ผู้จัดการรายวัน - "สุริยะใส" เผยมีข้อมูลเตรียมทหารรุ่น 10 เตรียมปฏิวัติตัวเองช่วย"แม้ว"พ้นผิด หลังคดีเริ่มขึ้นสู่ศาล เหลือยึดอำนาจเป็นทางรอดเดียว คาดล้างบางกองทัพครั้งใหญ่ ต.ค.นี้ ปูทางรัฐประหารตัวเอง แนะจับตาอัยการสูงสุด ซัดฟื้น "พีทีวี" หวังปกป้อง "ระบอบทักษิณ" ทั้งๆ ที่ขัด รธน.ชัดเจน พร้อมแจง "การเมืองใหม่" ไร้วาระซ่อนเร้น ยันเกิดขึ้นเพราะเป็นการเมืองที่ถูกชี้นำด้วยคุณธรรม และความถูกต้อง "พล.ต.จำลอง" ขอนักการเมืองเปิดใจกว้างรับฟังพิมพ์เขียวการเมืองใหม่ ยันแค่แนวคิดต้องช่วยกันขัดเกลาเพิ่ม "สมเกียรติ-สมศักดิ์" สับ "หมัก" บังอาจก้าวล่วงศาล ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลอย่างชัดเจน พันธมิตรฯเป่านกหวีดนัดชุมนุมหน้า สตช.วันนี้ "สนธิ" เตรียมลากไส้บิ๊กตำรวจใหญ่ตั้งแต่ระดับยศ "พ.ต.ท.- พล.ต.อ." ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้นักการเมือง พร้อมขอฉันทามติประชาชนเช็คบิลให้สิ้นซาก
เมื่อเวลา 18.00 น.วานนี้ (6ก.ค.) ที่หลังเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้าทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ แถลงว่า ขณะนี้มีข้อมูลว่ามีความพยายามที่จะปฏิวัติตัวเองโดยกลุ่มเตรียมทหารรุ่น 10 เพื่อที่จะช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้พ้นจากคดีความทั้งหมด เนื่องจากขณะนี้คดีต่างๆ ที่ค้างอยู่ในศาลเริ่มที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณา การปฏิวัติตัวเองจึงเป็นทางรอดเดียวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตนอยากให้จับตามองกระบวนการยุติธรรมที่มีความพยายามแทรกแซง โดยเฉพาะสำนักงานอัยการสูงสุด ที่มีข่าวว่า มีความพยายามยื่นข้อเสนอเป็นเงินหลายร้อยล้านบาทเพื่อไม่ให้ยื่นฟ้องคดีต่างๆ นอกจากนี้ ขอให้จับตาดูการแต่งตั้งโยกย้ายเหล่าทัพในช่วงเดือน ต.ค.นี้ เพราะจะมีการล้างบางฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อวางแนวทางในการรัฐประหารตัวเอง
"ในช่วง 3 เดือนต่อไปนี้รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นอกจากหาทางช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ รัฐบาลจึงจะต้องทนอยู่ไปให้ได้จนถึงช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี เพื่อกวาดล้างคนที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณไปให้หมด และจะเห็นได้ว่ารัฐบาลไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอีกแล้ว พยายามที่จะจุดชนวนความขัดแย้งให้เกิดขึ้น อย่างกรณีของพีทีวี ที่รัฐบาลเองไม่จำเป็นต้องปลุกขึ้นมาอีก เพราะรัฐบาลไม่มีปัญหาในเรื่องการสื่อสารกับประชาชน ซึ่งสื่อในมือรัฐบาลเองก็มีมากมาย ก็ไม่เข้าใจว่าสื่อในมือมีไม่เพียงพอต่อการชี้แจงประชาชน หรือต้องการที่จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดการเผชิญหน้าในสังคมจนเกิดการปฏิวัติตัวเอง"นายสุริยะใส กล่าว
**"สุริยะใส"ซัดฟื้นPTVหวังป้องระบอบแม้ว
ก่อนหน้านี้ นายสุริยะใส กล่าวว่า ถ้าจะฟื้นพีทีวี ขึ้นมา ก็ขอให้ทำเนื้อหาของข่าวสารมาแข่งขันกัน โดยมาสู้กันที่คุณภาพ ที่สำคัญเอเอสทีวี จวนเจียนจะปิดตัวลงหลายครั้ง แต่ด้วยแรงศรัทธาของประชาชนที่มีพลังมหาศาล จึงปลุกให้เอเอสทีวี คืนชีพขึ้นมายืนอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้น พีทีวี จึงไม่มีทางที่จะเป็นสื่อแท้ เพราะเป็นสื่อการเมืองชัดเจน โดยจะเห็นได้จากการเปิดตัวเมื่อเกิดวิกฤตทางการเมือง และไม่เข้าใจว่าแกนนำ นปก.จึงเป็นถึง ส.ส.และเป็นรัฐมนตรี ฉะนั้น เจตนารมณ์จึงชัดเจนว่าต้องการปกป้องระบอบทักษิณเท่านั้นเอง โดยไม่สนใจว่ารัฐธรรมนูญเปิดช่องหรือไม่ เพราะกฎหมายมาตรา 48 เขียนไว้ชัดเจนว่า ห้ามนักการเมืองถือหุ้นในกิจการสื่อ ไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือทางอ้อม รวมทั้งไม่สามารถใช้นอมินี หรือร่างทรง ไม่สามารถทำได้
ดังนั้น จึงอยากให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ กลับไปเปิดดูกฎหมายว่าสามารถที่จะฟื้นพีทีวี ได้หรือไม่ หรือแม้กระทั่งสื่อโทรทัศน์บางช่อง และสื่อวิทยุบางคลื่นเริ่มจงใจบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอย่างชัดเจน โดยตนโดนเข้ากับตัวเอง คือ มีการติดต่อขอสัมภาษณ์ตนเข้ามาเรื่องการชุมนุม แต่มีการต่อสายโทรศัพท์คุยกับแม่ค้า เด็กนักเรียน และผู้ปกครอง รวม 4 คน กรณีคำสั่งศาลแพ่ง ซึ่งทั้ง 4 คนให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่ากลุ่มพันธมิตรฯ สร้างความวุ่นวายให้กับสังคม ตนจึงต่อว่าพิธีกรไปว่า ถ้าตนนอนหลับแล้วไม่ได้เข้าสายในรายการนี้ คนทั่วไปก็จะเข้าใจว่าเราเป็นอาชญากรแผ่นดิน ที่สำคัญคือเขาไม่ไปสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมชุมนุมว่ามีเหตุผลอะไรถึงได้เข้าร่วมชุมนุม ซึ่งถือเป็นสมดุลข่าวสาร แต่กลับไม่ทำ
**ชี้ชัด พปช.-ตร.บิดเบือนคำสั่งศาล
ส่วนกรณีที่หลายคนถามว่าเมื่อไหร่การชุมนุมขับไล่รัฐบาลจะจบสิ้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ขณะนี้ตุลาการภิวัฒน์เริ่มทำงาน โดยวันจันทร์นี้จะเดินทางไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอาจจะต้องไปอัยการสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทวงถามถึงความคืบหน้าของแต่ละคดีความ เพราะยังไม่มีหนังสือชี้แจงออกมา โดยยุทธศาสตร์ดาวกระจายในสัปดาห์หน้าจะเข้มข้นขึ้น และมั่นใจว่าการชุมนุมในขณะนี้ อย่างน้อยก็เป็นภูมิคุ้มกันให้กับกระบวนการยุติธรรม และไม่ให้อำนาจทางการเมืองแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้
