xs
xsm
sm
md
lg

ถล่ม"เลี้ยบ"อ่อนหัดไม่จริงใจ หาเสียง-ทุบหุ้นพัง-THAIเจ๊ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - ฝ่ายค้านอัด “หมอเลี้ยบ” ไม่เข้าใจปัญหาเศรษฐกิจ ไม่จริงใจ ฉาบฉวยใช้โครงการมุ่งหาเสียงในอนาคต ทั้งๆ ที่ปัญหาใหญ่อยู่ที่การสร้างความเชื่อมั่น ชี้ตีโจทย์ 3 วิกฤตปัญหาใหญ่ของโลกไม่แตก เปิดช่อง ปตท.สูบกำไรแสนล้านบนหลังประชาชน "จุติ" อัดให้ท้ายพวกปั่นหุ้นทำนักลงทุนหนี แถมทำบินไทยเจ๊ง

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.) นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ชำแหละการบริหารงานของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ว่า ขาดความจริงใจในการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจที่แท้จริงต่อประชาชน ทั้งที่ทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ได้ช่วยระดมความคิดเห็นเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนแต่รัฐบาลก็ไม่ได้ให้ความสนใจ ยกตัวอย่างการใช้คูปองช่วยเหลือคนจนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อที่สูงถึง 7.6% เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น แทนที่รัฐมนตรีคลัง จะสนใจแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แต่มีการรับฟังเพียงบางประเด็นและมีแนวคิดที่จะใช้เงินสดเข้ามาแก้ปัญหาแทนคูปองด้วย

"รัฐบาลต้องเข้าให้ถึงปัญหาที่แท้จริงใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์กำหนดคุณสมบัติของคนจนให้ชัดเจนเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด ไม่ใช่ให้หัวคะแนนเป็นผู้กำหนดว่าใครจนไม่จน แล้ววางเป้าหมายระยะ 6 เดือน 12 เดือนว่าต้องยกระดับคนกลุ่มนี้ให้หลุดพ้นจากปัญหาความยากจนและรัฐบาลไม่ต้องเข้าไปช่วยเหลืออีก แต่รัฐบาลก็ไม่ยอมเข้าใจ รับไปทำเพียงบางส่วนเพื่อหาโอกาสใช้โครงสร้างของนโยบายนี้เพื่อใช้หาเสียงในอนาคตเท่านั้น”

นายกรณ์ระบุว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ในขณะนี้เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ก่อนเลือกตั้งจะเป็นปัญหาความเชื่อมั่น แต่ปัจจุบันโจทย์ใหญ่คือ 3 วิกฤตของโลกที่กระทบต่อทุกประเทศคือ 1.วิกฤตตลาดเงินของสหรัฐฯ 2.วิกฤตพลังงาน และ3.วิกฤตอาหาร ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถตีโจทย์เหล่านี้ออกและใช้วิธีการแก้ปัญหาอย่างไม่ถูกวิธีโดยเฉพาะวิกฤตทางด้านอาหารและพลังงานนั้น ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผลผลิตทางการเกษตรปริมาณมาก ราคาข้าวในตลาดโลกสูงเป็นประวัติการณ์แต่เกษตรกรกลับขายข้าวได้ในราคาถูก และท่ามกลางวิกฤตพลังงานนโยบายสนับสนุนการปลูกพืชพลังงานทดแทนกลับไม่มีความจริงใจออกมา รัฐบาลไม่เข้าใจศักยภาพของประเทศในจุดนี้ที่จะอาศัยความได้เปรียบประเทศอื่นแต่กลับไม่สนใจและเข้าใจในเรื่องที่ประเทศเสียเปรียบน้อยมาก

“สาเหตุที่ผมไม่ไว้วางในในตัวของรัฐมนตรีคลังนั้นเนื่องจากการแก้ปัญหาต่างๆ ของรัฐมนตรีได้นำนโยบายที่ล้มเหลวในอดีตมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลขาดวิสัยทัศน์และมีความบกพร่องในการบริหารจัดการขาดความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เมื่อราคาสินค้าแพงก็เข้าไปควบคุมราคาไม่ใช้นโยบายอุปทานในการแก้ปัญหา แก้ปัญหาแค่เพียงเฉพาะหน้าตามม็อบที่มาร้องเรียนที่หน่วยงานต่างๆ เท่านั้น” นายกรณ์กล่าวและว่า รมว.คลัง ยังมีพฤติกรรมสนับสนุนการมีอำนาจเหนือตลาดของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ค้ากำไรเกินควร โดยไม่รับผิดชอบต่อประชาชน แต่กลับปกป้องผลประโยชน์ของ ปตท. ซึ่งรัฐบาลไทยรักไทยเป็นผู้นำปตท.เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีกำไรในระดับแสนล้านบาท แต่กลับปันผลเพียง 30% ของกำไร ไม่พยายามให้ปตท.ปันผลเพิ่มขึ้นเพื่อนำเงินมาพัฒนาประเทศ

