นักเศรษฐศาสตร์ เตือนเศรษฐกิจเอเชียปี 52 ทรุดหนักกว่าปีนี้ หลังแนวโน้มราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุดกดดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ฉุดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แนะขึ้นดอกเบี้ยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ "อภิสิทธิ์"จี้รัฐบาลเร่งเดินหน้านโยบายพัฒนาประเทศ แทนที่จะมุ่งแก้รัฐธรรมนูญ และแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมช่วยเหลือกลุ่มอำนาจเก่า ขณะที่ผู้บริหาร บลจ.ไอเอ็นจี ลั่นการเมืองไทยไม่พัฒนาเหตุไม่มีใครทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ
นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง"เศรษฐกิจ ...ยอบแยบ การเมือง...อึมครึม หุ้น ...? "ว่า ขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองตกอยู่ในภาวะอึมครึม เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน รวมถึงนโยบายเรื่องพลังงานทดแทนที่สับสนว่าจะสนับสนันการใช้ NGV LPG E20 ฯลฯ หรือแม้แต่นโยบายการแก้ปัญหาราคาข้าวและการช่วยเหลือเกษตรกร
ทั้งนี้ รัฐบาลชุดนี้ยึดนโยบายหลักที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว ทำให้มีการชุมนุมคัดค้านและบานปลายไปถึงเรื่องอื่นๆ ขณะเดียวกันรัฐบาลยังห่วงแต่เรื่องการช่วยเหลือด้านคดีทางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่าเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลควรจะปล่อยให้คดีต่างๆดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรมและมุ่งเน้นทำงานเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและประเทศชาติ จะทำให้ปัญหาด้านการเมืองคลี่คลายลงไปได้
สำหรับสิ่งที่รัฐบาลควรที่จะต้องมีการดำเนินการ คือการสร้างความเชื่อมั่น การปรับครม. ด้วยการหาบุคคลที่เหมาะสม เข้ามาทำงานแทนคนเดิมที่ทำงานผิดพลาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและประโยชน์ของประเทศชาติ รวมทั้งต้องมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนทั้งแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ การแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และนโยบายเรื่องพลังงานทดแทน เป็นต้น
เศรษฐกิจเอเชียปี 52 แย่กว่าปี 51
นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจทุกประเทศทั่วโลกกำลังประสบปัญหาเดียวกัน คือราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว และจากการที่เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตได้จากภาคการส่งออกเมื่อเศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัวนั้นทำให้ภาคการส่งออกได้รับผลกระทบ ดังนั้นรัฐบาลควรที่จะต้องเตรียมแผนหาธุรกิจอื่นเข้ามาเพื่อที่จะกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
สำหรับในปี 52 คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจในเอเชียจะเติบโตต่ำกว่าปี 51 จากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น เพราะประเทศในแถบเอเชียมีการนำเข้าน้ำมันสูง ซึ่งจะผลักดันอัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันยังส่งผลทำให้ยอดเกินดุลการค้าลดลงหรืออาจจะขาดดุลการค้าได้
"ปัญหาต่างๆจะส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลง การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะมีการตกต่ำและทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง โดยนักลงทุนต่างประเทศนั้นมองเห็นถึงปัญหาดัง จึงมีการเทขายหุ้นทั่วเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทย ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา"
น.ส.อุสรา กล่าวว่า จากปัญหาดังกล่าวนั้น ประเทศไทยจะต้องระมัดระวังในการดำเนินนโยบายเรื่องการเงิน การคลัง และมองการณ์ไกลเพื่อเตรียมรับมือและจัดการปัญหาที่จะเกิดขึ้นในปี 51 โดยปัจจุบันนโยบายทางด้านการคลังจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ในเรื่องนโยบายทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องอัตราดอกเบี้ยยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ดังนั้นทางการต้องยึดนโยบายทางการเงินที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมต่อประเทศไทย
