xs
xsm
sm
md
lg

ไทยขาดดุลการค้าสูงสุดรอบ 12 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ไทยขาดดุลการค้าในเดือนเม.ย. 1,808 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดในรอบ 12 ปี ผลพวงจากน้ำมันแพงกระฉูด แถมยังมีการนำเข้าทองคำอีกเป็นจำนวนมาก ส่วนยอดส่งออกในรอบ 4 เดือนโต 22.2% แต่ขาดดุลรวมเฉียด 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ ส.อ.ท. จี้รัฐใช้ยาแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ "เอสโซ่"ไม่สนประชาชนเดือดร้อน ประกาศขึ้นราคาน้ำมันรายวัน โดยวันนี้ขยับขึ้นดีเซลอีก 50 สตางค์มาอยู่ที่ 36.94 บาท/ลิตร ด้านราคาน้ำมันโลกทะลุ 130 ดอลลาร์

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไทยในเดือนเม.ย.มีมูลค่า 13,765.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 26.96% ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของกระทรวงพาณิชย์ที่สามารถผลักดันการส่งออกให้เติบโตได้ในระดับนี้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 15,572.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 44.4% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 1,807.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการขาดดุลการค้าที่สูงขึ้นนี้ เป็นเพราะการนำเข้าน้ำมันเป็นสาเหตุหลัก จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และยังมีการนำเข้าทองคำที่เพิ่มขึ้นมาก

“เดือนเม.ย. ไทยนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นมาก มีมูลค่า 3,658 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 88.1% ในจำนวนนี้เป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบ 2,760 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 82.85% ซึ่งเมื่อเทียบกานนำเข้าน้ำมันในเดือนนี้กับเดือนเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเพิ่มขึ้น 1,713 เหรียญสหรัฐ ขณะที่การนำเข้าทองคำเดือนเม.ย. มีมูลค่า 536 ล้านเหรียญสหรัฐ เดือนเม.ย.ปีก่อนนำเข้าแค่ 75 ล้านเหรียญสหรัฐ เดือนนี้จึงนำเข้าเพิ่ม 462 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมๆ กันแล้ว ก็เกิน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไทยขาดดุลการค้า”นายศิริพลกล่าว

อย่างไรก็ตาม การนำเข้าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ จะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการเรื่องอาหารและพลังงานในเร็วๆ นี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และอาจจะพิจารณาใช้มาตรการที่เหมาะสม ขณะที่ทองคำ จะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อประเมินว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ส่วนจะมีมาตรการออกมาดูแลหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาก่อน

สำหรับการส่งออกในระยะ 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.) มีมูลค่า 55,481.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 22.2% การนำเข้ามีมูลค่า 58,471 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 39.7% โดยขาดดุลรวม 2,989.9 ล้านเหรียญสหรัฐ

นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า การส่งออกในเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้นทุกหมวดสินค้า โดยสินค้าเกษตรและอุตสาหรรมเกษตรเพิ่มขึ้น 44.4% สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น ข้าว มูลค่าเพิ่มขึ้น 137.6% ยางพารา 32.5% มันสำปะหลัง 41.3% อาหาร 39.1% ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม ส่งออกเพิ่มขึ้น 20.5% สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มเกิน 15% เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ สิ่งทอ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก วัสดุก่อสร้าง อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้เดินทาง เครื่องหนัง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช เครื่องมือแพทย์ ของเล่น น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องจักรและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เลนซ์ อาหารสัตว์เลี้ยง นาฬิกาและส่วนประกอบ เครื่องกีฬาและเครื่องเล่นเกม

สำหรับตลาดส่งออก ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยตลาดใหม่ขยายตัวสูงถึง 31.1% ตลาดส่งออกที่ขยายตัว เช่น แอฟริกา 65.7% อินโดจีนและพม่า 68.1% ฮ่องกง 26.4% จีน 32.5% ลาตินอเมริกา 45.5% ยุโรปตะวันออก 31.9% และอินเดีย 40.7% ส่วนตลาดหลัก ขยายตัว 23.5% ตลาดสำคัญ เช่น อาเซียน (5) เพิ่มขึ้น 32.9% สหภาพยุโรป (15) เพิ่มขึ้น 15.8% สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 13.9% และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 29.1%

