หลายคนอาจเคยตั้งคำถามว่าทำไมใครต่อใคร ถึงพากันไปรับใช้ “ ทักษิณ” ?! ? จะด้วยพระเดชพระคุณ ที่ “ระบอบทักษิณ” สามารถดลบันดาลให้หน้าที่การงานเจริญก้าวไกล หรือแค่เพราะเศษเงินที่โยนมาให้ คนเหล่านั้นจึงยอมมอบกายถวายชีวิตและจิตใจจนไม่นึกถึงเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของตัวเองและวงศ์วานว่านเครือ
จริงอยู่การที่ใครจะ “ รักทักษิณ” จนยอมเป็นข้ารับใช้ ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ไปห้ามกันไม่ได้ แต่หากจะก้มหน้าก้มตารับใช้นายใหญ่ จนต้องกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง คงต้องพึงระวังเอาไว้ให้ดี เพราะที่ผ่านมามี มีตัวอย่างของ “ ลิ่วล้อทักษิณ” ที่ต้องพบจุดจบอันแล้วร้ายมาแล้วมากมาย
“ แก๊ง กกต.3 หนา” วาสนา เพิ่มลาภ ,ปริญญา นาคฉัตรีย์ และวีระชัย แนวบุญเนียร เป็นทาสทักษิณก๊วนแรก ที่ต้องพบจุดจบอย่างบอบช้ำ เมื่อถูกศาลพิพากษา จำคุก 4 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยไม่รอลงอาญา พ่วงเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งอีก 10 ปี กรณีออกหนังสือเวียนถึง ผอ.กต.เขต ให้รับผู้สมัครรายเดิมเวียนเทียนสมัครใหม่ เอื้อประโยชน์ให้พรรคไทยรักไทย ได้รับคะแนนเสียงผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 20 ในการเลือกตั้งซ่อม เมื่อวันที่ 23 และ 29 เมษายน 49
แม้สามหนาจะอุทธรณ์ขอลดหย่อนโทษโดยอ้างคุณงามความดีว่าเคยรับราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะมาทั้งชีวิต แต่ศาลเห็นว่าจำเลยทั้ง 3 รับราชการจนได้รับตำแหน่งหน้าที่สำคัญมาก่อนเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งที่ทำให้ได้รับเลือกเป็น กกต. ซึ่งบุคคลที่จะมาเป็น กกต.ได้ตามรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 136 บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากผู้ที่มีความเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตจนเป็นที่ประจักษ์โดยหวังให้เป็นคณะกรรมการที่จะจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์เที่ยงธรรมเป็นที่พึ่งชาติบ้านเมือง และรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
แต่จากการดำเนินการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 ของจำเลย ดำเนินการเลือกตั้งที่สร้างความแตกแยกให้กับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างที่สุดและเกิดปรากฏการณ์ต่อต้านการทำงานของจำเลยอย่างไม่มีมาก่อน ทั้งในเรื่องที่พรรคการเมืองใหญ่หลายพรรคไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือการที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยทำบัตรเสีย บางคนฉีกทำลายบัตรโดยไม่กลัวเกรงกฎหมาย อีกทั้ง มีผู้คัดค้านการจัดสถานที่และคูหาเลือกตั้งจนศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครองได้มีคำวินิจฉัยว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญฯปี 40 และให้เพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าว แต่ในการจัดการเลือกตั้งใหม่วันที่ 23 เมษายน 2549 จำเลยทั้งสามยังดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบ และเป็นการได้เปรียบของพรรคการเมืองบางพรรค ทำให้เกิดความแตกแยกในชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวงมากขึ้นกว่าเดิม จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ
“ ธนา เบญจาทิกุล” ทนายความคนดัง เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ “ลิ่วล้อ” ที่รับใช้ระบอบทักษิณจนลืมตัวกล้าออกมาพูดจากล่าวหาว่า “ ศาลมีธง” ในการพิจารณาพิพากษา จำคุก 3 กกต. จนในที่สุดต้องถูกพิพากษา จำคุก 1 ปี ในคดีละเมิดอำนาจศาล โชคยังดีที่ศาลยังปราณีที่เจ้าตัวเคยประกอบคุณงามความดีอยู่บ้างสมัยเป็นเลขาฯสภาทนาย และสำนึกในการกระทำความผิดโดยขอลุแก่โทษต่อศาล จึงให้รอลงอาญาโทษจำคุกไว้ 2 ปี แต่งานนี้ก็ทำให้ “ ทนายหน้าหอ” แทบจะหมดอนาคตในการประกอบวิชาชีพทนายความ
พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา “โอ๋ สืบ 6” เป็นตัวอย่างของ “ ตำรวจระบอบทักษิณ” ที่รับใช้นายจนลืมสิ้นหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน ผลสุดท้ายตำรวจสายสืบคนดังที่กำลังจะมีอนาคต ต้องถูกปลดออกจากราชการ แถมถูกศาลพิพากษาจำคุกอีก 2 ปี กรณีสั่งการให้ลิ่วล้อรุมทำร้ายประชาชนที่ตะโกนขับไล่ทักษิณ หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์
