xs
xsm
sm
md
lg

จาก3หนาถึงแก๊งทนาย "คุก"จุบจบลิ่วล้อทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ข่าวเชิงวิเคราะห์

หลายคนอาจเคยตั้งคำถามว่าทำไมใครต่อใคร ถึงพากันไปรับใช้ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ?! ?จะด้วยเพราะพระเดชพระคุณ ที่ “ระบอบทักษิณ” สามารถดลบันดาลให้หน้าที่การงานเจริญก้าวไกล หรือแค่เพราะเศษเงินที่โยนมาให้ คนเหล่านั้นจึงจำยอมมอบกายถวายชีวิตและจิตใจจนไม่นึกถึงเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของตัวเองและวงศ์วานว่านเครือ

จริงอยู่การที่ใครจะ“รักทักษิณ” จนยอมเป็นข้ารับใช้ ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ไปห้ามกันไม่ได้ แต่หากจะก้มหน้าก้มตารับใช้นายใหญ่ จนต้องกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง คงต้องพึงระวังเอาไว้ให้ดี เพราะที่ผ่านมา มีตัวอย่างของ “ลิ่วล้อทักษิณ” ที่ต้องพบจุดจบอันเลวร้ายมาแล้วมากมาย

“แก๊ง กกต.3 หนา” พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ,นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร เป็นทาสทักษิณก๊วนแรก ที่ต้องพบจุดจบอย่างบอบช้ำที่สุด เมื่อทั้ง 3 จำเลย ถูกศาลพิพากษา จำคุก 4 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยไม่รอลงอาญา พร้อมพ่วงโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งอีก 10 ปี กรณีออกหนังสือเวียนถึง ผอ.กกต.เขต ให้รับผู้สมัครรายเดิมเวียนเทียนสมัครใหม่ เอื้อประโยชน์ให้พรรคไทยรักไทย ได้รับคะแนนเสียงผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 20 ในการเลือกตั้งซ่อม เมื่อวันที่ 23 และ 29 เมษายน 2549

แม้สามหนาจะอุทธรณ์ขอลดหย่อนโทษโดยอ้างคุณงามความดีว่าเคยรับราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะมาทั้งชีวิต แต่ศาลเห็นว่าจำเลยทั้ง 3 รับราชการจนได้รับตำแหน่งหน้าที่สำคัญมาก่อนเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งที่ทำให้ได้รับเลือกเป็น กกต. ซึ่งบุคคลที่จะมาเป็น กกต.ได้ตามรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 136 บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากผู้ที่มีความเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตจนเป็นที่ประจักษ์โดยหวังให้เป็นคณะกรรมการที่จะจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์เที่ยงธรรมเป็นที่พึ่งชาติบ้านเมือง และรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

แต่จากการดำเนินการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 ของจำเลย ดำเนินการเลือกตั้งที่สร้างความแตกแยกให้กับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างที่สุดและเกิดปรากฏการณ์ต่อต้านการทำงานของจำเลยอย่างไม่มีมาก่อน ทั้งในเรื่องที่พรรคการเมืองใหญ่หลายพรรคไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือการที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยทำบัตรเสีย บางคนฉีกทำลายบัตรโดยไม่กลัวเกรงกฎหมาย อีกทั้ง มีผู้คัดค้านการจัดสถานที่และคูหาเลือกตั้งจนศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครองได้มีคำวินิจฉัยว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญฯปี 40 และให้เพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าว แต่ในการจัดการเลือกตั้งใหม่วันที่ 23 เมษายน 2549 จำเลยทั้งสามยังดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบ และเป็นการได้เปรียบของพรรคการเมืองบางพรรค ทำให้เกิดความแตกแยกในชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวงมากขึ้นกว่าเดิม จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ

