นับตั้งแต่ต้นปี 2551 ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีความผันผวนรุนแรง ไม่ว่าจะมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเมือง และสเถียรภาพของรัฐบาล รวมไปถึงปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกา (ซับไพรม์) ที่ยังไม่ทีท่าว่าจะคลี่คลาย แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะพยายามให้ยาขนานใหญ่ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาหลายต่อหลายครั้ง
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลกระทบให้ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปี โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดวันที่ 30 เมษายน 2551 ที่ 831.10 จุด ลดลงจากดัชนีเปิดต้นปีที่ 858.10 จุด กว่า 27 จุด หรือ 3.14% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทน -2.99%
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่า กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด ทุกกองยังสามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โดยรายงานข่าวการจัดอันดับกองทุนที่ลงทุนในหุ้นของ LIPPER ณ วันที่ 30 เมษายน 2551 พบว่า กองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่สามารถให้ผลตอบเเทนสูงที่สุดของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้เเก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ (SCBLT4) ซึ่งให้ผลตอบเเทนย้อนหลังอยู่ที่ 4.01% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 7.00% โดยมีหลักทรัพย์ที่ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด 13.68% บริษัท บ้านปู 12.09% บริษัท ปตท.11.65% ธนาคารกสิกรไทย 9.90% และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 7.83%
สำหรับ SCBLT4 จะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนอาจมีการลงทุนในหลักทรัพย์หรือ หุ้นสามัญที่เสนอขายในต่างประเทศ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่สำนักงานกำหนด ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุน Efficient Portfolio Management (EPM) และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (structured note) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.
ส่วนอันดับที่ 2 คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) ให้ผลตอบเเทนย้อนหลังอยู่ที่ 3.91% โดยเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 6.90% ซึ่งมีหลักทรัพย์ที่ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ บริษัท บ้านปู 11.96% บริษัท ปตท. 11.74% ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด 10.89% ธนาคารกสิกรไทย 9.88% และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 8.15% โดยSCBLTT จะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุน Efficient Portfolio Management และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.
อันดับที่ 3 คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว เอ็มเอไอ (SCBLT3) ให้ผลตอบเเทนย้อยหลังอยู่ที่ 1.15% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 4.14% ซึ่งมีหลักทรัพย์ที่ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ บริษัท บ้านปู 10.38% บริษัท ปตท. 9.98% ธนาคารกสิกรไทย 9.96% บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 9.34% และบริษัท ไทยออยล์ 7.86% โดยจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ และ/หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุน และจะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง
ขณะที่ อันดับที่ 4 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวสมาร์ท (SCBLTS) ให้ผลตอบเเทนย้อนหลังอยู่ที่ 0.98% โดยเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 3.97% ซึ่งมีหลักทรัพย์ที่ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ ธนาคารกรุงเทพ 17.57% บริษัท ปตท. 12.50% บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 8.03% บริษัท ไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง 5.91% และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 4.66% ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุน Efficient Portfolio Management และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.
