ไฟแนนเชียลไทมส์ – กลุ่มกองทุนเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์ หรือ ไพรเวท อิควิตี้ฟันด์ จำนวน 2 กลุ่ม ซึ่งเชี่ยวชาญตลาดเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ ต่างประกาศแผนการระดมทุนเพิ่ม รวมกันเป็นวงเงิน 4,000 ล้านดอลลาร์ นับเป็นความเคลื่อนไหวที่ตอกย้ำถึงกระแสการรวบรวมเม็ดเงินเพื่อไปลงทุนในเอเชีย และภูมิภาคอื่น ๆของโลก ที่กระทบกระเทือนไม่ค่อยมากจากความปั่นป่วนในตลาดสินเชื่อของโลกตะวันตก
แอชมอร์ กองทุนลงทุนในสินทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดลอนดอน ซึ่งไม่นานมานี้ได้ควบรวมทรัพย์สินในตลาดเฟื่องฟูใหม่ของเอ็นรอน บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ที่ล้มคว่ำไปเมื่อหลายปีก่อน ออกมาประกาศจะระดมทุนอย่างน้อย 3,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับกองทุนเพื่อการลงทุนในตลาดสถานการณ์พิเศษกองทุนที่ 5 ของตน โดยจะเข้าไปลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาด ของภูมิภาคนอกเหนือจากยุโรปและสหรัฐฯ
ในขณะเดียวกัน แปซิฟิก อะลายแอนซ์ ที่ตั้งอยู่ในฮ่องกงและเพิ่งเสร็จสิ้นการระดมทุนและเงินกู้เพื่อไปซื้อกิจการรายแรกในจีน ก็ประกาศแผนการระดมทุนครั้งใหม่มูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สำหรับเออาร์ซี ซึ่งเป็นหน่วยงานลงทุนของบริษัทเพื่อสนับสนุนการเข้าซื้อบริษัทค้าปลีกและผู้ผลิตสินค้าเพื่อการบริโภคต่าง ๆในจีน
การระดมทุนของทั้งสองรายนี้แสดงให้เห็นว่า บรรดากองทุนเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์นั้นสามารถเรียกระดมเม็ดเงินใหม่ ๆเพื่อเข้าไปลงทุนในตลาดเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ได้อย่างรวดเร็วเพียงใด โดยมีเป้าหมายที่เอเชีย ลาตินอเมริกา และยุโรปตะวันออก เพื่อหลบเลี่ยงจากสถานการณ์อันเลวร้ายของวิกฤตสินเชื่อในโลกตะวันตก
ทั้งนี้กระแสเช่นนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว โดยข้อมูลของสมาคมไพรเวทอิควิตี้ในตลาดประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ชี้ว่า เมื่อปี 2007 มีการลงทุนในหลักทรัพย์ของประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ราว 59,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสองเท่าตัวของปี 2006
ในขณะที่การระดมทุนของกลุ่มเข้าซื้อหลักทรัพย์หรือกิจการในยุโรปและอเมริกาเหนือกำลังชะลอตัวลงมาก หลายๆ ฝ่ายกลับคาดหมายว่า การเข้าไปลงทุนของกลุ่มไพรเวท อิควิตี้ที่เน้นตลาดเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ จะพุ่งทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในปีนี้ โดยดูจากช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ที่กลุ่มเหล่านี้สามารถระดมทุนได้แล้วถึง 25,000 ล้านดอลลาร์
แปซิฟิก รีลายแอนซ์ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อนในลักษณะของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ด้วยเงินทุนเพียง 10 ล้านดอลลาร์เท่านั้น จากนั้นจึงขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจไพรเวท อิควิตี้ ภายหลังเมื่อปี 2005ได้ไปซื้อพอร์ตสินทรัพย์ของกลุ่มเอไอจีที่ลงทุนไว้ในบรรดาบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคของจีน แล้วก็ขยายการลงทุนเรื่อยมา จนในบัดนี้มีเงินทุนภายใต้การบริหารอยู่ราว 4,500 ล้านดอลลาร์
ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตสินเชื่อ แปซิฟิก รีลายแอนซ์ ระดมทุนของกิจการกองทุนไพรเวท อิควิตี้ มูลค่า 750 ล้านดอลลาร์ของตนเกือบทั้งหมดจากตลาด AIM ในลอนดอน แต่เมื่อเกิดวิกฤตผันผวนหนักในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทก็ตัดสินใจที่จะออกกองทุนไม่จดทะเบียนจำกัดที่มีอายุ 10 ปีขึ้นมาระดมเงินจากนักลงทุน
แปซิฟิก อะลายแอนซ์แถลงว่า การระดมทุนและเงินกู้เพื่อเข้าซื้อหุ้นบริษัทในจีนเป็นบริษัทแรกของตนได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ซึ่งก็คือ บริษัท กู๊ดเบบี้ ผู้ผลิตสินค้าเด็กของจีน โดยแปซิฟิก อะลายแอนซ์ตกลงเข้าซื้อในราคา 122.5 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
คริส กราเดล ผู้ร่วมก่อตั้งแปซิฟิก อะลายแอนซ์กล่าวว่า สถานการณ์สำหรับการลงทุนในจีนเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ “ราคาปีนี้เริ่มมีเหตุมีผลมากขึ้น และเราไปลงทุนไปแล้วมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา โดยมูลค่าของกิจการต่างๆ ตอนที่เข้าไปซื้อนั้น โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ในระดับต่ำกว่า 10 เท่าตัวของยอดรายได้ (พี/อี เรโช ต่ำกว่า 10)”
ส่วนแอชมอร์นั้นเป็นกลุ่มลงทุนที่แยกออกมาจากธนาคารออสเตรเลียแอนด์นิวซีแลนด์ แบงกิ้ง กรุ๊ปในปี 1999 ด้วยวิธีการที่ฝ่ายบริหารของกลุ่มลงทุนนี้เข้าซื้อหุ้นจากทางแบงก์ฯ สำหรับกิจการของแอชมอร์ในเวลานี้ก็คือ การบริหารกองทุนในลักษณะต่างๆ ทั้งกองทุนตราสารหนี้, กองทุนหลักทรัพย์, และกองทุนมุ่งให้ผลตอบแทนสูง
แอชมอร์ กองทุนลงทุนในสินทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดลอนดอน ซึ่งไม่นานมานี้ได้ควบรวมทรัพย์สินในตลาดเฟื่องฟูใหม่ของเอ็นรอน บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ที่ล้มคว่ำไปเมื่อหลายปีก่อน ออกมาประกาศจะระดมทุนอย่างน้อย 3,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับกองทุนเพื่อการลงทุนในตลาดสถานการณ์พิเศษกองทุนที่ 5 ของตน โดยจะเข้าไปลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาด ของภูมิภาคนอกเหนือจากยุโรปและสหรัฐฯ
ในขณะเดียวกัน แปซิฟิก อะลายแอนซ์ ที่ตั้งอยู่ในฮ่องกงและเพิ่งเสร็จสิ้นการระดมทุนและเงินกู้เพื่อไปซื้อกิจการรายแรกในจีน ก็ประกาศแผนการระดมทุนครั้งใหม่มูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สำหรับเออาร์ซี ซึ่งเป็นหน่วยงานลงทุนของบริษัทเพื่อสนับสนุนการเข้าซื้อบริษัทค้าปลีกและผู้ผลิตสินค้าเพื่อการบริโภคต่าง ๆในจีน
การระดมทุนของทั้งสองรายนี้แสดงให้เห็นว่า บรรดากองทุนเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์นั้นสามารถเรียกระดมเม็ดเงินใหม่ ๆเพื่อเข้าไปลงทุนในตลาดเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ได้อย่างรวดเร็วเพียงใด โดยมีเป้าหมายที่เอเชีย ลาตินอเมริกา และยุโรปตะวันออก เพื่อหลบเลี่ยงจากสถานการณ์อันเลวร้ายของวิกฤตสินเชื่อในโลกตะวันตก