"เราใจกว้างพอ เพราะเราเคารพคำสั่งของศาลแพ่ง ที่สำคัญทำเนียบรัฐบาลมี 4 ด้าน ถ้าเขาบอกว่าเรารบกวน เราก็จะไปชุมนุมในด้านที่ไม่รบกวน ซึ่งคงต้องรอสักระยะ เพราะในวันจันทร์นี้ จะมีหลักปฏิบัติที่ชัดเจนทั้งฝ่ายนักเรียน ฝ่าย ขสมก. และฝ่ายผู้ชุมนุม ที่สำคัญตำรวจ และพรรคพลังประชาชนพยายามบิดเบือนคำสั่งศาลว่าให้เปิดถนน 24 ชั่วโมง ซึ่งผมไปเปิดดูคำสั่งศาล 2 หน้า ไม่มีบรรทัดใดเลยที่ระบุว่าให้เปิดถนน 24 ชั่วโมง ดังนั้นใครกันแน่ที่บิดเบือนคำสั่งศาล" นายสุริยะใส กล่าว
**ชวน ปชช.ร่วมสร้าง"การเมืองใหม่"
ส่วนเรื่องการเมืองใหม่ที่มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า การเมืองใหม่เปรียบเสมือนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ตลอดเวลา ฉะนั้น อยากให้พี่น้องประชาชนอย่าลังเลที่จะร่วมกันแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองใหม่ และกำหนดตัวเองในฐานะผู้แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ โดยส่วนสำคัญของจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ การขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด และกำจัดระบอบทักษิณ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการเมืองเก่าที่เละเทะจะหนักยิ่งกว่าเดิม
"เวลาเราพูดเรื่องการเมืองใหม่ จริงๆ ไม่ต้องตีความอะไรมาก เพราะการที่เราชุมนุมกันอยู่ทุกวันนี้ โดยพฤตินัยก็คือการเมืองใหม่ เพราะเป็นการเมืองที่ถูกชี้นำด้วยคุณธรรม และความถูกต้อง แต่ถ้าเมื่อใดเราพูดเรื่องการเมืองใหม่ แต่ถ้าวัฒนธรรมทางการเมืองของเราทุกคนยังเป็นแบบเก่า โดยเชื่อเรื่องการเลือกตั้งว่าคนที่เข้าไปในสภาจะสามารถตัดสินใจแทนเราได้ หรือยังเชื่อว่าการชุมนุมก่อความวุ่นวาย ซึ่งความคิดแบบนี้ไม่มีทางที่จะสร้างการเมืองใหม่ได้ ดังนั้นเราต้องเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดด้วยการเป็นประชาชนแบบใหม่ โดยกล้าที่จะตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจ ซึ่งระยะหลังคนยากคนจนที่มาร่วมชุมนุมเขาไม่ได้กลัวตำรวจ ผู้ว่าฯ หรือแม้แต่รัฐมนตรี เพราะเขาพร้อมที่จะเปิดโต๊ะเจรจาว่าเขาเดือดร้อนเรื่องอะไร และนั่นก็จะทำให้การเมืองใหม่กำลังจะตามมา" นายสุริยะใส ระบุ
**"วีระ"เชื่อจับ"หมัก"เรื่องจริง
นายวีระ สมความคิด ประธานอำนวยการเครือข่ายปรานต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวว่า สิ่งที่นายสมัคร ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องการเตรียมจับตัวหลังจากกลับจากประเทศบรูไนจริงอย่างแน่นอน เพราะนายกฯได้รับข้อมูลว่ามีความพยายามรัฐประหารตัวเอง และสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือการจับตัวนายสมัครไว้ ซึ่งนายสมัคร เองพยายามที่จะปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น ซึ่งน่าเห็นใจเพราะนายสมัคร เองก็ไม่สามารถตัดสินใจหรือมีอำนาจในการดำเนินการอะไรได้เต็มที่ จึงอยากฝากให้ระมัดระวังคนใกล้ตัวให้มาก และขอให้จับตาดูทหารกลุ่มหนึ่งที่มีการเคลื่อนไหวอยู่เวลานี้
ด้าน พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน อดีต ผบ.สส.ยืนยันว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องการการเตรียมกำลังปฏิวัติตัวเองและไม่มีความเคลื่อนไหวอย่างที่กล่าวอ้าง คิดยังไม่เคยคิด คนที่กล่าวหาตนกลุ่มนี้บ้าหรือเปล่า ไม่มีใครคิดจะทำอย่างนั้น คิดอะไรไม่เข้าท่า คนพวกนี้ช่างแต่งเรื่อง ไม่มีใครไปทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน
**แกนนำสับ "หมัก" ก้าวล่วงศาล
วันเดียวกันเวลา 12.00 น.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯได้ขึ้นเวทีหน้าทำเนียบฯตอบโต้ "รายการสนทนาประสาสมัคร" ของนายกรัฐมนตรี ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ที่นายสมัครพูดวันนี้ มีทั้งการบิดเบือนและการอมข้อมูลคือพูดข้อมูลไม่หมด นายสมัครยังมีความจงใจยกปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชา และมีเจตนารมณ์ชัดเจนปกป้องนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ ในประเด็นปัญหาปราสาทพระวิหาร
ทั้งนี้ การที่นายสมัคร บอกว่า นายนิตย์ พิบูลสงคราม อดีต รมว.ต่างประเทศในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ลงนามกับกัมพูชาในประเด็นเขาพระวิหารนั้น ไม่ต่างจากที่นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศของรัฐบาลชุดนี้ได้ไปลงนาม เป็นการบิดเบือนอย่างชัดเจน เพราะรัฐบาลที่แล้วต้องการจะขอจดทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับกัมพูชา แต่รัฐบาลนี้สนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียนฝ่ายเดียว
นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า กรณีที่นายสมัครอ้างคำพูดนักวิชาการ ซึ่งน่าจะหมายถึง ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่าศาลปกครองเข้ามาก้าวก่ายอำนาจของฝ่ายบริหารมากเกินไปกรณีที่มีคำสั่งศาลปกครองระงับแถลงการณ์ร่วมถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลอย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีอำนาจ 3 ฝ่ายที่แยกกันอย่างชัดเจน ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ แต่รัฐบาลนี้ได้รวบอำนาจนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารเข้าด้วยกัน สมคบฮั้วกัน แต่ไม่สามารถก้าวล่วงหรือแทรกแซงอำนาจตุลาการได้ เพราะเขาต้องมีไว้เพื่อคานอำนาจ