“นายธนา เบญจาทิกุล” ทนายความคนดัง เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ “ลิ่วล้อ” ที่รับใช้ระบอบทักษิณจนลืมตัวกล้าออกมาพูดจากล่าวหาว่า “ ศาลมีธง” ในการพิจารณาพิพากษา จำคุก 3 กกต. จนในที่สุดต้องถูกพิพากษา จำคุก 1 ปี ในคดีละเมิดอำนาจศาล โดยมีหลักฐานคำพิพากษาระบุว่า"จำเลยซึ่งประกอบอาชีพทนายความของพรรคไทยรักไทย และทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์การพิจารณาคดีพิพากษาคดีดังกล่าวของศาลอาญาต่อผู้สื่อข่าว ที่บริเวณที่ทำการพรรคไทยรักไทย ว่า “ศาลพิพากษาอย่างนี้แสดงว่ามีธงมาก่อน” ผู้สื่อข่าวถามว่า “ที่บอกว่าศาลตัดสินแบบนี้ แสดงว่าศาลมีธงหมายความอย่างไรตามกฎหมาย” จำเลยตอบว่า “ก็คือว่าไม่พิจารณาไปตามพยานหลักฐานที่มีอยู่แค่นั้น” อันเป็นการดูหมิ่นศาลอาญาหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198 จำคุก 1 ปี และปรับ 14,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 7,000 บาท พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะของจำเลยแล้ว เห็นว่า จำเลยสำนึกในการกระทำความผิด โดยขอลุแก่โทษต่อศาล และผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งให้คำมั่นว่าในภายภาคหน้าจำเลยจะไม่ปฏิบัติหรือให้ความเห็นกระทบกระเทือนต่อกระบวนการยุติธรรมอีกต่อไป โดยจะถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ประกอบกับจำเลยประกอบอาชีพทนายความ เคยเป็นวิทยากรอบรมและให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชนโดยทั่วไป และทนายความ อันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ สังคมอยู่บ้าง เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยงานนี้ส่งผลทำให้ “ ทนายหน้าหอ” แทบจะหมดอนาคตในการประกอบวิชาชีพทนายความ**

พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือ ที่รู้จักกันดีในนาม“โอ๋ สืบ 6” เป็นตัวอย่างของ “ ตำรวจระบอบทักษิณ” ที่รับใช้นายจนลืมสิ้นหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน ผลสุดท้ายตำรวจสายสืบคนดังที่กำลังจะมีอนาคต ต้องถูกปลดออกจากราชการ แถมถูกศาลพิพากษาจำคุกอีก 2 ปี กรณีสั่งการให้ลิ่วล้อรุมทำร้ายประชาชนที่ตะโกนขับไล่ทักษิณ หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์

วันนี้แม้“พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา จะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยมนามสกุล เป็น พ.ต.อ.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์"ไปแล้วก็ตามที แต่จากความผิดที่เขาได้ก่อขึ้น มันยังไม่สามารถลบล้างได้ เขาหมดสิ้นซึ่งโอกาสที่จะกลับเข้าสู่ชีวิตตำรวจได้อีกต่อไป

จากผลงานอันย่ำแย่ เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2549 เวลากลางวัน ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หรือจัดการให้เป็นไปตามกฎหมายอาญา มีหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงแต่กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยสั่งการให้ นายจรัญ จงอ่อน นายชัยสิทธิ์ ลอม๊ะห์ นายสุเมธ บุญยรัตพันธุ์ เข้าไปรุมทำร้ายและจับกุมตัว นายฤทธิรงค์ ลิขิตประเสริฐกุล กับ นายวิชัย เอื้อปิยาพันธุ์ ซึ่งเป็นกลุ่มประชาชนที่ตะโกนขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และยังละเว้นไม่ดำเนินการจับกุมดำเนินคดีต่อผู้ที่รุมทำร้ายประชาชนที่ตะโกนขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ เหตุเกิดที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซา แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กทม.