ทั้งนี้กระแสเช่นนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว โดยข้อมูลของสมาคมไพรเวทอิควิตี้ในตลาดประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ชี้ว่า เมื่อปี 2007 มีการลงทุนในหลักทรัพย์ของประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ราว 59,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสองเท่าตัวของปี 2006
ในขณะที่การระดมทุนของกลุ่มเข้าซื้อหลักทรัพย์หรือกิจการในยุโรปและอเมริกาเหนือกำลังชะลอตัวลงมาก หลายๆ ฝ่ายกลับคาดหมายว่า การเข้าไปลงทุนของกลุ่มไพรเวท อิควิตี้ที่เน้นตลาดเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ จะพุ่งทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในปีนี้ โดยดูจากช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ที่กลุ่มเหล่านี้สามารถระดมทุนได้แล้วถึง 25,000 ล้านดอลลาร์
แปซิฟิก รีลายแอนซ์ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อนในลักษณะของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ด้วยเงินทุนเพียง 10 ล้านดอลลาร์เท่านั้น จากนั้นจึงขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจไพรเวท อิควิตี้ ภายหลังเมื่อปี 2005ได้ไปซื้อพอร์ตสินทรัพย์ของกลุ่มเอไอจีที่ลงทุนไว้ในบรรดาบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคของจีน แล้วก็ขยายการลงทุนเรื่อยมา จนในบัดนี้มีเงินทุนภายใต้การบริหารอยู่ราว 4,500 ล้านดอลลาร์
ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตสินเชื่อ แปซิฟิก รีลายแอนซ์ ระดมทุนของกิจการกองทุนไพรเวท อิควิตี้ มูลค่า 750 ล้านดอลลาร์ของตนเกือบทั้งหมดจากตลาด AIM ในลอนดอน แต่เมื่อเกิดวิกฤตผันผวนหนักในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทก็ตัดสินใจที่จะออกกองทุนไม่จดทะเบียนจำกัดที่มีอายุ 10 ปีขึ้นมาระดมเงินจากนักลงทุน
แปซิฟิก อะลายแอนซ์แถลงว่า การระดมทุนและเงินกู้เพื่อเข้าซื้อหุ้นบริษัทในจีนเป็นบริษัทแรกของตนได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ซึ่งก็คือ บริษัท กู๊ดเบบี้ ผู้ผลิตสินค้าเด็กของจีน โดยแปซิฟิก อะลายแอนซ์ตกลงเข้าซื้อในราคา 122.5 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
คริส กราเดล ผู้ร่วมก่อตั้งแปซิฟิก อะลายแอนซ์กล่าวว่า สถานการณ์สำหรับการลงทุนในจีนเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ “ราคาปีนี้เริ่มมีเหตุมีผลมากขึ้น และเราไปลงทุนไปแล้วมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา โดยมูลค่าของกิจการต่างๆ ตอนที่เข้าไปซื้อนั้น โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ในระดับต่ำกว่า 10 เท่าตัวของยอดรายได้ (พี/อี เรโช ต่ำกว่า 10)”
ส่วนแอชมอร์นั้นเป็นกลุ่มลงทุนที่แยกออกมาจากธนาคารออสเตรเลียแอนด์นิวซีแลนด์ แบงกิ้ง กรุ๊ปในปี 1999 ด้วยวิธีการที่ฝ่ายบริหารของกลุ่มลงทุนนี้เข้าซื้อหุ้นจากทางแบงก์ฯ สำหรับกิจการของแอชมอร์ในเวลานี้ก็คือ การบริหารกองทุนในลักษณะต่างๆ ทั้งกองทุนตราสารหนี้, กองทุนหลักทรัพย์, และกองทุนมุ่งให้ผลตอบแทนสูง
