ในขณะที่เขียนบทความนี้ (เช้าวันที่ 20 มิ.ย.) ขบวนการต่อต้านรัฐบาลตัวแทนของกลุ่มพันธมิตรฯ กำลังเตรียมตัวจะเคลื่อนสู่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลออกไปด้วยเหตุว่าหมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไปแล้ว และการที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เลือกวันที่ 20 มิ.ย. เป็นโอกาสขับไล่รัฐบาลถึงหน้าทำเนียบฯ ในครั้งนี้ อนุมานได้จากเหตุปัจจัยในทางตรรกศาสตร์ดังต่อไปนี้
1. จำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งเป็นวันแรกที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ชุมนุมกันต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนถึงวันที่ 19 มิ.ย.ปรากฏว่าจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากจำนวนพัน ณ วันที่ 25 พ.ค.เป็นจำนวนเกือบแสนในวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ จึงเป็นเหตุจูงใจให้เกิดความมั่นใจได้ว่าคนไทยจำนวนมากที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลนี้อยู่บริหารประเทศได้เพิ่มขึ้นถึงขั้นที่เรียกได้ว่ามีความชอบธรรมพอที่จะขับไล่ให้พ้นจากตำแหน่งได้แล้ว
2. เหตุจูงใจให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาลได้เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนพฤติกรรมของรัฐมนตรีบางคนไปจนถึงการดำเนินงานที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองและพวกพ้องได้มีมากขึ้น และทำให้พันธมิตรฯ สามารถหยิบยกขึ้นมาตีแผ่ให้ประชาชนรับรู้ เข้าใจ และกลายเป็นแนวร่วมในการขับไล่เพิ่มขึ้นวันต่อวัน
3. กลุ่มอำนาจเก่าที่เคยอยู่เบื้องหลังการเมือง และคอยบงการให้รัฐบาลหุ่นเชิดทำงานในระยะที่ผ่านมาได้ออกมาปรากฏ และบงการชัดเจนขึ้น จึงทำให้ความชอบธรรมของรัฐบาลชุดนี้ลดลง ประกอบกับผลงานการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนไม่มีอะไรคืบหน้าพอจะทำให้เชื่อได้ว่าจะมีศักยภาพแก้ได้
ทั้ง 3 ประการดังกล่าวข้างต้นนี้เอง น่าจะเป็นเหตุให้พันธมิตรฯ เชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องบุกทำเนียบฯ เพื่อขับไล่รัฐบาลตัวแทน และไล่แล้วเชื่อว่าต้องจบลงในเวลาอันรวดเร็ว
ส่วนที่ว่าความเชื่อเช่นนี้จะถูกต้องหรือไม่ก็คงต้องรอดู และในวันที่บทความนี้ลงตีพิมพ์ คือวันอังคารที่ 24 มิ.ย. ผลการขับไล่คงจะปรากฏให้เห็นกันแล้วหรือยัง ก็พอจะเป็นสมการบอกได้บ้างแล้วว่าจะจบลงอย่างไร และเมื่อใด
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผลที่ว่านี้จะปรากฏออกมา ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะได้คาดการณ์ล่วงหน้าได้บ้าง และการคาดการณ์ที่ว่านี้คงจะต้องอาศัยการอนุมานทั้งจากการนำเหตุปัจจัยที่เป็นอยู่ในขณะนี้มาวิเคราะห์ และคาดการณ์ไปหาผลซึ่งพอจะอนุมานได้ดังต่อไปนี้
1. จากผลการจัดชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ 20 กว่าวัน นอกจากทำให้จำนวนผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นอันเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มพันธมิตรฯ ในเชิงยุทธศาสตร์แล้ว ยังทำให้รัฐบาลเกิดความหวั่นไหว จะเห็นได้จากการที่รัฐมนตรี นายจักรภพ เพ็ญแข ต้องลาออกเนื่องจากถูกดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูง และการมีการฟ้องร้องคดีนี้เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการกดดันจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ รวมไปถึงคดีใบแดงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ด้วย