สำหรับอันดับ 5 ได้แก่กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว พลัส (SCBLT2) ให้ผลตอบเเทนย้อนหลังอยู่ที่ 0.08% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 3.07% ซึ่งมีหลักทรัพย์ที่ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ บริษัท ปตท. 13.00% บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 9.83% บริษัท บ้านปู 9.68% ธนาคารกรุงเทพ 9.06% และธนาคารกสิกรไทย 7.36% และจะเน้นลงทุนในหุ้นของที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัททั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตลอดจนตราสารการเงินอื่น ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมของแต่ละช่วงเวลา โดยลงทุนในสัดส่วนเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัททั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตลอดจนตราสารการเงินอื่น ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมของแต่ละช่วงเวลา ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุน และจะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง
สุดท้าย อันดับที่ 6 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) ให้ผลตอบเเทนย้อนหลังอยู่ที่ -0.01% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 2.98% ซึ่งหลักทรัพย์ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ ธนาคารกรุงเทพ 11.15% บริษัท ปตท. 9.92% ธนาคารแห่งประเทศไทย 9.24% บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 7.37% และบริษัท บ้านปู 6.09% โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัททั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตลอดจนตราสารการเงินอื่น ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมของแต่ละช่วงเวลาโดยลงทุนในสัดส่วนเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และไม่เกิน 70% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม โดยเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุน และจะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง
ทั้งนี้ หากลองพิจารณาถึงหลักทรัพย์ที่กองทุนเหล่านี้เข้าลงทุนจะพบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะเครือปตท. และหุ้นกลุ่มแบงก์พาณิชย์ ซึ่งเป็นไปตามทิศทางและนโยบายการคัดสรรของผู้บริหารตามที่ได้เคยประกาศมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งหลักทรัพย์เหล่านี้ล้วนสามารถสร้างผลตอบแทนในการลงทุนที่กลับมา ดังที่คาดการณ์ตามแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ
ก่อหน้านี้ กำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานกองทุนรวม บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวถึง เรื่องของผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ว่า เป็นเพราะราคาหุ้นและน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จึงส่งผลให้พอร์ตการลงทุนปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในขณะนี้หุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่นำไปลงทุนในกลุ่มบริษัทพลังงานทั้งหลายได้รับประโยชน์จากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น และในส่วนของ บลจ.ไทยพาณิชย์ นั้น ผู้จัดการกองทุนได้มีการปรับพอร์ตเพิ่มการลงทุนในกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพื่อให้ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยทาง บลจ. มองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานในขณะนี้ปรับตัวสูงขึ้นพอสมควร
ส่วนแนวโน้มของหุ้นในกลุ่มพลังงานนั้นคาดว่ามีแนวโน้มในการปรับตัวสูงขึ้นอีกในระยะยาว จากแนวโน้มที่เติบโตตามราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น แต่ความต้องการของการใช้พลังงานไม่ได้ปรับตัวลดลงแต่อย่างใด ซึ่งทาง บลจ.มองว่าแนวโน้มหุ้นในกลุ่มพลังงานยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงอยู่ และยังมองไม่เห็นถึงการปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลกระทบให้ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปี โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดวันที่ 30 เมษายน 2551 ที่ 831.10 จุด ลดลงจากดัชนีเปิดต้นปีที่ 858.10 จุด กว่า 27 จุด หรือ 3.14% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทน -2.99%
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่า กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด ทุกกองยังสามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โดยรายงานข่าวการจัดอันดับกองทุนที่ลงทุนในหุ้นของ LIPPER ณ วันที่ 30 เมษายน 2551 พบว่า กองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่สามารถให้ผลตอบเเทนสูงที่สุดของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้เเก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ (SCBLT4) ซึ่งให้ผลตอบเเทนย้อนหลังอยู่ที่ 4.01% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 7.00% โดยมีหลักทรัพย์ที่ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด 13.68% บริษัท บ้านปู 12.09% บริษัท ปตท.11.65% ธนาคารกสิกรไทย 9.90% และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 7.83%
สำหรับ SCBLT4 จะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนอาจมีการลงทุนในหลักทรัพย์หรือ หุ้นสามัญที่เสนอขายในต่างประเทศ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่สำนักงานกำหนด ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุน Efficient Portfolio Management (EPM) และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (structured note) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.
ส่วนอันดับที่ 2 คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) ให้ผลตอบเเทนย้อนหลังอยู่ที่ 3.91% โดยเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 6.90% ซึ่งมีหลักทรัพย์ที่ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ บริษัท บ้านปู 11.96% บริษัท ปตท. 11.74% ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด 10.89% ธนาคารกสิกรไทย 9.88% และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 8.15% โดยSCBLTT จะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุน Efficient Portfolio Management และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.
