“สุริยะใส” ยกกฎหมายตบหน้า “รัฐบาล” หลังดิ้นพล่านวาระสุดท้ายดื้อฟื้น “พีทีวี” หวังปกป้อง “ระบอบทักษิณ” ทั้งๆ ที่ขัด รธน.อย่างชัดเจน พร้อมแจง “การเมืองใหม่” ไร้วาระซ่อนเร้น ยันเกิดขึ้นเพราะเป็นการเมืองที่ถูกชี้นำด้วยคุณธรรม และความถูกต้อง
วันนี้ (6 ก.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยถึงบทวิเคราะห์ของหนังสือเนชั่นสุดสัปดาห์ โดยระบุว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ คือวัฒนธรรมการเมืองใหม่ ซึ่งทำให้การชุมนุมเป็นเรื่องสนุกสนาน และไม่มีความรุนแรง โดยเป็นเรียลิตีโชว์ตลอด 24 ชั่วโมง จึงถือเป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ และเป็นนวตกรรมใหม่ทางการเมือง ส่วนสถานีโทรทัศน์พีทีวี ซึ่งปิดตัวเอง และตายไปพร้อมๆ กับตำแหน่งทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งข้ออ้างคือ ขาดทุน นั่นแสดงให้เห็นว่าตั้งสถานีพีทีวี ขึ้นมาเพื่อหากำไร และค้าขาย โดยไม่ต้องการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนเหมือนสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ที่กำลังดำเนินงานอยู่
“ถ้าจะฟื้นพีทีวี ขึ้นมา ก็ขอให้ทำเนื้อหาของข่าวสารมาแข่งขันกัน โดยมาสู้กันที่คุณภาพ ที่สำคัญเอเอสทีวี จวนเจียนจะปิดตัวลงหลายครั้ง แต่ด้วยแรงศรัทธาของประชาชนที่มีพลังมหาศาล จึงปลุกให้เอเอสทีวี คืนชีพขึ้นมายืนอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นพีทีวี จึงไม่มีทางที่จะเป็นสื่อแท้ เพราะเป็นสื่อการเมืองชัดเจน โดยจะเห็นได้จากการเปิดตัวเมื่อเกิดวิกฤตทางการเมือง และไม่เข้าใจว่าแกนนำ นปก. จึงเป็นถึง ส.ส. และเป็นรัฐมนตรี ฉะนั้นเจตนารมณ์จึงชัดเจนว่าต้องการปกป้องระบอบทักษิณเท่านั้นเอง โดยไม่สนใจว่ารัฐธรรมนูญเปิดช่องหรือไม่ เพราะกฎหมายมาตรา 48 เขียนไว้ชัดเจนว่า ห้ามนักการเมืองถือหุ้นในกิจการสื่อ ไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือทางอ้อม รวมทั้งไม่สามารถใช้นอมินี หรือร่างทรง ไม่สามารถทำได้” นายสุริยะใส กล่าว
ไล่ส่ง “จตุพร” อ่าน กม.ก่อนฟื้น “พีทีวี”
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า ฉะนั้นจึงอยากให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ กลับไปเปิดดูกฎหมายว่าสามารถที่จะฟื้นพีทีวี ได้หรือไม่ หรือแม้กระทั่งสื่อโทรทัศน์บางช่อง และสื่อวิทยุบางคลื่นซึ่งเป็นของกรมประชาสัมพันธ์ และ อสมท เริ่มจงใจบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอย่างชัดเจน โดยตนโดนเข้ากับตัวเอง คือ มีการติดต่อขอสัมภาษณ์ตนเข้ามาเรื่องการชุมนุม แต่มีการต่อสายโทรศัพท์คุยกับแม่ค้า เด็กนักเรียน และผู้ปกครอง รวม 4 คน กรณีคำสั่งศาลแพ่ง ซึ่งทั้ง 4 คนให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่ากลุ่มพันธมิตรฯ สร้างความวุ่นวายให้กับสังคม ตนจึงต่อว่าพิธีกรไปว่า ถ้าตนนอนหลับแล้วไม่ได้เข้าสายในรายการนี้ คนทั่วไปก็จะเข้าใจว่าเราเป็นอาชญากรแผ่นดิน ที่สำคัญคือเขาไม่ไปสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมชุมนุมว่ามีเหตุผลอะไรถึงได้เข้าร่วมชุมนุม ซึ่งถือเป็นสมดุลข่าวสาร แต่กลับไม่ทำ