นอกจากนี้ นายสมัคร ยังอ้างว่า อำนาจนิติบัญญัติต้องมาก่อน เพราะมาจากการเลือกตั้ง ตามด้วยอำนาจบริหาร และอันดับ 3 อำนาจตุลาการ ซึ่งศาลก็เป็นข้าราชการประจำ สะท้อนความคิดของนายสมัครที่คิดว่าศาลเป็นข้าราชการที่ต้องทำตามคำสั่งของรัฐบาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความคิดลึกๆ ของนายสมัครไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลย
ส่วนที่นายสมัครอ้างว่า ต้องมีการจัดตั้งพีทีวีขึ้นมา เพื่อนำเสนอข้อมูลอีกด้าน เพราะเอเอสทีวีด่าอยู่ข้างเดียวนั้น พันธมิตรฯ มีแค่เอเอสทีวี อยู่ช่องเดียว แต่รัฐบาลมีทั้งเอ็นบีทีที่นายสมัครออกรายการด่าคนอื่นอยู่ นอกจากนั้น ยังมีช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 และยังมีสถานีวิทยุอีก ก็ยังไม่สามารถให้ข้อมูลอีกด้านออกไปถึงประชาชนได้ หรือว่า พูดอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อถือ เป็นเรื่องที่น่าสงสารอย่างยิ่ง
ขณะที่นายสมเกียรติ ระบุว่า การที่นายกรัฐมนตรีที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของศาลถือว่าละเมิดอำนาจศาลอย่างชัดเจน โดยย้ำถึงกรณีที่นักวิชาการออกบอกว่า ถ้าหากว่าศาลปกครองใช้อำนาจกับรัฐบาลได้อย่างนี้ แล้วต่อไปอำนาจบริหารจะทำอย่างไร นอกอยากนี้ยังพูดย้ำหลายครั้งว่าเอเอสทีวีด่ารัฐบาล ก็ยังได้รับการคุ้มครองจากศาล นายสมัครบังอาจมากที่กล้าก้าวล่วงศาลแบบนี้
ส่วนกรณีที่นายสมัครกุข่าวจะจับตัวที่สนามบิน และออกมาโวยวายข่าวไม่จริงว่า ตนเห็นว่านายกฯ ประเทศไทยคนนี้เป็นนายกฯ เลี้ยงแกะ พูดบิดเบือน กลับกลอกอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เอากระดาษแผ่นเดียวมาบอกว่าจะมีการปฏิวัติว่าจะสลายการชุมนุมแล้วก็แก้ตัวว่าไม่ได้บอก พูดว่าธนาคารจะเจ๊งก็ไปโกหกในสภาว่าไม่ได้พูด
นอกจากนี้ นายสมัคร ยังพูดถึงการเอาอำนาจข้างบนลงมาแก้ปัญหาความขัดแย้ง เอาศาลลงมาเป็นรัฐมนตรีแล้วก็เอากลับคืนไปเป็นศาล เป็นการพูดพาดพิงไม่เว้นแม้แต่สถาบันสำคัญๆ ออกอาการเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงเดือน มิ.ย.49 ที่พูดถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ หลังจากที่ก่อนหน้านั้น มีปัญหาหลายอย่างรุมเร้า สมองไม่มีอะไรจะหนีอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้สังคมเฝ้ารอความยุติธรรมอยู่ที่ศาลอุทธรณ์จะอ่านคำพิพากษากรณีหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ถ้าคดีออกมาเมื่อไหร่ นายสมัครและรัฐบาลนี้จบเลย แต่จะไม่จบเปล่าต้องติดคุกด้วย
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (7 ก.ค.) ขอให้พี่น้องประชาชนเดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติมากๆ
**จำลองชี้การเมืองใหม่ต้องช่วยขัดเกลา
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงแนวคิดพิมพ์เขียวการเมืองใหม่เป็นแนวคิดที่คนไทยช่วยกันคิดขึ้นมา หลังจากที่แนวคิดประชาธิปไตยจากต่างประเทศที่นำมาใช้หลายสิบปี แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้ พิมพ์เขียวการเมืองใหม่ยังคงเป็นเพียงแค่แนวคิดที่ต้องช่วยกันขัดเกลา และนักการเมืองก็ควรเสียสละเพื่อรับฟังความเห็นใหม่ๆ บ้าง อย่าคิดเฉพาะเรื่องที่ตนเองได้ผลกระทบเท่านั้น
"เวลานี้พิสูจน์แล้วว่าการเมืองแบบเก่าช่วยอะไรไม่ได้ แม้แต่สภาก็ช่วยไม่ได้ เพราะถ้าสภาช่วยได้ เราคงไม่ต้องตรากตรำมาชุมนุมอยู่อย่างนี้ เมื่อถึงเวลาแก้ไข เราก็ต้องแก้ไข ส่วนที่จะมีคนออกมาท้วงติงก็ไม่เป็นอะไร ส่วนเรื่องของต่างประเทศ ทำไมเราต้องเอาอย่างต่างประเทศ เวลาที่เกิดความผิดพลาด บ้านเมืองเกิดความเสียหายแล้วต่างประเทศมาช่วยเหลือเราหรือไม่ โดยส่วนตัวเห็นว่า การเมืองต้องการเป็นเสียสละ ที่ไม่ใช่อาชีพที่จะไปแสวงหาผลประโยชน์ของประเทศชาติมาเป็นของส่วนตัว" พล.ต.จำลอง กล่าว และว่า
ทั้งนี้ ต้องการให้ทุกฝ่ายและรัฐบาลเข้าใจเป้าหมายการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดก โดยที่กลุ่มพันธมิตรฯไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่เห็นว่ารัฐบาลทำงานไม่โปร่งใส และคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์
สำหรับยุทธศาสตร์ดาวกระจายในวันนี้ที่จะเดินทางไปชุมนุมที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า จะมีการปราศรัยที่หน้า สตช.ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการติดตามทวงถามความคืบหน้าการทำสำนวนคดีต่างๆ ซึ่งมีหลายสิ่งที่ตำรวจทำไม่ถูกต้อง เช่น คดีที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรฯ ตำรวจมักจะทำสำนวนคดีเร็วมาก แต่ถ้าคดีใดเกี่ยวข้องกับรัฐบาล หรือกลุ่มที่รัฐบาลสนับสนุนการทำสำนวนคดีนั้นจะช้ามาก
"ตัวอย่างเมื่อปี 2550 ที่มีกลุ่มนรกป่วนกรุงไปชุมนุมที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่มีการส่งเสียงรบกวนนานถึง 6 ชั่วโมง และยังมีการกล่าวถ้อยคำหยาบคายนั้นคดีก็ยังไม่ไปถึงไหน โดยเราต้องการให้ตำรวจให้ความยุติธรรมกับประชาชนอย่างเสมอภาคทั่วถึงกัน" พล.ต.จำลอง กล่าว
***"ปราโมทย์"ปลุกต้าน รบ.หุ่นเชิด
เวลา 19.30 น.นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักรัฐศาสตร์อาวุโส ขึ้นแสดงความคิดเห็นบนเวทีพันธมิตรฯโดยเชื่อว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ สุดท้ายจะได้รับชัยชนะโดยไม่มีการนองเลือด และประชาชนส่วนใหญ่ เช่น ข้าราชการ แท็กซี่ จะหันเข้ามาเป็นแนวร่วมมากขึ้น