ส่วนการนำเข้าในเดือนเม.ย.ที่เพิ่มขึ้นมาก เป็นเพราะการนำเข้าสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิงสูงมาก มูลค่า 3,658 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 88.1% ขณะที่สินค้าทุน ก็มีการนำเข้ามูลค่า 3,577 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 251% สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป มูลค่า 6,576 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 43.3% สินค้าอุปโภคบริโภค มูลค่า 1,298 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 42% ยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง มูลค่า 465 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 32.1%

อย่างไรก็ตาม กรมฯ ยังมั่นใจว่าการส่งออกทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะมีมูลค่า 1.71 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 12.5% ได้อย่างแน่นอน และน่าจะทำตามเป้าทำงานที่ 15% ได้ไม่ยาก เพราะจากการดูแนวโน้มสินค้านำเข้า นอกเหนือจากน้ำมันแล้ว เป็นการนำเข้าที่จะส่งผลดีต่อการส่งออก ทั้งสินค้าทุน และวัตถุดิบ ทั้งนี้ กรมฯ จะมีการหารือร่วมกับผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศในวันนี้ (22 พ.ค.) เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกด้วย

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า การขาดดุลการค้าในเดือนเม.ย.ที่มีมูลค่า 1,808 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น เป็นการขาดดุลที่สูงสุดในรอบ 12 ปี นับจากเดือนเม.ย.2539 ที่ขาดดุลการค้ามูลค่า 2,076 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2539 ทั้งปี มียอดการขาดดุลการค้ารวม 16,300 ล้านเหรียญสหรัฐ

เอสโซ่ขึ้นดีเซลนำโด่งอีก 50 สต.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปตท.และบางจากได้ตัดสินใจปรับขึ้นราคาดีเซลอีก 50 สตางค์ต่อลิตรมีผลวันนี้(22พ.ค.) เป็นต้นไป ส่งผลให้ดีเซลของปตท.และบางจากอยู่ที่ 35.94 บาทต่อลิตร ขณะเดียวกัน เอสโซ่ได้แจ้งปรับราคาขายปลีกดีเซลอีก 50 สตางค์/ลิตร หลังจากเพิ่งขึ้นราคาดีเซลไปเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 70 สตางค์/ลิตร ส่งผลให้ปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลของเอสโซ่สูงกว่าปตท.และบางจากถึงลิตรละ 1 บาท อยู่ที่ 36.94 บาท/ลิตร คาดว่าผู้ค้ารายอื่นๆ จะทยอยปรับขึ้นตาม

จี้รัฐต้องใช้ยาแรงกระตุ้น ศก.

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัญหาราคาน้ำมันแพงขณะนี้เป็นสิ่งที่น่าวิตกที่จะฉุดรั้งการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจไทยได้ดังนั้นการที่คลังระบุว่าจะหามาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่นั้นเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรจะต้องเร่งดำเนินการและจะต้องเป็นมาตรการที่เป็นยาแรงเนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจปัจจุบันกำลังอยู่ในบรรยากาศที่ซึมๆ ซึ่งสาเหตุนอกเหนือจากน้ำมัน ราคาสินค้าที่ขึ้นทำให้คนประหยัดแล้วน่าจะมาจากปัญหาการเมืองที่ยังมีบรรยากาศที่ไม่สู้ดีนัก