ตัวการทำตลาดหุ้นเสียหาย

นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ประเด็นที่ทำให้ไม่ไว้วางใจรมว.คลังนั้นคือประเด็นการเลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐานของหน่วยงานจัดเก็บภาษีของกระทรวงการคลังที่เน้นจัดเก็บภาษีจากประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแต่ละเว้นการจัดเก็บภาษีจากบริษัทหรือบุคคลที่มีความใกล้ชิดทางการเมืองกับผู้มีบุญคุณของรัฐบาล รวมถึงการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่ไม่มีหลักธรรมาภิบาลโดยเฉพาะการปกป้องนักปั่นหุ้นที่มีนักการเมืองหนุนหลังซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหายไป

"ตอนนี้ม็อบ ถือเป็นแพะแห่งปี...ท่านทำอะไรบ้างที่ให้ต่างประเทศเชื่อมั่น จนถึงตอนนี้ฝรั่งขายหุ้นหมด จริงๆ แล้วเป็นเพราะการเมืองหรือ การเมืองอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่คนปั่นหุ้นปราบได้หรือไม่ ต่างชาติเขาขาดความมั่นใจ อย่ามาบอกว่าการเมืองไม่นิ่งทำเศรษฐกิจไม่เดิน" นายจุติย้ำและว่า รมว.คลังไม่ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ที่ขอข้อมูลการตรวจสอบนายใหญ่ไป

“4 เดือนที่ผ่านมารัฐมนตรีคลังเพิกเฉยต่อการทำงาน เรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำส่วนเรื่องที่ไม่ควรทำกลับรีบทำ โดยเฉพาะธนาคารของรัฐที่รัฐบาลส่งคนของตนเองเข้าไปรุมทึ้งแสวงหาผลประโยชน์จากสถาบันการเงินเหล่านี้จนเกิดความเสียหายอย่างมากแต่รัฐมนตรีคลังกลับไม่ดำเนินการใดๆ ตลอด 4 เดือนที่เข้ารับตำแหน่ง”

นายจุติยังอภิปรายถึงปัญหาด้านธุรกิจของ บมจ.การบินไทย (THAI) ในฐานะที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ว่า ขณะนี้ต้องประสบกับการขาดทุน ส่วนหนึ่งมาจากการอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลบางกลุ่มด้วยการเปิดเส้นทางบินตรงในเส้นทางที่ไม่ทำกำไร จนกระทั่งต้องยกเลิกไปเพราะแบกรับภาระขาดทุนไม่ไหว มีการปรับเปลี่ยนเครื่องบินบางเที่ยวบินเพื่อบุคคลบางกลุ่มโดยเฉพาะในเดือน ก.พ.51 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คณะบุคคลที่เดินทางไปรับอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกงเพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจเป็นอย่างมาก วันนี้การบินไทยต้องเป็นสายการบินแห่งชาติ ไม่ใช่สายการบินของครอบครัวหรือตระกูล คนไทยถือหุ้นอยู่เท่าไหร่

นายจุติได้เปรียบเทียบความเป็นสายการบินแห่งชาติ ระหว่างการบินไทย กับสิงคโปร์แอร์ไลน์ พบว่าในปี 47 การบินไทยมีกำไรอยู่ที่ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กลับลดลงมาเหลือ 186 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 50 ขณะที่ในปี 47 สิงคโปร์แอร์ไลน์มีกำไรอยู่ที่ 1,352 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 50ซึ่งหากพิจารณาดูแล้วในปี 50 เป็นปีที่ทุกสายการบินต่างประสบกับปัญหาน้ำมันแพง แต่เหตุใดสิงคโปร์แอร์ไลน์จึงยังทำกำไรได้เพิ่มขึ้น แตกต่างจากการบินไทยที่ผลกำไรลดลง ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการบริหารงานที่ผิดพลาด หละหลวมและฟุ่มเฟือย
กำลังโหลดความคิดเห็น