สำหรับปัจจัยด้านความบกพร่องของรัฐบาลต้องบอกว่ามันได้เกิดขึ้นมานานแล้ว เนื่องจากรัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องและผิดเจตนารมณ์ของศาลที่สั่งห้ามไม่ให้ คนที่เกี่ยวข้องกับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เข้ามามีส่วนร่วมกับการเมือง แต่กลับให้พวกพ้อง ภรรยาและญาติสนิทเขามาทำงานในรัฐบาล ซึ่งทำให้หมดความชอบธรรมในทางกฎหมายไปแล้ว
"ศาลสั่งห้ามไม่ให้ทำกิจการกรรมการเมือง 5 ปี แต่คนพวกนี้ทำให้เจตนารมณ์ของศาลเสื่อม" นายปราโมทย์ กล่าว และกล่าวอีกว่า
รัฐบาลชุดนี้ได้เข้ามาทำลายอำนาจบริหารไปจดหมด ทุกอย่างไม่เป็นไปตามนิติธรรมและระเบียบของกฎหมาย โดยมีแต่ออกคำสั่งกับข้าราชการผู้น้อย โดยสภาผู้แทนราษฎรตอนนี้รับแต่เงินเดือนแต่ไม่มีผลงานออกมาเลย และขณะนี้ถือว่าอยู่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคสุญญากาศทางการเมืองแล้ว เนื่องจากรัฐบาลไม่มีความชอบธรรม และเชื่อว่าพันธมิตรฯหากอดทนและขยายแนวร่วมด้วยการให้ความรู้มากขึ้น โดยเฉพาะพวกที่ยังไม่เข้าใจและหากในอนาคตมีแนวร่วมมากขึ้นจะได้รู้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลชุดนี้
"สิ่งที่พันธมิตรฯควรทำมากที่สุดในขณะนี้คือการจัดตั้งให้แนวร่วมมีความเข้มแข็งมากขึ้น บนพื้นฐานความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ต่อ ชาติ ราชบัลลังก์และการจัดตั้งนี้จะต้องร่วมเป็นหมูเหล่า โดยมีการกำหนดทิศทาง และหน้าที่อย่างแน่นนอน นอกจากนี้ควรจะมีสัญลักษณ์ และแนวแน่ในหน้าที่ว่าต้องการอะไร เช่นต้องการขจัดรัฐบาลปัจจุบันและช่วยกันทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เพื่อบอกให้รู้ว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเถื่อน สำหรับประชาธิปไตยในปัจจุบัน มันไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เป็นแค่ระบอบเผด็จการพลเมืองที่อาศัยการเลือกตั้งเท่านั้น" นายปราโมทย์ กล่าว
นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า หากเราสามารถทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองได้โดยที่พันธมิตรฯ สามารถทำให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ไม่รับฟังคำสั่งของรัฐบาลนอกกฎหมายชุดนี้ หรือกระทำการตรงกันข้ามจะทำให้อำนาจการบริหารประเทศของคนพวกนี้สิ้นสุดลง ซึ่งไม่อยากให้ความเข้าใจเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงแค่ในเมือง หรือบางเขต แต่อยากเห็นทั่วประเทศ
***"สนธิ"เตรียมลากใส้บิ๊กตำรวจใหญ่
เวลาประมาณ 21.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯได้ขึ้นเวทีโดยกล่าวถึงการนัดชุมนุมในวันนี้เวลา 10.00 น.หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า พวกเราต้องไปกันให้เต็มบ้านเมืองเพื่อแสดงเจตนารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ และแสดงพลังให้พวกเขารู้ว่าประชาชนรู้สึกกับตำรวจอย่างไร โดยเฉพาะพวกนายตำรวจระดับสูงที่เป็นมือเป็นเท้าให้กับนักการเมือง หรือนายตำรวจที่ทำตัวเป็นผู้รับใช้นักการเมือง
นายสนธิ ระบุว่า พรุ่งนี้ (7) ถือว่าเป็นวันที่สำคัญมาก ยิ่งพวกเราไปมากเท่าไรเขาก็จะรู้ว่าประชาชนเกลียดชังตำรวจมาก 1 เสียงที่ไปชุมนุม นั่นคือ 1 มติที่แสดงเจตนารมณ์ แสดงจุดยืนประชาชนที่ไม่เอาตำรววจ พวกเราต้องไปให้เยอะกว่าครั้งที่ไปแสดงจุดยืนหน้าสำนักงานฯ กกต.โดยเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจชั้นผู้น้อย เพราะพวกเขาต้องรับคำสั่งที่ไม่ชอบธรรม
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ตนจะไปกล่าวปราศรัยอย่างสุภาพที่หน้าสำนักงานตำรวจฯ โดยจะเน้นไปที่นายตำรวจระดับสูงยศ พ.ต.ท.ถึงระดับ พล.ต.อ. ซึ่งหลายคนมีข้อมูลที่ชัดเจนว่า มีพฤติกรรมรับใช้นักการเมือง พร้อมยกกรณีของรองผู้บัญชาการท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเด็กของคุณหญิงอ้อ และอยู่เบื้องหลังการนำอันธพาลมาทำร้ายประชาชน เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา รวมไปถึงนายตำรวจอีกหลายคน ที่เห็นการทำร้ายประชาชน แล้วนั่งดูเฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรเลย
"พวกเราจะไปให้นายตำรวจพวกนั้นรู้ว่าพวกเรารู้ทันเขาและมีรายชื่อพวกเขาทั้งหมดแล้วว่าใครบ้าง ใครหาเรื่อง ใครได้ดี ใครได้ตำแหน่ง เพราะเป็นมือเป็นเท้าให้กับนักการเมือง ผมจะรวบรวมรายชื่อทั้งหมดไว้ให้พวกท่านเช็คบิล" นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ ยังกล่าวเตือนนายตำรวจหลายคนที่รับใช้นักการเมือง ทั้งที่เปิดเผยและทำตัวเป็นอีแอบ ขณะนี้ ตนเองจะขอฉันทามติประชาชน เพื่อที่จะเช็คบิลทั้งหมด ให้พวกนี้ รู้ตัวว่าการถูกเช็คบิลที่เจ็บปวดที่สุด คือ การเช็คบิลจากประชาชน เพราะเมื่อแก่เฒ่าลง ไปไหนคนก็ยังจำได้ว่า เคยทำอะไรเอาไว้ ลูกหลานนายตำรวจพวกนี้ ก็จะมีบทเรียนที่พ่อเขาทำเอาไว้ และคงต้องชดใช้กรรมที่ก่อเอาไว้กับประชาชน
**ตำรวจพร้อมรับมือพันธมิตรฯ
พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัยว่า จะใช้ตำรวจจากสันติบาลดูแลรักษาความสงบภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 200 นาย โดยมีตำรวจนครบาลดูแลด้านนอกและโดยรอบบริเวณ