โดยผลแห่งการกระทำคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ชี้มูลความผิดทางวินัย กับจำเลย ฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการหรือละเว้นกระทำการใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ม.79(2) (5) (9) และมีมติให้ส่งเรื่องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามวินัย ตามกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 92 (ไล่ออกจากราชการ) พร้อมกับส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ดำเนินคดีอาญา ตามกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 97 ไม่แต่เพียงแค่นั้น เขายังได้รับโทษทางอาญา อีกมูลฐานความผิด โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ให้จำคุก 2 ปี ปรับ 10,000 บาท แต่ศาลเห็นควรปรานีให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 2 ปี และถือเป็นบทเรียนแห่งความผิดพลาดครั้งสำคัญที่สุดที่"โอ๋ สืบ 6"ต้องจดจำไปตลอดชีวิต

“เจ๊เพ็ญ” นายจักรภพ เพ็ญแข ที่ตอแหลออกมาสู้เพื่อนายใหญ่ “ ขายวิญญาณ” อาจหาญวิ่งชนฟ้า กล้าแม้กระทั่งพูดจา “จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ” ผลสุดท้ายก็ได้รับจุดจบที่เจ็บปวด ต้องกระเด็นออกจากเก้าอี้ “รัฐมนตรี” แถมโดนดำเนินคดีฐานฐานดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีโทษจำคุก 3 – 15 ปี

แม้วันนี้"เจ๊เพ็ญ"จะยังไม่ถูกพิพากษาโทษ แต่ด้วยน้ำหนักและหลักฐานที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สรุปในเบื้องต้นว่า คดีมีมูลความผิดตามที่ถูกกล่าวหา วันนี้ เจ๊เพ็ญ รอเพียงการชี้มูลความผิดในระดับ ตร.ที่มี พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ รอง ผบ.ตร.(เพื่อนแม้ว)ชี้ขาดในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนส่งอัยการฟ้องศาล และถือเป็นอีกคดีสำคัญ ของผู้ที่รับใช้ทักษิณ จะต้องไปจบลงที่คำพิพากษาของศาล

และกรณีล่าสุด นายพิชิฏ ชื่นบาน , น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ และนายธนา ตันศิริ  ทีมทนายความทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาฯที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกทันที คนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล หลังกระทำการอุกอาจหิ้วถุงขนมสอดไส้เงินสด 2 ล้านบาท พยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาลฯ ถึงบนอาคารศาลฎีกา ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ “ทาสทักษิณ” ที่ต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถในคุก เพราะรับใช้นายจนไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง กล้ากระทำชั่วในรั้วศาลสูงสุดของประเทศอย่างศาลฎีกา

คดีนี้ศาลเห็นว่า ถือว่าการที่ผู้ถูกกล่าวหานำเงิน 2 ล้านบาทมามอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาฯ เพื่อมุ่งหมายจูงใจให้เจ้าหน้าที่กระทำการอันมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่อาจเชื่อโยงเป็นประโยชน์ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามซึ่งกระทำการร่วมกันจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพานิชย์ ม.31 (1) , 33 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา ม.83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ตามประมลกฎหมายอาญา มาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน

การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามเป็นการกระทำที่อุกอาจท้าทายละเกิดขึ้นที่ศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศ อีกทั้งผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามประกอบอาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมายย่อมตระหนักดีกว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามจะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาลยุติธรรมและจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาในการปฎิบัติหน้าที่ของบุคคลากรในอำนาจตุลาการจึงเห็นสมควรลงโทษสถานหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน ส่วนความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงานนั้น ให้นายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ผู้กล่าวหาคดีนี้ไปดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