แนะ ธปท.ขึ้นดอกเบี้ยแก้เงินเฟ้อ
"อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.6% จากเดิม 2.7% หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์มีการอนุมัติให้ผู้ประกอบการมีการขึ้นราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคนั้น ขณะที่ธปท. นั้นจะควบคุมให้เงินเฟ้อพื้นฐาน3.5% ทำให้ธปท.จะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคาดปรับขึ้น 0.25% ประมาณ 2 ครั้ง ก็เพียงพอในการดูและเงินเฟ้อแล้ว"
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ปัญหาทางด้านนโยบายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนมากกว่าปัจจัยทางการเมือง ซึ่งเห็นได้จากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ 10% เหตุการณ์ 14 ตุลาคม เศรษฐกิจโต 9% และเมื่อมีการปฏิวัติในเดือนกันยายน 2549 นั้นค่าเงินบาทไม่อ่อนค่า ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไม่มากนัก เมื่อเทียบกับมีการประกาศใช้มาตรการกันเงินสำรอง 30% ทำให้หุ้นร่วงถึง 100 จุด
"การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนถึง 80% หากค่าเงินบาทมีการอ่อนค่าลดลงเรื่อยๆ นักลงทุนไทยอย่ารีบเข้าไปลงทุนในหุ้น เพราะการอ่อนค่าของเงินบาทแสดงว่านักลงทุนต่างประเทศยังมีความกังวล แต่ถ้าราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุด และเงินบาทอ่อนค่าถึงจุดสูงสุดแล้ว เป็นจังหวะที่จะเข้าไปลงทุน"
นักการเมืองเมินประโยชน์ชาติ
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า นับจากอดีตถึงปัจจุบันการเมืองไทยไม่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น ไม่มีคนที่เข้ามาทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ ต่างจากประเทศคอมมิวนิสต์ เช่น ประเทศจีน ที่มีการบริหารจัดการทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นทำให้เป็นที่ยอมรับของประเทศต่างๆ แม้จะมีการปกครองไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้จริง และประเทศเวียดนามองก็มีการนำวิธีการบริหารของจีนมาใช้ ในการพัฒนาประเทศ
"รัฐบาลควรจะยึดนโยบายการบริหารเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ดี ซึ่งส่วนตัวมองว่าการชุมนุมประท้วงไม่น่าจะมีความรุนแรงหากมีการดูแลที่ดี ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังจะต้องประสานงานกันเพื่อที่จะดำนเนินนโยบายการเงินการคลังให้เศรษฐกิจของประเทศมีการเติบโตที่ดี"
นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง"เศรษฐกิจ ...ยอบแยบ การเมือง...อึมครึม หุ้น ...? "ว่า ขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองตกอยู่ในภาวะอึมครึม เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน รวมถึงนโยบายเรื่องพลังงานทดแทนที่สับสนว่าจะสนับสนันการใช้ NGV LPG E20 ฯลฯ หรือแม้แต่นโยบายการแก้ปัญหาราคาข้าวและการช่วยเหลือเกษตรกร
ทั้งนี้ รัฐบาลชุดนี้ยึดนโยบายหลักที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว ทำให้มีการชุมนุมคัดค้านและบานปลายไปถึงเรื่องอื่นๆ ขณะเดียวกันรัฐบาลยังห่วงแต่เรื่องการช่วยเหลือด้านคดีทางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่าเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลควรจะปล่อยให้คดีต่างๆดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรมและมุ่งเน้นทำงานเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและประเทศชาติ จะทำให้ปัญหาด้านการเมืองคลี่คลายลงไปได้
สำหรับสิ่งที่รัฐบาลควรที่จะต้องมีการดำเนินการ คือการสร้างความเชื่อมั่น การปรับครม. ด้วยการหาบุคคลที่เหมาะสม เข้ามาทำงานแทนคนเดิมที่ทำงานผิดพลาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและประโยชน์ของประเทศชาติ รวมทั้งต้องมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนทั้งแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ การแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และนโยบายเรื่องพลังงานทดแทน เป็นต้น
เศรษฐกิจเอเชียปี 52 แย่กว่าปี 51
นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจทุกประเทศทั่วโลกกำลังประสบปัญหาเดียวกัน คือราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว และจากการที่เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตได้จากภาคการส่งออกเมื่อเศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัวนั้นทำให้ภาคการส่งออกได้รับผลกระทบ ดังนั้นรัฐบาลควรที่จะต้องเตรียมแผนหาธุรกิจอื่นเข้ามาเพื่อที่จะกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
สำหรับในปี 52 คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจในเอเชียจะเติบโตต่ำกว่าปี 51 จากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น เพราะประเทศในแถบเอเชียมีการนำเข้าน้ำมันสูง ซึ่งจะผลักดันอัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันยังส่งผลทำให้ยอดเกินดุลการค้าลดลงหรืออาจจะขาดดุลการค้าได้
"ปัญหาต่างๆจะส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลง การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะมีการตกต่ำและทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง โดยนักลงทุนต่างประเทศนั้นมองเห็นถึงปัญหาดัง จึงมีการเทขายหุ้นทั่วเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทย ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา"
น.ส.อุสรา กล่าวว่า จากปัญหาดังกล่าวนั้น ประเทศไทยจะต้องระมัดระวังในการดำเนินนโยบายเรื่องการเงิน การคลัง และมองการณ์ไกลเพื่อเตรียมรับมือและจัดการปัญหาที่จะเกิดขึ้นในปี 51 โดยปัจจุบันนโยบายทางด้านการคลังจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ในเรื่องนโยบายทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องอัตราดอกเบี้ยยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ดังนั้นทางการต้องยึดนโยบายทางการเงินที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมต่อประเทศไทย
แนะ ธปท.ขึ้นดอกเบี้ยแก้เงินเฟ้อ
"อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.6% จากเดิม 2.7% หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์มีการอนุมัติให้ผู้ประกอบการมีการขึ้นราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคนั้น ขณะที่ธปท. นั้นจะควบคุมให้เงินเฟ้อพื้นฐาน3.5% ทำให้ธปท.จะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคาดปรับขึ้น 0.25% ประมาณ 2 ครั้ง ก็เพียงพอในการดูและเงินเฟ้อแล้ว"
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ปัญหาทางด้านนโยบายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนมากกว่าปัจจัยทางการเมือง ซึ่งเห็นได้จากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ 10% เหตุการณ์ 14 ตุลาคม เศรษฐกิจโต 9% และเมื่อมีการปฏิวัติในเดือนกันยายน 2549 นั้นค่าเงินบาทไม่อ่อนค่า ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไม่มากนัก เมื่อเทียบกับมีการประกาศใช้มาตรการกันเงินสำรอง 30% ทำให้หุ้นร่วงถึง 100 จุด
"การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนถึง 80% หากค่าเงินบาทมีการอ่อนค่าลดลงเรื่อยๆ นักลงทุนไทยอย่ารีบเข้าไปลงทุนในหุ้น เพราะการอ่อนค่าของเงินบาทแสดงว่านักลงทุนต่างประเทศยังมีความกังวล แต่ถ้าราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุด และเงินบาทอ่อนค่าถึงจุดสูงสุดแล้ว เป็นจังหวะที่จะเข้าไปลงทุน"
นักการเมืองเมินประโยชน์ชาติ
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า นับจากอดีตถึงปัจจุบันการเมืองไทยไม่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น ไม่มีคนที่เข้ามาทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ ต่างจากประเทศคอมมิวนิสต์ เช่น ประเทศจีน ที่มีการบริหารจัดการทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นทำให้เป็นที่ยอมรับของประเทศต่างๆ แม้จะมีการปกครองไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้จริง และประเทศเวียดนามองก็มีการนำวิธีการบริหารของจีนมาใช้ ในการพัฒนาประเทศ
"รัฐบาลควรจะยึดนโยบายการบริหารเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ดี ซึ่งส่วนตัวมองว่าการชุมนุมประท้วงไม่น่าจะมีความรุนแรงหากมีการดูแลที่ดี ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังจะต้องประสานงานกันเพื่อที่จะดำนเนินนโยบายการเงินการคลังให้เศรษฐกิจของประเทศมีการเติบโตที่ดี"