"คาดว่าจะมีผู้ชุมนุมประมาณ 1,000 คนขึ้นไปจึงขอให้ระมัดระวังการใช้เสียงดังและถ้อยคำในการปราศรัย เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีทั้งโรงเรียนและโรงพยาบาล อาจเป็นการรบกวนผู้อื่นได้ พร้อมยืนยันคดีต่างๆ ที่ทางพันธมิตรฯ ต้องการทวงถามนั้น ตำรวจได้นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วอย่างโปร่งใส ส่วนกรณีที่ทางพันธมิตรฯ จะเดินทางไปรับฟังคำสั่งบังคับคดี และการไต่สวนของศาลแพ่งกรณีครูและนักเรียน โรงเรียนราชวินิตมัธยม ฟ้องต่อศาลว่า พันธมิตรฯ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลนั้น ก็ขอให้ระมัดระวังการเข้าข่ายละเมิดศาลด้วย" พล.ต.ต.สุรพล กล่าว
เมื่อเวลา 18.00 น.วานนี้ (6ก.ค.) ที่หลังเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้าทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ แถลงว่า ขณะนี้มีข้อมูลว่ามีความพยายามที่จะปฏิวัติตัวเองโดยกลุ่มเตรียมทหารรุ่น 10 เพื่อที่จะช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้พ้นจากคดีความทั้งหมด เนื่องจากขณะนี้คดีต่างๆ ที่ค้างอยู่ในศาลเริ่มที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณา การปฏิวัติตัวเองจึงเป็นทางรอดเดียวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตนอยากให้จับตามองกระบวนการยุติธรรมที่มีความพยายามแทรกแซง โดยเฉพาะสำนักงานอัยการสูงสุด ที่มีข่าวว่า มีความพยายามยื่นข้อเสนอเป็นเงินหลายร้อยล้านบาทเพื่อไม่ให้ยื่นฟ้องคดีต่างๆ นอกจากนี้ ขอให้จับตาดูการแต่งตั้งโยกย้ายเหล่าทัพในช่วงเดือน ต.ค.นี้ เพราะจะมีการล้างบางฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อวางแนวทางในการรัฐประหารตัวเอง
"ในช่วง 3 เดือนต่อไปนี้รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นอกจากหาทางช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ รัฐบาลจึงจะต้องทนอยู่ไปให้ได้จนถึงช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี เพื่อกวาดล้างคนที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณไปให้หมด และจะเห็นได้ว่ารัฐบาลไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอีกแล้ว พยายามที่จะจุดชนวนความขัดแย้งให้เกิดขึ้น อย่างกรณีของพีทีวี ที่รัฐบาลเองไม่จำเป็นต้องปลุกขึ้นมาอีก เพราะรัฐบาลไม่มีปัญหาในเรื่องการสื่อสารกับประชาชน ซึ่งสื่อในมือรัฐบาลเองก็มีมากมาย ก็ไม่เข้าใจว่าสื่อในมือมีไม่เพียงพอต่อการชี้แจงประชาชน หรือต้องการที่จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดการเผชิญหน้าในสังคมจนเกิดการปฏิวัติตัวเอง"นายสุริยะใส กล่าว
**"สุริยะใส"ซัดฟื้นPTVหวังป้องระบอบแม้ว
ก่อนหน้านี้ นายสุริยะใส กล่าวว่า ถ้าจะฟื้นพีทีวี ขึ้นมา ก็ขอให้ทำเนื้อหาของข่าวสารมาแข่งขันกัน โดยมาสู้กันที่คุณภาพ ที่สำคัญเอเอสทีวี จวนเจียนจะปิดตัวลงหลายครั้ง แต่ด้วยแรงศรัทธาของประชาชนที่มีพลังมหาศาล จึงปลุกให้เอเอสทีวี คืนชีพขึ้นมายืนอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้น พีทีวี จึงไม่มีทางที่จะเป็นสื่อแท้ เพราะเป็นสื่อการเมืองชัดเจน โดยจะเห็นได้จากการเปิดตัวเมื่อเกิดวิกฤตทางการเมือง และไม่เข้าใจว่าแกนนำ นปก.จึงเป็นถึง ส.ส.และเป็นรัฐมนตรี ฉะนั้น เจตนารมณ์จึงชัดเจนว่าต้องการปกป้องระบอบทักษิณเท่านั้นเอง โดยไม่สนใจว่ารัฐธรรมนูญเปิดช่องหรือไม่ เพราะกฎหมายมาตรา 48 เขียนไว้ชัดเจนว่า ห้ามนักการเมืองถือหุ้นในกิจการสื่อ ไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือทางอ้อม รวมทั้งไม่สามารถใช้นอมินี หรือร่างทรง ไม่สามารถทำได้
ดังนั้น จึงอยากให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ กลับไปเปิดดูกฎหมายว่าสามารถที่จะฟื้นพีทีวี ได้หรือไม่ หรือแม้กระทั่งสื่อโทรทัศน์บางช่อง และสื่อวิทยุบางคลื่นเริ่มจงใจบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอย่างชัดเจน โดยตนโดนเข้ากับตัวเอง คือ มีการติดต่อขอสัมภาษณ์ตนเข้ามาเรื่องการชุมนุม แต่มีการต่อสายโทรศัพท์คุยกับแม่ค้า เด็กนักเรียน และผู้ปกครอง รวม 4 คน กรณีคำสั่งศาลแพ่ง ซึ่งทั้ง 4 คนให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่ากลุ่มพันธมิตรฯ สร้างความวุ่นวายให้กับสังคม ตนจึงต่อว่าพิธีกรไปว่า ถ้าตนนอนหลับแล้วไม่ได้เข้าสายในรายการนี้ คนทั่วไปก็จะเข้าใจว่าเราเป็นอาชญากรแผ่นดิน ที่สำคัญคือเขาไม่ไปสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมชุมนุมว่ามีเหตุผลอะไรถึงได้เข้าร่วมชุมนุม ซึ่งถือเป็นสมดุลข่าวสาร แต่กลับไม่ทำ
**ชี้ชัด พปช.-ตร.บิดเบือนคำสั่งศาล
ส่วนกรณีที่หลายคนถามว่าเมื่อไหร่การชุมนุมขับไล่รัฐบาลจะจบสิ้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ขณะนี้ตุลาการภิวัฒน์เริ่มทำงาน โดยวันจันทร์นี้จะเดินทางไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอาจจะต้องไปอัยการสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทวงถามถึงความคืบหน้าของแต่ละคดีความ เพราะยังไม่มีหนังสือชี้แจงออกมา โดยยุทธศาสตร์ดาวกระจายในสัปดาห์หน้าจะเข้มข้นขึ้น และมั่นใจว่าการชุมนุมในขณะนี้ อย่างน้อยก็เป็นภูมิคุ้มกันให้กับกระบวนการยุติธรรม และไม่ให้อำนาจทางการเมืองแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้
"เราใจกว้างพอ เพราะเราเคารพคำสั่งของศาลแพ่ง ที่สำคัญทำเนียบรัฐบาลมี 4 ด้าน ถ้าเขาบอกว่าเรารบกวน เราก็จะไปชุมนุมในด้านที่ไม่รบกวน ซึ่งคงต้องรอสักระยะ เพราะในวันจันทร์นี้ จะมีหลักปฏิบัติที่ชัดเจนทั้งฝ่ายนักเรียน ฝ่าย ขสมก. และฝ่ายผู้ชุมนุม ที่สำคัญตำรวจ และพรรคพลังประชาชนพยายามบิดเบือนคำสั่งศาลว่าให้เปิดถนน 24 ชั่วโมง ซึ่งผมไปเปิดดูคำสั่งศาล 2 หน้า ไม่มีบรรทัดใดเลยที่ระบุว่าให้เปิดถนน 24 ชั่วโมง ดังนั้นใครกันแน่ที่บิดเบือนคำสั่งศาล" นายสุริยะใส กล่าว