“มาตรการที่ออกมาแล้วก่อนหน้าเช่นภาษีอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็คิดว่าเริ่มซาๆ ลงไปควรจะลงลึกในรายละเอียดของภาษีต่างๆ เพิ่มเติมในการกระตุ้นกำลังซื้อ รวมไปถึงมาตรการด้านสินเชื่อในการสนับสนุนเพิ่มเติมเพราะเวลานี้สถาบันการเงินค่อนข้างเข้มงวดเพราะมีการห่วงเรื่องหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL เพิ่ม ส่วนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นหากจะมีการคุมราคาก็ไม่เห็นด้วยเพราะจะยิ่งทำให้ไม่ประหยัดและจะสูญเสียเงินเปล่าประโยชน์ ควรมองไปที่การประหยัด และพลังงานทดแทนเช่น NGV ซึ่งทำอย่างไรให้ NGV มีบริการที่ถั่วถึงหากจะส่งเสริม การปรับปรุงระบบขนส่ง”นายสันติ กล่าว

“พาณิชย์” ติดตามสินค้าห้ามขาดแคลน

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมการค้าภายในจะลงไปดูแลทั้งเรื่องราคาและปริมาณสินค้าในตลาดควบคู่กันไป เพราะเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์กัน โดยเฉพาะสินค้าพิเศษที่ต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ได้แก่ เหล็ก ปุ๋ย น้ำมันพืช ผลิตภัณฑ์นม และยารักษาโรค เพราะสินค้าเหล่านี้มีปริมาณขาดแคลน จะกระทบกับผู้ใช้จำนวนมาก ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาการขาดแคลน เนื่องจากมีผู้ประกอบการหลายราย ทำให้เกิดการแข่งขันในตลาดสูง

ราคาน้ำมันโลกทะลุ 130 ดอลลาร์

สำนักข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งทะลุระดับ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้วในการซื้อขายที่ลอนดอนเมื่อวานนี้(21) โดยตลาดซึ่งเต็มไปด้วยพวกเก็งกำไรอ้างเหตุผลเรื่องความกังวลใจเกี่ยวกับผลผลิตจะชะงักติดขัดในระยะยาว ผสมกับภาวะน้ำมันสำเร็จรูปตึงตัวในช่วงระยะใกล้ๆ นี้

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของตลาดไนเม็กซ์แห่งนิวยอร์ก พุ่งไปทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ที่ 130.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะถอยลงมาอยู่ที่ 129.54 ดอลลาร์ ซึ่งยังคงสูงกว่าตอนปิดวันอังคาร(20) อยู่ 56 เซ็นต์ เมื่อเวลาประมาณบ่ายโมงเศษๆ ของลอนดอน ขณะที่น้ำมันดิบชนิดเบรนต์ ของลอนดอน ก็ขึ้นไป 1.01 ดอลลาร์ อยู่แถวๆ 128.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

"ตลาดนี้ยังไม่ยอมที่จะถอยลงมา" รอเบิร์ต ลัฟลิน แห่ง เอ็มเอฟ โกลบอล ให้ความเห็น "ยังคงมีการสั่งซื้อแบบเก็งว่าราคาจะขึ้นต่อไปในอนาคต เข้ามาในตลาดอยู่เรื่อยๆ ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในระดับที่ขึ้นถึงเพดานอย่างนี้แล้ว"

เมื่อวันอังคาร ที. บูน พิกเคนส์ อภิมหาเศรษฐีนักลงทุนผู้คร่ำหวอดกับแวดวงน้ำมันมายาวนาน ได้ออกมาแสดงการคาดหมายว่า จะได้เห็นราคาน้ำมันทะลุระดับ 150 ดอลลาร์กันในปีนี้ โดยที่ในวันเดียวกัน โซซิเยเต้ เจเนราล แบงก์ยักษ์ฝรั่งเศส และ เครดิต สวิส แบงก์ใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ ต่างได้ปรับตัวเลขทำนายราคาน้ำมันสำหรับปีนี้ให้สูงขึ้น โซซิเยเต้ เจเนราลปรับขึ้น 14 ดอลลาร์ เป็น 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเครดิต สวิสขึ้นมาอีก 29 ดอลลาร์ เป็น 120 ดอลลาร์
กำลังโหลดความคิดเห็น