งานนี้ “ สามทนายชั่ว” นอกจากจะต้องติดคุกแล้ว ยังต้องหมดอนาคตในวิชาชีพไปโดยปริยาย เมื่อ “ คณะกรรมการมรรยาทาสภาทนาย ” เตรียมเชือดซ้ำโดยการถอนชื่อออกจากบัญชีทนายความ ซึ่งจะทำให้ทั้งสามไม่สามารถประกอบวิชาชีพหมอความไปอีก 5 ปี หรือตลอดชีวิต ซึ่งถือเป็นจุดจบอย่างน่าอนาถของทนายความที่รับใช้นายจนไม่คำนึงการประกอบวิชาชีพโดยสุจริต

“กรณีนายพิชิฏกับพวก สร้างความสะเทือนและนำความเสื่อมเสียมาให้วงการทนายความเป็นอย่างมา นึกไม่ถึงว่าจะมีทนายความกล้าทำแบบนี้ และจะเป็นคดีตัวอย่างที่ต้องนำไปใช้ในการอบรมมรรยาททนายความและหามาตรการป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมอยากให้ทนายความทั่วประเทศดูไว้เป็นอุทาหรณ์ในตอนเลือกรับว่าความคดีให้ใคร เพราะจริงอยู่ว่าไม่ว่าจำเลยมีเงินมีอิทธิพลหรือเป็นอาชญากรมาจากไหน ทนายความย่อมต้องช่วยว่าความให้ แต่ต้องทำด้วยความสุจริต” นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ประธานคณะกรรมการมรรยาทสภาทนายความ ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจ

ปิดท้ายขอเตือน..2 กกต.ชุดปัจจุบันรายแรก นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวน ผู้ที่ออกหน้าออกตา รับใช้ระบอบทักษิณ อย่างสุดโด่ง ไม่ฟังเสียงเรียกร้องจากประชาชน ไม่ใส่ใจจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง รายที่สอง นางสดศรี สัตยธรรม ที่แรกเริ่มเดิมที ดูลีลาดี แต่อยู่ๆก็ไม่วาย ถูกกล่าวหาว่าพฤติการณ์ที่ท่านได้กระทำในคดี นายยงยุทธ ติยะไพรัช และน.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาว กรณีทุจริตการเลือกตั้ง น่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้กระทำความผิด

คดียุทธใบแดงไม่แต่เพียง"นายสมชัย และนางสดศรี"ที่ถูกมองว่า มีเอี่ยวในการช่วยเหลือเพื่อไม่ให้นำไปสู่คำพิพากษายุบพรรคพลังประชาชน "พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน" ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและวินิจฉัย 5 คืออีกบุคคลที่ มีพฤติการณ์รับใช้ ระบอบทักษิณ อย่างโจ่งแจ้ง เมื่อเขามีส่วนร่วมในการทำหลักฐานเท็จ ยื่นต่อศาล เพื่อช่วยเหลือให้ นายยงยุทธ พ้นผิด วันนี้ คำพิพากษาคดียุทธใบแดง ยังไม่ออกมา แต่สำหรับคนใน กกต.ที่อาสาช่วยเหลือ ระบอบทักษิณ สักวันหนึ่ง หากความจริงปรากฎ คดียุบพรรคถึงที่สุด วันนั้น ท่านจะสุ่มเสี่ยงต่อการเข้าคุก

มีคำพูดติดปากว่า “ให้เอาเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่าง” โดยเฉพาะ “ ตัวอย่างที่ชั่ว” ดังนั้นจึงอยากฝากเตือนไปถึง นักการเมือง และข้าราชการ รวมทั้งกลุ่มบุคคล ที่กำลังคิดจะรับใช้ระบอบทักษิณให้พึงระวังเอาไว้ให้ดี หากคิดจะกระทำการใดๆ เพื่อรับใช้นายใหญ่ ให้นึกถึงกฎหมายบ้านเมืองไว้เป็นสำคัญ มิฉะนั้นท่านอาจจะพบจุดจบใน คุก!! เช่นเดียวกับ “ ลิ่วล้อทักษิณ ” รายแล้วรายเล่า ดังที่กล่าวให้เห็นเป็นตัวอย่างในข้างต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น