**ชวน ปชช.ร่วมสร้าง"การเมืองใหม่"
ส่วนเรื่องการเมืองใหม่ที่มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า การเมืองใหม่เปรียบเสมือนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ตลอดเวลา ฉะนั้น อยากให้พี่น้องประชาชนอย่าลังเลที่จะร่วมกันแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองใหม่ และกำหนดตัวเองในฐานะผู้แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ โดยส่วนสำคัญของจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ การขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด และกำจัดระบอบทักษิณ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการเมืองเก่าที่เละเทะจะหนักยิ่งกว่าเดิม
"เวลาเราพูดเรื่องการเมืองใหม่ จริงๆ ไม่ต้องตีความอะไรมาก เพราะการที่เราชุมนุมกันอยู่ทุกวันนี้ โดยพฤตินัยก็คือการเมืองใหม่ เพราะเป็นการเมืองที่ถูกชี้นำด้วยคุณธรรม และความถูกต้อง แต่ถ้าเมื่อใดเราพูดเรื่องการเมืองใหม่ แต่ถ้าวัฒนธรรมทางการเมืองของเราทุกคนยังเป็นแบบเก่า โดยเชื่อเรื่องการเลือกตั้งว่าคนที่เข้าไปในสภาจะสามารถตัดสินใจแทนเราได้ หรือยังเชื่อว่าการชุมนุมก่อความวุ่นวาย ซึ่งความคิดแบบนี้ไม่มีทางที่จะสร้างการเมืองใหม่ได้ ดังนั้นเราต้องเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดด้วยการเป็นประชาชนแบบใหม่ โดยกล้าที่จะตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจ ซึ่งระยะหลังคนยากคนจนที่มาร่วมชุมนุมเขาไม่ได้กลัวตำรวจ ผู้ว่าฯ หรือแม้แต่รัฐมนตรี เพราะเขาพร้อมที่จะเปิดโต๊ะเจรจาว่าเขาเดือดร้อนเรื่องอะไร และนั่นก็จะทำให้การเมืองใหม่กำลังจะตามมา" นายสุริยะใส ระบุ
**"วีระ"เชื่อจับ"หมัก"เรื่องจริง
นายวีระ สมความคิด ประธานอำนวยการเครือข่ายปรานต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวว่า สิ่งที่นายสมัคร ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องการเตรียมจับตัวหลังจากกลับจากประเทศบรูไนจริงอย่างแน่นอน เพราะนายกฯได้รับข้อมูลว่ามีความพยายามรัฐประหารตัวเอง และสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือการจับตัวนายสมัครไว้ ซึ่งนายสมัคร เองพยายามที่จะปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น ซึ่งน่าเห็นใจเพราะนายสมัคร เองก็ไม่สามารถตัดสินใจหรือมีอำนาจในการดำเนินการอะไรได้เต็มที่ จึงอยากฝากให้ระมัดระวังคนใกล้ตัวให้มาก และขอให้จับตาดูทหารกลุ่มหนึ่งที่มีการเคลื่อนไหวอยู่เวลานี้
ด้าน พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน อดีต ผบ.สส.ยืนยันว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องการการเตรียมกำลังปฏิวัติตัวเองและไม่มีความเคลื่อนไหวอย่างที่กล่าวอ้าง คิดยังไม่เคยคิด คนที่กล่าวหาตนกลุ่มนี้บ้าหรือเปล่า ไม่มีใครคิดจะทำอย่างนั้น คิดอะไรไม่เข้าท่า คนพวกนี้ช่างแต่งเรื่อง ไม่มีใครไปทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน
**แกนนำสับ "หมัก" ก้าวล่วงศาล
วันเดียวกันเวลา 12.00 น.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯได้ขึ้นเวทีหน้าทำเนียบฯตอบโต้ "รายการสนทนาประสาสมัคร" ของนายกรัฐมนตรี ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ที่นายสมัครพูดวันนี้ มีทั้งการบิดเบือนและการอมข้อมูลคือพูดข้อมูลไม่หมด นายสมัครยังมีความจงใจยกปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชา และมีเจตนารมณ์ชัดเจนปกป้องนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ ในประเด็นปัญหาปราสาทพระวิหาร
ทั้งนี้ การที่นายสมัคร บอกว่า นายนิตย์ พิบูลสงคราม อดีต รมว.ต่างประเทศในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ลงนามกับกัมพูชาในประเด็นเขาพระวิหารนั้น ไม่ต่างจากที่นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศของรัฐบาลชุดนี้ได้ไปลงนาม เป็นการบิดเบือนอย่างชัดเจน เพราะรัฐบาลที่แล้วต้องการจะขอจดทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับกัมพูชา แต่รัฐบาลนี้สนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียนฝ่ายเดียว
นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า กรณีที่นายสมัครอ้างคำพูดนักวิชาการ ซึ่งน่าจะหมายถึง ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่าศาลปกครองเข้ามาก้าวก่ายอำนาจของฝ่ายบริหารมากเกินไปกรณีที่มีคำสั่งศาลปกครองระงับแถลงการณ์ร่วมถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลอย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีอำนาจ 3 ฝ่ายที่แยกกันอย่างชัดเจน ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ แต่รัฐบาลนี้ได้รวบอำนาจนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารเข้าด้วยกัน สมคบฮั้วกัน แต่ไม่สามารถก้าวล่วงหรือแทรกแซงอำนาจตุลาการได้ เพราะเขาต้องมีไว้เพื่อคานอำนาจ
นอกจากนี้ นายสมัคร ยังอ้างว่า อำนาจนิติบัญญัติต้องมาก่อน เพราะมาจากการเลือกตั้ง ตามด้วยอำนาจบริหาร และอันดับ 3 อำนาจตุลาการ ซึ่งศาลก็เป็นข้าราชการประจำ สะท้อนความคิดของนายสมัครที่คิดว่าศาลเป็นข้าราชการที่ต้องทำตามคำสั่งของรัฐบาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความคิดลึกๆ ของนายสมัครไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลย
ส่วนที่นายสมัครอ้างว่า ต้องมีการจัดตั้งพีทีวีขึ้นมา เพื่อนำเสนอข้อมูลอีกด้าน เพราะเอเอสทีวีด่าอยู่ข้างเดียวนั้น พันธมิตรฯ มีแค่เอเอสทีวี อยู่ช่องเดียว แต่รัฐบาลมีทั้งเอ็นบีทีที่นายสมัครออกรายการด่าคนอื่นอยู่ นอกจากนั้น ยังมีช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 และยังมีสถานีวิทยุอีก ก็ยังไม่สามารถให้ข้อมูลอีกด้านออกไปถึงประชาชนได้ หรือว่า พูดอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อถือ เป็นเรื่องที่น่าสงสารอย่างยิ่ง
ขณะที่นายสมเกียรติ ระบุว่า การที่นายกรัฐมนตรีที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของศาลถือว่าละเมิดอำนาจศาลอย่างชัดเจน โดยย้ำถึงกรณีที่นักวิชาการออกบอกว่า ถ้าหากว่าศาลปกครองใช้อำนาจกับรัฐบาลได้อย่างนี้ แล้วต่อไปอำนาจบริหารจะทำอย่างไร นอกอยากนี้ยังพูดย้ำหลายครั้งว่าเอเอสทีวีด่ารัฐบาล ก็ยังได้รับการคุ้มครองจากศาล นายสมัครบังอาจมากที่กล้าก้าวล่วงศาลแบบนี้
ส่วนกรณีที่นายสมัครกุข่าวจะจับตัวที่สนามบิน และออกมาโวยวายข่าวไม่จริงว่า ตนเห็นว่านายกฯ ประเทศไทยคนนี้เป็นนายกฯ เลี้ยงแกะ พูดบิดเบือน กลับกลอกอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เอากระดาษแผ่นเดียวมาบอกว่าจะมีการปฏิวัติว่าจะสลายการชุมนุมแล้วก็แก้ตัวว่าไม่ได้บอก พูดว่าธนาคารจะเจ๊งก็ไปโกหกในสภาว่าไม่ได้พูด
นอกจากนี้ นายสมัคร ยังพูดถึงการเอาอำนาจข้างบนลงมาแก้ปัญหาความขัดแย้ง เอาศาลลงมาเป็นรัฐมนตรีแล้วก็เอากลับคืนไปเป็นศาล เป็นการพูดพาดพิงไม่เว้นแม้แต่สถาบันสำคัญๆ ออกอาการเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงเดือน มิ.ย.49 ที่พูดถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ หลังจากที่ก่อนหน้านั้น มีปัญหาหลายอย่างรุมเร้า สมองไม่มีอะไรจะหนีอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้สังคมเฝ้ารอความยุติธรรมอยู่ที่ศาลอุทธรณ์จะอ่านคำพิพากษากรณีหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ถ้าคดีออกมาเมื่อไหร่ นายสมัครและรัฐบาลนี้จบเลย แต่จะไม่จบเปล่าต้องติดคุกด้วย
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (7 ก.ค.) ขอให้พี่น้องประชาชนเดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติมากๆ
**จำลองชี้การเมืองใหม่ต้องช่วยขัดเกลา
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงแนวคิดพิมพ์เขียวการเมืองใหม่เป็นแนวคิดที่คนไทยช่วยกันคิดขึ้นมา หลังจากที่แนวคิดประชาธิปไตยจากต่างประเทศที่นำมาใช้หลายสิบปี แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้ พิมพ์เขียวการเมืองใหม่ยังคงเป็นเพียงแค่แนวคิดที่ต้องช่วยกันขัดเกลา และนักการเมืองก็ควรเสียสละเพื่อรับฟังความเห็นใหม่ๆ บ้าง อย่าคิดเฉพาะเรื่องที่ตนเองได้ผลกระทบเท่านั้น
"เวลานี้พิสูจน์แล้วว่าการเมืองแบบเก่าช่วยอะไรไม่ได้ แม้แต่สภาก็ช่วยไม่ได้ เพราะถ้าสภาช่วยได้ เราคงไม่ต้องตรากตรำมาชุมนุมอยู่อย่างนี้ เมื่อถึงเวลาแก้ไข เราก็ต้องแก้ไข ส่วนที่จะมีคนออกมาท้วงติงก็ไม่เป็นอะไร ส่วนเรื่องของต่างประเทศ ทำไมเราต้องเอาอย่างต่างประเทศ เวลาที่เกิดความผิดพลาด บ้านเมืองเกิดความเสียหายแล้วต่างประเทศมาช่วยเหลือเราหรือไม่ โดยส่วนตัวเห็นว่า การเมืองต้องการเป็นเสียสละ ที่ไม่ใช่อาชีพที่จะไปแสวงหาผลประโยชน์ของประเทศชาติมาเป็นของส่วนตัว" พล.ต.จำลอง กล่าว และว่า
ทั้งนี้ ต้องการให้ทุกฝ่ายและรัฐบาลเข้าใจเป้าหมายการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดก โดยที่กลุ่มพันธมิตรฯไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่เห็นว่ารัฐบาลทำงานไม่โปร่งใส และคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์
สำหรับยุทธศาสตร์ดาวกระจายในวันนี้ที่จะเดินทางไปชุมนุมที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า จะมีการปราศรัยที่หน้า สตช.ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการติดตามทวงถามความคืบหน้าการทำสำนวนคดีต่างๆ ซึ่งมีหลายสิ่งที่ตำรวจทำไม่ถูกต้อง เช่น คดีที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรฯ ตำรวจมักจะทำสำนวนคดีเร็วมาก แต่ถ้าคดีใดเกี่ยวข้องกับรัฐบาล หรือกลุ่มที่รัฐบาลสนับสนุนการทำสำนวนคดีนั้นจะช้ามาก
"ตัวอย่างเมื่อปี 2550 ที่มีกลุ่มนรกป่วนกรุงไปชุมนุมที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่มีการส่งเสียงรบกวนนานถึง 6 ชั่วโมง และยังมีการกล่าวถ้อยคำหยาบคายนั้นคดีก็ยังไม่ไปถึงไหน โดยเราต้องการให้ตำรวจให้ความยุติธรรมกับประชาชนอย่างเสมอภาคทั่วถึงกัน" พล.ต.จำลอง กล่าว
***"ปราโมทย์"ปลุกต้าน รบ.หุ่นเชิด
เวลา 19.30 น.นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักรัฐศาสตร์อาวุโส ขึ้นแสดงความคิดเห็นบนเวทีพันธมิตรฯโดยเชื่อว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ สุดท้ายจะได้รับชัยชนะโดยไม่มีการนองเลือด และประชาชนส่วนใหญ่ เช่น ข้าราชการ แท็กซี่ จะหันเข้ามาเป็นแนวร่วมมากขึ้น
สำหรับปัจจัยด้านความบกพร่องของรัฐบาลต้องบอกว่ามันได้เกิดขึ้นมานานแล้ว เนื่องจากรัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องและผิดเจตนารมณ์ของศาลที่สั่งห้ามไม่ให้ คนที่เกี่ยวข้องกับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เข้ามามีส่วนร่วมกับการเมือง แต่กลับให้พวกพ้อง ภรรยาและญาติสนิทเขามาทำงานในรัฐบาล ซึ่งทำให้หมดความชอบธรรมในทางกฎหมายไปแล้ว