“นี่คือวาระสุดท้ายของรัฐบาล เพราะเขาใช้สื่อที่มีอยู่ในหน้าตักมารบกับเราอย่างเต็มที่ โดยมีทั้งกรมประชาสัมพันธ์ และ อสมท. ซึ่งผมเข้าใจว่านายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ผอ.อสมท. คงเข้าใจ และคงไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง รวมทั้งต้องขอร้องไปยังสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งต้องกล้าขัดขืนคำสั่งที่มิชอบมาพากล ทั้งนี้เราต้องให้กำลังผู้สื่อข่าว เพราะเขาต้องการกำลังใจจากเราเท่านั้น อย่าไปกล่าวหายกเข่ง และต้องให้โอกาสเขา เพราะวันนี้ระบอบทักษิณเขาใช้อำนาจที่สามานย์ และก้าวร้าว โดยเฉพาะใครที่ต่อต้านก็จะถูกสั่งย้าย แต่เชื่อว่าถ้าเราเป็นกำลังหนุนของสังคมไปเรื่องๆ หน่วยงานราชการ และองค์กรอิสระ รวมทั้งกระบวนการยุติธรรม ก็จะกลับมายืนอยู่เพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง ดังนั้น เราต้องช่วยกันตรวจสอบสื่อ อย่าให้ตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลแบบง่ายๆ” นายสุริยะใส กล่าว
ชี้ชัด พปช.-ตร.บิดเบือนคำสั่งศาล
ส่วนกรณีที่หลายคนถามว่าเมื่อไหร่การชุมนุมขับไล่รัฐบาลจะจบสิ้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ขณะนี้ตุลาการภิวัฒน์เริ่มทำงาน โดยในวันจันทร์นี้ เราจะเดินทางไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเราอาจจะต้องไปอัยการสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทวงถามถึงความคืบหน้าของแต่ละคดีความ เพราะยังไม่มีหนังสือชี้แจงออกมา โดยยุทธศาสตร์ดาวกระจายในสัปดาห์หน้าจะเข้มข้นขึ้น และมั่นใจว่าการชุมนุมของเราในขณะนี้ อย่างน้อยก็เป็นภูมิคุ้มกันให้กับกระบวนการยุติธรรม และไม่ให้อำนาจทางการเมืองแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้
“เราใจกว้างพอ เพราะเราเคารพคำสั่งของศาลแพ่ง ที่สำคัญทำเนียบรัฐบาลมี 4 ด้าน ถ้าเขาบอกว่าเรารบกวน เราก็จะไปชุมนุมในด้านที่ไม่รบกวน ซึ่งคงต้องรอสักระยะ เพราะในวันจันทร์นี้ จะมีหลักปฏิบัติที่ชัดเจนทั้งฝ่ายนักเรียน ฝ่าย ขสมก. และฝ่ายผู้ชุมนุม ที่สำคัญตำรวจ และพรรคพลังประชาชนพยายามบิดเบือนคำสั่งศาลว่าให้เปิดถนน 24 ชั่วโมง ซึ่งผมไปเปิดดูคำสั่งศาล 2 หน้า ไม่มีบรรทัดใดเลยที่ระบุว่าให้เปิดถนน 24 ชั่วโมง ดังนั้นใครกันแน่ที่บิดเบือนคำสั่งศาล” นายสุริยะใส กล่าว
วอน ปชช.อย่าลังเลร่วมสร้าง “การเมืองใหม่”