“เจ๊เพ็ญ” จักรภพ เพ็ญแข ที่ตอแหลออกมาสู้เพื่อนายใหญ่ “ ขายวิญญาณ” อาจหาญวิ่งชนฟ้า กล้าแม้กระทั่งพูดจา “จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ” ผลสุดท้ายก็ได้รับจุดจบที่เจ็บปวด ต้องกระเด็นออกจากเก้าอี้ “รัฐมนตรี” แถมโดนดำเนินคดีฐานฐานดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีโทษจำคุก 3 – 15 ปี
และกรณีล่าสุด พิชิฏ ชื่นบาน , ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ และนายธนา ตันศิริ ทีมทนายความทักษิณ และพจมานในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกทันที คนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล หลังกระทำการอุกอาจหิ้วถุงขนมสอดไส้เงินสด 2 ล้านบาท พยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาลฯ ถึงบนอาคารศาลฎีกา ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ “ทาสทักษิณ” ที่ต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถในคุก เพราะรับใช้นายจนไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง กล้ากระทำชั่วในรั้วศาลสูงสุดของประเทศอย่างศาลฎีกา
คดีนี้ศาลเห็นว่า ถือว่าการที่ผู้ถูกกล่าวหานำเงิน 2 ล้านบาทมามอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาฯ เพื่อมุ่งหมายจูงใจให้เจ้าหน้าที่กระทำการอันมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่อาจเชื่อโยงเป็นประโยชน์ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามซึ่งกระทำการร่วมกันจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพานิชย์ ม.31 (1) , 33 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา ม.83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ตามประมลกฎหมายอาญา มาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน
การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามเป็นการกระทำที่อุกอาจท้าทายละเกิดขึ้นที่ศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศ อีกทั้งผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามประกอบอาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมายย่อมตระหนักดีกว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามจะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาลยุติธรรมและจะส่งผลกระทบกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาในการปฎิบัติหน้าที่ของบุคคลากรในอำนาจตุลาการจึงเห็นสมควรลงโทษสถานหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน ส่วนความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงานนั้น ให้นายอนันต์ เลขานุการศาลฎีกา ผู้กล่าวหาคดีนี้ไปดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
งานนี้ “ สามทนายชั่ว” นอกจากจะต้องติดคุกแล้ว ยังต้องหมดอนาคตในวิชาชีพไปโดยปริยาย เมื่อ “ คณะกรรมการมรรยาทาสภาทนาย ” เตรียมเชือดซ้ำโดยการถอนชื่อออกจากบัญชีทนายความ ซึ่งจะทำให้ทั้งสามไม่สามารถประกอบวิชาชีพหมอความไปอีก 5 ปี หรือตลอดชีวิต ซึ่งถือเป็นจุดจบอย่างน่าอนาถของทนายความที่รับใช้นายจนไม่คำนึงการประกอบวิชาชีพโดยสุจริต
“ กรณีนายพิชิฏกับพวก สร้างความสะเทือนและนำความเสื่อมเสียมาให้วงการทนายความเป็นอย่างมา นึกไม่ถึงว่าจะมีทนายความกล้าทำแบบนี้ และจะเป็นคดีตัวอย่างที่ต้องนำไปใช้ในการอบรมมรรยาททนายความและหามาตรการป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมอยากให้ทนายความทั่วประเทศดูไว้เป็นอุทาหรณ์ในตอนเลือกรับว่าความคดีให้ใคร เพราะจริงอยู่ว่าไม่ว่าจำเลยมีเงินมีอิทธิพลหรือเป็นอาชญากรมาจากไหน ทนายความย่อมต้องช่วยว่าความให้ แต่ต้องทำด้วยความสุจริต” นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ประธานคณะกรรมการมรรยาทสภาทนายความ ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจ
มีคำพูดติดปากว่า “ให้เอาเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่าง” โดยเฉพาะ “ ตัวอย่างที่ชั่ว” ดังนั้นจึงอยากฝากเตือนไปถึง นักการเมือง และข้าราชการ รวมทั้งกลุ่มบุคคล ที่กำลังคิดจะรับใช้ระบอบทักษิณให้พึงระวังเอาไว้ให้ดี หากคิดจะกระทำการใดๆ เพื่อรับใช้นายใหญ่ ให้นึกถึงกฎหมายบ้านเมืองบ้านเมืองไว้เป็นสำคัญ มิฉะนั้นท่านอาจจะพบจุดจบใน คุก!! เช่นเดียวกับ “ ลิ่วล้อทักษิณ ” รายแล้วรายเล่า ดังที่กล่าวให้เห็นเป็นตัวอย่างในข้างต้น