวันนี้ (16 มิ.ย.)บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ SYNEX เข้าซื้อขายหุ้นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งบริษัทเสนอขายเพิ่มทุนครั้งนี้จำนวน 180 ล้านบาทมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 1 บาท ราคาหุ้นละ 2.90 บาท แบ่งเป็น เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป 123 ล้านหุ้น และอีก 57 ล้านหุ้น เสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัท ที.เค.เอส เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)หรือ TKS ทำให้ได้เงินระดมทุนครั้งนี้รวม 552 ล้านบาท