2. เมื่อแนวรบของรัฐบาลเริ่มสั่นคลอนจากการที่รัฐมนตรีถูกคดี รวมไปถึงใบแดงที่กำลังรอตัดสินของศาลอาญาแผนกคดีเลือกตั้งที่จะออกมาในวันที่ 8 ก.ค. และถ้าปรากฏออกมาว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช ผิดก็จะยิ่งทำให้ความแข็งแกร่งของรัฐบาลลดลง
3. การแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้าวยากหมากแพง ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ล้วนแล้วแต่ไม่ได้หรือได้ผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ทั้ง 3 ประการนี้ น่าจะบอกได้ว่าเป็นเหตุพอที่จะทำให้เกิดผลทางลบในทางการเมืองแก่รัฐบาลถึงขั้นต้องลาออก ยุบสภาฯ หรือหนักหนาถึงขั้นถูกโค่นล้มได้ โดยเฉพาะจากคดีขัดแย้งเกี่ยวกับประสาทพระวิหาร
อีกปัจจัยหนึ่งที่มีการนำมาวิเคราะห์สถานภาพของรัฐบาล และพบว่าเป็นปัจจัยลบต่อรัฐบาลมากกว่าบวก ปัจจัยที่ว่านี้ก็คือปัจจัยเกี่ยวกับโหราศาสตร์ โดยการนำดวงเมืองมาดูควบคู่ไปกับดวงนายสมัคร สุนทรเวช
เริ่มที่ดวงเมือง จากวันที่ 21 พ.ค.-9 ก.ค. ดาวอังคารจะยกเข้าสู่ราศีสิงห์ อันเป็นเรือนเกษตรของดาวอาทิตย์คู่ศัตรู และเป็นเรือนปุตตะของดวงเมือง เมื่อเข้าสู่ราศีนี้ ดาวอังคารจะทำมุม 120 องศากับดาวอาทิตย์คู่ศัตรู และทำมุมเดียวกันนี้กับดาวเสาร์และพฤหัสบดีในราศีธนู ส่งผลให้เกิดกระแสความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารและตำรวจ ในขณะเดียวกันจะขัดแย้งกับม็อบค่อนข้างรุนแรง โดยที่มีเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่งเข้าข้างหรือยืนควบคู่ไปกับม็อบด้วย
ยิ่งกว่านี้ อังคารที่ทำมุม 120 องศากับดาวพฤหัสบดีอันเป็นคู่สมพล ทำให้นักวิชาการจับมือกับทหารต่อต้านรัฐบาล ในประเด็นที่รัฐบาลกระทำผิดกฎหมาย เช่น ทำร้ายม็อบ รวมไปถึงการดำเนินงานในส่วนที่ผิดกฎหมาย และท้าทายอำนาจปวงชนผู้เป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริงในรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ส่วนว่าถ้าดูจากดวงเมืองแล้ว วันไหนจะส่งผลไม่ดีต่อรัฐบาล และวันไหนเหตุการณ์จะคลี่คลายนั้นคงต้องลงลึกถึงรายละเอียด ส่วนว่าจะเป็นวันที่ 2 ก.ค. ตามที่อดีตนายกฯ ทักษิณบอก หรือว่าจะเป็นวันที่ 6 ก.ค.จะเกิดเหตุร้ายตามที่โหรบางคนบอกหรือไม่นั้น ผู้เขียนได้มีโอกาสเปิดดูปฏิทินโหรแล้วพบว่า ในวันที่ 2 ก.ค.ดาวอังคารโคจรในราศีสิงห์ประมาณ 6 องศา เกาะนวางค์ศุกร์อันเป็นดาวคู่มิตร และในวันนี้ดาวจันทร์โคจรในเรือนสองทับอังคารเดิมไม่มีอะไรบ่งบอกถึงเหตุร้าย และในขณะเดียวกันไม่มีอะไรบ่งบอกถึงเหตุดีที่จะเป็นคุณแก่ประเทศแต่ประการใด ถ้าจะดีก็เพียงข่าวที่เกี่ยวกับต่างประเทศที่คนบางคนรออยู่ และเป็นผลดีต่อบุคคลเท่านั้น
ส่วนวันที่ 6 ก.ค.ที่โหรบางท่านบอกว่าเป็นดวงไม่ดีเกี่ยวกับเมือง ปรากฏว่าอังคารโคจรประมาณ 7-8 องศา เกาะนวางค์พุธ ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงเหตุร้าย ถ้าจะมีก็เป็นเพียงเกิดกระแสข่าวโคมลอย และทำให้หุ้นตกเป็นผลเสียแก่พวกเล่นหุ้นเท่านั้น
โดยรวมๆ สรุปได้ว่า โดยอิทธิพลของดาวอังคารแล้วจะก่อให้เกิดเหตุไม่ดีแก่ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก่รัฐบาลก็จะเกิดก่อนวันที่ 2 ก.ค.คืออยู่ในช่วงที่อังคารโคจรประมาณ 1-3 องศา ซึ่งอยู่ในช่วงวันที่ 21-23 มิ.ย. และช่วงที่ว่านี้มีโอกาสเป็นไปได้มากว่ารัฐบาลต้องลาออก หรือไม่ก็ถูกโค่นล้มโดยประชาชนร่วมกับกองทัพ