"ศาลสั่งห้ามไม่ให้ทำกิจการกรรมการเมือง 5 ปี แต่คนพวกนี้ทำให้เจตนารมณ์ของศาลเสื่อม" นายปราโมทย์ กล่าว และกล่าวอีกว่า
รัฐบาลชุดนี้ได้เข้ามาทำลายอำนาจบริหารไปจดหมด ทุกอย่างไม่เป็นไปตามนิติธรรมและระเบียบของกฎหมาย โดยมีแต่ออกคำสั่งกับข้าราชการผู้น้อย โดยสภาผู้แทนราษฎรตอนนี้รับแต่เงินเดือนแต่ไม่มีผลงานออกมาเลย และขณะนี้ถือว่าอยู่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคสุญญากาศทางการเมืองแล้ว เนื่องจากรัฐบาลไม่มีความชอบธรรม และเชื่อว่าพันธมิตรฯหากอดทนและขยายแนวร่วมด้วยการให้ความรู้มากขึ้น โดยเฉพาะพวกที่ยังไม่เข้าใจและหากในอนาคตมีแนวร่วมมากขึ้นจะได้รู้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลชุดนี้
"สิ่งที่พันธมิตรฯควรทำมากที่สุดในขณะนี้คือการจัดตั้งให้แนวร่วมมีความเข้มแข็งมากขึ้น บนพื้นฐานความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ต่อ ชาติ ราชบัลลังก์และการจัดตั้งนี้จะต้องร่วมเป็นหมูเหล่า โดยมีการกำหนดทิศทาง และหน้าที่อย่างแน่นนอน นอกจากนี้ควรจะมีสัญลักษณ์ และแนวแน่ในหน้าที่ว่าต้องการอะไร เช่นต้องการขจัดรัฐบาลปัจจุบันและช่วยกันทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เพื่อบอกให้รู้ว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเถื่อน สำหรับประชาธิปไตยในปัจจุบัน มันไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เป็นแค่ระบอบเผด็จการพลเมืองที่อาศัยการเลือกตั้งเท่านั้น" นายปราโมทย์ กล่าว
นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า หากเราสามารถทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองได้โดยที่พันธมิตรฯ สามารถทำให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ไม่รับฟังคำสั่งของรัฐบาลนอกกฎหมายชุดนี้ หรือกระทำการตรงกันข้ามจะทำให้อำนาจการบริหารประเทศของคนพวกนี้สิ้นสุดลง ซึ่งไม่อยากให้ความเข้าใจเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงแค่ในเมือง หรือบางเขต แต่อยากเห็นทั่วประเทศ
***"สนธิ"เตรียมลากใส้บิ๊กตำรวจใหญ่
เวลาประมาณ 21.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯได้ขึ้นเวทีโดยกล่าวถึงการนัดชุมนุมในวันนี้เวลา 10.00 น.หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า พวกเราต้องไปกันให้เต็มบ้านเมืองเพื่อแสดงเจตนารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ และแสดงพลังให้พวกเขารู้ว่าประชาชนรู้สึกกับตำรวจอย่างไร โดยเฉพาะพวกนายตำรวจระดับสูงที่เป็นมือเป็นเท้าให้กับนักการเมือง หรือนายตำรวจที่ทำตัวเป็นผู้รับใช้นักการเมือง
นายสนธิ ระบุว่า พรุ่งนี้ (7) ถือว่าเป็นวันที่สำคัญมาก ยิ่งพวกเราไปมากเท่าไรเขาก็จะรู้ว่าประชาชนเกลียดชังตำรวจมาก 1 เสียงที่ไปชุมนุม นั่นคือ 1 มติที่แสดงเจตนารมณ์ แสดงจุดยืนประชาชนที่ไม่เอาตำรววจ พวกเราต้องไปให้เยอะกว่าครั้งที่ไปแสดงจุดยืนหน้าสำนักงานฯ กกต.โดยเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจชั้นผู้น้อย เพราะพวกเขาต้องรับคำสั่งที่ไม่ชอบธรรม
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ตนจะไปกล่าวปราศรัยอย่างสุภาพที่หน้าสำนักงานตำรวจฯ โดยจะเน้นไปที่นายตำรวจระดับสูงยศ พ.ต.ท.ถึงระดับ พล.ต.อ. ซึ่งหลายคนมีข้อมูลที่ชัดเจนว่า มีพฤติกรรมรับใช้นักการเมือง พร้อมยกกรณีของรองผู้บัญชาการท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเด็กของคุณหญิงอ้อ และอยู่เบื้องหลังการนำอันธพาลมาทำร้ายประชาชน เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา รวมไปถึงนายตำรวจอีกหลายคน ที่เห็นการทำร้ายประชาชน แล้วนั่งดูเฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรเลย
"พวกเราจะไปให้นายตำรวจพวกนั้นรู้ว่าพวกเรารู้ทันเขาและมีรายชื่อพวกเขาทั้งหมดแล้วว่าใครบ้าง ใครหาเรื่อง ใครได้ดี ใครได้ตำแหน่ง เพราะเป็นมือเป็นเท้าให้กับนักการเมือง ผมจะรวบรวมรายชื่อทั้งหมดไว้ให้พวกท่านเช็คบิล" นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ ยังกล่าวเตือนนายตำรวจหลายคนที่รับใช้นักการเมือง ทั้งที่เปิดเผยและทำตัวเป็นอีแอบ ขณะนี้ ตนเองจะขอฉันทามติประชาชน เพื่อที่จะเช็คบิลทั้งหมด ให้พวกนี้ รู้ตัวว่าการถูกเช็คบิลที่เจ็บปวดที่สุด คือ การเช็คบิลจากประชาชน เพราะเมื่อแก่เฒ่าลง ไปไหนคนก็ยังจำได้ว่า เคยทำอะไรเอาไว้ ลูกหลานนายตำรวจพวกนี้ ก็จะมีบทเรียนที่พ่อเขาทำเอาไว้ และคงต้องชดใช้กรรมที่ก่อเอาไว้กับประชาชน
**ตำรวจพร้อมรับมือพันธมิตรฯ
พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัยว่า จะใช้ตำรวจจากสันติบาลดูแลรักษาความสงบภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 200 นาย โดยมีตำรวจนครบาลดูแลด้านนอกและโดยรอบบริเวณ
"คาดว่าจะมีผู้ชุมนุมประมาณ 1,000 คนขึ้นไปจึงขอให้ระมัดระวังการใช้เสียงดังและถ้อยคำในการปราศรัย เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีทั้งโรงเรียนและโรงพยาบาล อาจเป็นการรบกวนผู้อื่นได้ พร้อมยืนยันคดีต่างๆ ที่ทางพันธมิตรฯ ต้องการทวงถามนั้น ตำรวจได้นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วอย่างโปร่งใส ส่วนกรณีที่ทางพันธมิตรฯ จะเดินทางไปรับฟังคำสั่งบังคับคดี และการไต่สวนของศาลแพ่งกรณีครูและนักเรียน โรงเรียนราชวินิตมัธยม ฟ้องต่อศาลว่า พันธมิตรฯ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลนั้น ก็ขอให้ระมัดระวังการเข้าข่ายละเมิดศาลด้วย" พล.ต.ต.สุรพล กล่าว