อันดับที่ 3 คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว เอ็มเอไอ (SCBLT3) ให้ผลตอบเเทนย้อยหลังอยู่ที่ 1.15% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 4.14% ซึ่งมีหลักทรัพย์ที่ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ บริษัท บ้านปู 10.38% บริษัท ปตท. 9.98% ธนาคารกสิกรไทย 9.96% บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 9.34% และบริษัท ไทยออยล์ 7.86% โดยจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ และ/หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุน และจะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง
ขณะที่ อันดับที่ 4 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวสมาร์ท (SCBLTS) ให้ผลตอบเเทนย้อนหลังอยู่ที่ 0.98% โดยเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 3.97% ซึ่งมีหลักทรัพย์ที่ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ ธนาคารกรุงเทพ 17.57% บริษัท ปตท. 12.50% บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 8.03% บริษัท ไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง 5.91% และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 4.66% ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุน Efficient Portfolio Management และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.
สำหรับอันดับ 5 ได้แก่กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว พลัส (SCBLT2) ให้ผลตอบเเทนย้อนหลังอยู่ที่ 0.08% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 3.07% ซึ่งมีหลักทรัพย์ที่ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ บริษัท ปตท. 13.00% บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 9.83% บริษัท บ้านปู 9.68% ธนาคารกรุงเทพ 9.06% และธนาคารกสิกรไทย 7.36% และจะเน้นลงทุนในหุ้นของที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัททั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตลอดจนตราสารการเงินอื่น ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมของแต่ละช่วงเวลา โดยลงทุนในสัดส่วนเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัททั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตลอดจนตราสารการเงินอื่น ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมของแต่ละช่วงเวลา ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุน และจะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง
สุดท้าย อันดับที่ 6 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) ให้ผลตอบเเทนย้อนหลังอยู่ที่ -0.01% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่า 2.98% ซึ่งหลักทรัพย์ลงทุนส่วนใหญ่ดังนี้ ธนาคารกรุงเทพ 11.15% บริษัท ปตท. 9.92% ธนาคารแห่งประเทศไทย 9.24% บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 7.37% และบริษัท บ้านปู 6.09% โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัททั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตลอดจนตราสารการเงินอื่น ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมของแต่ละช่วงเวลาโดยลงทุนในสัดส่วนเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และไม่เกิน 70% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม โดยเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ อาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุน และจะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง
ทั้งนี้ หากลองพิจารณาถึงหลักทรัพย์ที่กองทุนเหล่านี้เข้าลงทุนจะพบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะเครือปตท. และหุ้นกลุ่มแบงก์พาณิชย์ ซึ่งเป็นไปตามทิศทางและนโยบายการคัดสรรของผู้บริหารตามที่ได้เคยประกาศมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งหลักทรัพย์เหล่านี้ล้วนสามารถสร้างผลตอบแทนในการลงทุนที่กลับมา ดังที่คาดการณ์ตามแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ
ก่อหน้านี้ กำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานกองทุนรวม บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวถึง เรื่องของผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ว่า เป็นเพราะราคาหุ้นและน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จึงส่งผลให้พอร์ตการลงทุนปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในขณะนี้หุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่นำไปลงทุนในกลุ่มบริษัทพลังงานทั้งหลายได้รับประโยชน์จากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น และในส่วนของ บลจ.ไทยพาณิชย์ นั้น ผู้จัดการกองทุนได้มีการปรับพอร์ตเพิ่มการลงทุนในกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพื่อให้ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยทาง บลจ. มองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานในขณะนี้ปรับตัวสูงขึ้นพอสมควร
ส่วนแนวโน้มของหุ้นในกลุ่มพลังงานนั้นคาดว่ามีแนวโน้มในการปรับตัวสูงขึ้นอีกในระยะยาว จากแนวโน้มที่เติบโตตามราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น แต่ความต้องการของการใช้พลังงานไม่ได้ปรับตัวลดลงแต่อย่างใด ซึ่งทาง บลจ.มองว่าแนวโน้มหุ้นในกลุ่มพลังงานยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงอยู่ และยังมองไม่เห็นถึงการปรับตัวลดลง