ส่วนเมื่อล้มแล้วหรือก่อนล้มจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรงหรือไม่ประการใด ถ้าดูจากดวงเมืองแล้วเชื่อได้ว่าดาวพฤหัสบดีที่โดดเด่นจะช่วยให้วิกฤตการณ์จบลงด้วยดีไม่มีปัญหา ถึงแม้จะมีการขัดขืนบ้างก็แค่พฤติกรรมส่วนบุคคล แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมจำนนด้วยเหตุผลและความจำเป็นทางการเมือง
1. จำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งเป็นวันแรกที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ชุมนุมกันต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนถึงวันที่ 19 มิ.ย.ปรากฏว่าจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากจำนวนพัน ณ วันที่ 25 พ.ค.เป็นจำนวนเกือบแสนในวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ จึงเป็นเหตุจูงใจให้เกิดความมั่นใจได้ว่าคนไทยจำนวนมากที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลนี้อยู่บริหารประเทศได้เพิ่มขึ้นถึงขั้นที่เรียกได้ว่ามีความชอบธรรมพอที่จะขับไล่ให้พ้นจากตำแหน่งได้แล้ว
2. เหตุจูงใจให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาลได้เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนพฤติกรรมของรัฐมนตรีบางคนไปจนถึงการดำเนินงานที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองและพวกพ้องได้มีมากขึ้น และทำให้พันธมิตรฯ สามารถหยิบยกขึ้นมาตีแผ่ให้ประชาชนรับรู้ เข้าใจ และกลายเป็นแนวร่วมในการขับไล่เพิ่มขึ้นวันต่อวัน
3. กลุ่มอำนาจเก่าที่เคยอยู่เบื้องหลังการเมือง และคอยบงการให้รัฐบาลหุ่นเชิดทำงานในระยะที่ผ่านมาได้ออกมาปรากฏ และบงการชัดเจนขึ้น จึงทำให้ความชอบธรรมของรัฐบาลชุดนี้ลดลง ประกอบกับผลงานการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนไม่มีอะไรคืบหน้าพอจะทำให้เชื่อได้ว่าจะมีศักยภาพแก้ได้
ทั้ง 3 ประการดังกล่าวข้างต้นนี้เอง น่าจะเป็นเหตุให้พันธมิตรฯ เชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องบุกทำเนียบฯ เพื่อขับไล่รัฐบาลตัวแทน และไล่แล้วเชื่อว่าต้องจบลงในเวลาอันรวดเร็ว
ส่วนที่ว่าความเชื่อเช่นนี้จะถูกต้องหรือไม่ก็คงต้องรอดู และในวันที่บทความนี้ลงตีพิมพ์ คือวันอังคารที่ 24 มิ.ย. ผลการขับไล่คงจะปรากฏให้เห็นกันแล้วหรือยัง ก็พอจะเป็นสมการบอกได้บ้างแล้วว่าจะจบลงอย่างไร และเมื่อใด
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผลที่ว่านี้จะปรากฏออกมา ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะได้คาดการณ์ล่วงหน้าได้บ้าง และการคาดการณ์ที่ว่านี้คงจะต้องอาศัยการอนุมานทั้งจากการนำเหตุปัจจัยที่เป็นอยู่ในขณะนี้มาวิเคราะห์ และคาดการณ์ไปหาผลซึ่งพอจะอนุมานได้ดังต่อไปนี้
1. จากผลการจัดชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ 20 กว่าวัน นอกจากทำให้จำนวนผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นอันเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มพันธมิตรฯ ในเชิงยุทธศาสตร์แล้ว ยังทำให้รัฐบาลเกิดความหวั่นไหว จะเห็นได้จากการที่รัฐมนตรี นายจักรภพ เพ็ญแข ต้องลาออกเนื่องจากถูกดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูง และการมีการฟ้องร้องคดีนี้เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการกดดันจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ รวมไปถึงคดีใบแดงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ด้วย
2. เมื่อแนวรบของรัฐบาลเริ่มสั่นคลอนจากการที่รัฐมนตรีถูกคดี รวมไปถึงใบแดงที่กำลังรอตัดสินของศาลอาญาแผนกคดีเลือกตั้งที่จะออกมาในวันที่ 8 ก.ค. และถ้าปรากฏออกมาว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช ผิดก็จะยิ่งทำให้ความแข็งแกร่งของรัฐบาลลดลง
3. การแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้าวยากหมากแพง ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ล้วนแล้วแต่ไม่ได้หรือได้ผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ทั้ง 3 ประการนี้ น่าจะบอกได้ว่าเป็นเหตุพอที่จะทำให้เกิดผลทางลบในทางการเมืองแก่รัฐบาลถึงขั้นต้องลาออก ยุบสภาฯ หรือหนักหนาถึงขั้นถูกโค่นล้มได้ โดยเฉพาะจากคดีขัดแย้งเกี่ยวกับประสาทพระวิหาร
อีกปัจจัยหนึ่งที่มีการนำมาวิเคราะห์สถานภาพของรัฐบาล และพบว่าเป็นปัจจัยลบต่อรัฐบาลมากกว่าบวก ปัจจัยที่ว่านี้ก็คือปัจจัยเกี่ยวกับโหราศาสตร์ โดยการนำดวงเมืองมาดูควบคู่ไปกับดวงนายสมัคร สุนทรเวช
เริ่มที่ดวงเมือง จากวันที่ 21 พ.ค.-9 ก.ค. ดาวอังคารจะยกเข้าสู่ราศีสิงห์ อันเป็นเรือนเกษตรของดาวอาทิตย์คู่ศัตรู และเป็นเรือนปุตตะของดวงเมือง เมื่อเข้าสู่ราศีนี้ ดาวอังคารจะทำมุม 120 องศากับดาวอาทิตย์คู่ศัตรู และทำมุมเดียวกันนี้กับดาวเสาร์และพฤหัสบดีในราศีธนู ส่งผลให้เกิดกระแสความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารและตำรวจ ในขณะเดียวกันจะขัดแย้งกับม็อบค่อนข้างรุนแรง โดยที่มีเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่งเข้าข้างหรือยืนควบคู่ไปกับม็อบด้วย
ยิ่งกว่านี้ อังคารที่ทำมุม 120 องศากับดาวพฤหัสบดีอันเป็นคู่สมพล ทำให้นักวิชาการจับมือกับทหารต่อต้านรัฐบาล ในประเด็นที่รัฐบาลกระทำผิดกฎหมาย เช่น ทำร้ายม็อบ รวมไปถึงการดำเนินงานในส่วนที่ผิดกฎหมาย และท้าทายอำนาจปวงชนผู้เป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริงในรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ส่วนว่าถ้าดูจากดวงเมืองแล้ว วันไหนจะส่งผลไม่ดีต่อรัฐบาล และวันไหนเหตุการณ์จะคลี่คลายนั้นคงต้องลงลึกถึงรายละเอียด ส่วนว่าจะเป็นวันที่ 2 ก.ค. ตามที่อดีตนายกฯ ทักษิณบอก หรือว่าจะเป็นวันที่ 6 ก.ค.จะเกิดเหตุร้ายตามที่โหรบางคนบอกหรือไม่นั้น ผู้เขียนได้มีโอกาสเปิดดูปฏิทินโหรแล้วพบว่า ในวันที่ 2 ก.ค.ดาวอังคารโคจรในราศีสิงห์ประมาณ 6 องศา เกาะนวางค์ศุกร์อันเป็นดาวคู่มิตร และในวันนี้ดาวจันทร์โคจรในเรือนสองทับอังคารเดิมไม่มีอะไรบ่งบอกถึงเหตุร้าย และในขณะเดียวกันไม่มีอะไรบ่งบอกถึงเหตุดีที่จะเป็นคุณแก่ประเทศแต่ประการใด ถ้าจะดีก็เพียงข่าวที่เกี่ยวกับต่างประเทศที่คนบางคนรออยู่ และเป็นผลดีต่อบุคคลเท่านั้น
ส่วนวันที่ 6 ก.ค.ที่โหรบางท่านบอกว่าเป็นดวงไม่ดีเกี่ยวกับเมือง ปรากฏว่าอังคารโคจรประมาณ 7-8 องศา เกาะนวางค์พุธ ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงเหตุร้าย ถ้าจะมีก็เป็นเพียงเกิดกระแสข่าวโคมลอย และทำให้หุ้นตกเป็นผลเสียแก่พวกเล่นหุ้นเท่านั้น
โดยรวมๆ สรุปได้ว่า โดยอิทธิพลของดาวอังคารแล้วจะก่อให้เกิดเหตุไม่ดีแก่ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก่รัฐบาลก็จะเกิดก่อนวันที่ 2 ก.ค.คืออยู่ในช่วงที่อังคารโคจรประมาณ 1-3 องศา ซึ่งอยู่ในช่วงวันที่ 21-23 มิ.ย. และช่วงที่ว่านี้มีโอกาสเป็นไปได้มากว่ารัฐบาลต้องลาออก หรือไม่ก็ถูกโค่นล้มโดยประชาชนร่วมกับกองทัพ
ส่วนเมื่อล้มแล้วหรือก่อนล้มจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรงหรือไม่ประการใด ถ้าดูจากดวงเมืองแล้วเชื่อได้ว่าดาวพฤหัสบดีที่โดดเด่นจะช่วยให้วิกฤตการณ์จบลงด้วยดีไม่มีปัญหา ถึงแม้จะมีการขัดขืนบ้างก็แค่พฤติกรรมส่วนบุคคล แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมจำนนด้วยเหตุผลและความจำเป็นทางการเมือง