ส่วนเรื่องการเมืองใหม่ที่มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า การเมืองใหม่เปรียบเสมือนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ตลอดเวลา ฉะนั้น อยากให้พี่น้องประชาชนอย่าลังเลที่จะร่วมกันแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองใหม่ และกำหนดตัวเองในฐานะผู้แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ โดยส่วนสำคัญของจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ การขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด และกำจัดระบอบทักษิณ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการเมืองเก่าที่เละเทะจะหนักยิ่งกว่าเดิม
“สมมติว่า สิ้นปีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ติดคุก แต่ระบอบไม่ได้ติดคุกด้วย เพราะมีความเชื่อหลงเหลือยู่เรื่องประชาชนซื้อได้ หรือลงทุนด้วยเงิน 5,000 ล้าน ก็สามารถยึดอำนาจรัฐได้ นอกจากนี้ระบอบทักษิณ ยังเชื่อว่าการเปิดการค้าเสรีแบบสุดขั้ว จะทำให้ประเทศพัฒนา ซึ่งถึงขั้นที่จะเปิดให้ 3 จ.ชายแดนภาคใต้ เป็นเขตการค้าเสรี แต่กลับทำให้วิกฤตการณ์ความรุนแรงใน 3 จ.ชายแดนภาคใต้ ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติ เพราะความคิดในระบอบทักษิณ เชื่อว่า ในพื้นที่ดังกล่าวมีทรัพยากรมหาศาล โดยไม่สนใจมิติทางวัฒนธรรม เป็นเหตุให้ระบอบทักษิณเป็นตัวสร้างปัญหา ซึ่งไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด” นายสุริยะใส กล่าว
ยันเดินหน้าด้วยคุณธรรม และความถูกต้อง
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า หัวใจของระบอบทักษิณนั้น เขาอ้างประสิทธิภาพ ความเด็ดขาด ละความรวดเร็ว แต่มีผลประโยชน์แอบแฝง และมีวาระซ่อนเร้น แล้วระบอบทักษิณ ก็จะวิจารณ์เรื่องการมีส่วนร่วมในการชุมนุม ซึ่งทำให้ประเทศเสียโอกาส เพราะเลือกเขามาแล้วก็ต้องให้เขาตัดสินใจบริหารประเทศ โดยให้ประชาชนอยู่เฉยๆ และเขาพูดหลายครั้งว่าถ้า ส.ส. หรือรัฐมนตรีคนใดที่จะทุจริตการเลือกตั้ง ให้มาเอาเงินที่เขา แต่เขากลับเป็นโกงเพียงฝ่ายเดียว แต่หัวใจสำคัญ คือ การขับไล่รัฐบาล และระบอบทักษิณ ดังนั้นการเมืองใหม่ คือ หนทางที่จะกอบกู้วิกฤตประเทศชาติ
“เวลาเราพูดเรื่องการเมืองใหม่ จริงๆ ไม่ต้องตีความอะไรมาก เพราะการที่เราชุมนุมกันอยู่ทุกวันนี้ โดยพฤตินัยก็คือการเมืองใหม่ เพราะเป็นการเมืองที่ถูกชี้นำด้วยคุณธรรม และความถูกต้อง แต่ถ้าเมื่อใดเราพูดเรื่องการเมืองใหม่ แต่ถ้าวัฒนธรรมทางการเมืองของเราทุกคนยังเป็นแบบเก่า โดยเชื่อเรื่องการเลือกตั้งว่าคนที่เข้าไปในสภาจะสามารถตัดสินใจแทนเราได้ หรือยังเชื่อว่าการชุมนุมก่อความวุ่นวาย ซึ่งความคิดแบบนี้ไม่มีทางที่จะสร้างการเมืองใหม่ได้ ดังนั้นเราต้องเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดด้วยการเป็นประชาชนแบบใหม่ โดยกล้าที่จะตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจ ซึ่งระยะหลังคนยากคนจนที่มาร่วมชุมนุมเขาไม่ได้กลัวตำรวจ ผู้ว่าฯ หรือแม้แต่รัฐมนตรี เพราะเขาพร้อมที่จะเปิดโต๊ะเจรจาว่าเขาเดือดร้อนเรื่องอะไร และนั่นก็จะทำให้การเมืองใหม่กำลังจะตามมา” นายสุริยะใส ระบุ