“จักรภพ” พร้อมแก๊ง นปก.เดินทางพบพนักงานสอบสวนกองปราบฯ สู้คดีหมิ่นเบื้องสูง ยืนยันไม่ได้กระทำความผิด โบ้ยถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ขณะที่ตำรวจอำนวยความสะดวกเต็มที่ บอกกลับบ้านได้โดยไม่ต้องประกันตัว เหตุยังไม่ออกหมายเรียก และยังไม่ใช่ผู้ต้องหา คาด 2 สัปดาห์สรุปสำนวนส่ง ผบ.ตร.มีความเห็นทางคดีอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ ผบช.ก.คนก่อนเคยชี้ขาดแล้วว่าผิดหมิ่นเบื้องสูง
วันนี้ (12 มิ.ย.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อเวลา 09.30 น. นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบช.ก. พล.ต.ต.สมเดช ขาวขำ รอง ผบช.ก.หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ และ พ.ต.อ.สมยศ พรหมนิ่ม รักษาการผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ผบก.ทล.) รองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า นายจักรภพเข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง โดยยังไม่ได้ออกหมายเรียกแต่อย่างใด ซึ่งขั้นตอนการดำเนินการนั้นทางพนักงานสอบสวนก็จะแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบพร้อมกับสอบปากคำและอนุญาตให้เดินทางกลับไปได้เนื่องจากยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา อย่างไรก็ดี ในระหว่างนี้พนักงานสอบสวนสามารถเชิญนายจักรภพมาสอบปากคำได้ตลอดเวลา และนายจักรภพสามารถนำหลักฐานมามอบเพิ่มเติมได้เช่นกัน
ผบช.ก.กล่าวต่อว่า หลังจากสอบสวนเสร็จก็จะสรุปสำนวนเสนอต่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.เพื่อให้สรุปความเห็นทางคดีอีกครั้งหนึ่ง โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ และไม่รู้สึกหนักใจแต่อย่างใดเพราะพนักงานสอบสวนดำเนินการตามพยาน หลักฐานที่ปรากฎเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และทาง ผบ.ตร.ก็แนะนำให้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
ด้าน นายจักรภพ กล่าวว่า ตนสมัครใจเข้าพบพนักงานสอบสวนเพราะมีผู้แจ้งความตนด้วยข้อหาที่รุนแรง ผลจากเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองจนต้องลาออกตำแหน่งรัฐมนตรี เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงจึงจำเป็นจะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจมากกว่าประเด็นทางกฎหมาย เป็นเรื่องที่เป็นประเด็นทางสังคมและความรู้สึกนึกคิด กระทบกระเทือนใจประชาชนอย่างมาก เนื่องจากกล่าวอ้างกันถึงสถาบันเบื้องสูง สำหรับตนแล้วถือว่าไม่บังควรจาบจ้วงไม่ว่ากรณีใดๆ ซึ่งตนก็จะพิสูจน์ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดในเรื่องนี้ ข้อเขียน การไปบรรยายไม่มีเจตนาหมิ่นเบื้องสูง
“เมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง ผมก็อยากให้เป็นกรณีศึกษาว่าเขาเล่นกันยังไง ใช้วิธีอะไร ทำให้การพัฒนาประเทศและประชาธิปไตยหยุดชะงักลง ผมมาเพื่อแสดงตัวมายืนยันความบริสุทธ์ว่าไม่เคยมีเจตนาตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด สรุปกันเร็วไปหน่อยว่าผมผิดตามที่กล่าวหา คำบรรยายที่สมาคมฯ ก่อนเป็นรัฐมนตรี ระหว่างนั้นรัฐไม่รู้ร้อนรู้หนาว คมช.ก็ยังมีอำนาจอยู่ หากเป็นความผิดจริงเหตุใดจึงไม่มีใครทำอะไรในตอนนั้น เรื่องนี้เป็นการนำมาย้อนหลังเพื่อให้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายรัฐบาลผ่านตัวผมใช่หรือไม่” นายจักรภพ กล่าว
นายจักรภพ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้มีมิติทางการเมืองและมิติทางกฎหมายในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ดี ตนได้เตรียมหลักฐานมาโต้แย้งข้อกล่าวหาว่าได้รับเชิญในการปาฐกถาอย่างไร และตนก็จะถามจากพนักงานสอบสวนว่าจะกล่าวหาตนในข้อหาใดบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคำพูดไหนบ้างที่เห็นว่าเป็นการหมิ่นเบื้องสูง
ผู้สื่อข่าวถามว่า คำแปลปาฐกถาของนายจักรภพนั้นไม่ตรงกับคำแปลของผู้อื่น นายจักรภพ ตอบว่า คำถามนี้ตั้งอยู่บนอคติ เรื่องการแปลเอกสารเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์รับรองได้ว่าเป็นการแปลที่ถูกต้องไม่ได้บิดเบือนหรือผิดเพี้ยน เรื่องสำคัญที่สุดคือตนซึ่งเป็นผู้พูดนั้นมีเจตนาอะไร ใครจะรู้ดีกว่าตนว่ามีเจตนาอย่างไร ไม่มีใครสามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจตนได้ และอธิบายความจากในหัวใจตนได้ว่าคิดอย่างไร ดังนั้นจึงไม่มีความหนักใจอะไรเป็นพิเศษ
ต่อข้อถามว่า ระบบอุปถัมภ์ในความหมายของนายจักรภพหมายถึงอะไร นายจักรภพ กล่าวว่า เป็นระบบของพรรคพวกเป็นใหญ่ซึ่งทำให้การวางรากฐานประชาธิปไตยไม่สามารถทำได้ เพราะระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ซึ่งตนก็ไม่ได้หมายความว่าต้องปรับเปลี่ยนให้ไปถึงจุดนั้นในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน แต่การเสนอปัญหาขึ้นมาในกรอบของวิชาการ มีเจตนาเพื่อให้สังคมได้ถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์ เป็นการบรรยายทางวิชาการ สามารถมีความคิดเห็นขัดแย้งกันได้ จึงไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ
นายจักรภพ ยังได้เปิดเผยหลังเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ประมาณ 3 ชั่วโมงว่า วันที่ 2 ก.ค.นี้ ตนจะนำหลักฐานมามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม นอกจากนี้ ได้ถามพนักงานสอบสวนว่า ข้อถามที่กล่าวหาว่าตนหมิ่นเบื้องสูงนั้นเป็นข้อความไหน แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไร ส่วนบรรยากาศหลังนายจักรภพลงมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีบรรดากองเชียร์ ได้ตะโกนว่าจักรภพสู้ๆ โดยนายจักรภพ กล่าวว่า เราต้องสู้เพื่อความเป็นธรรมอยู่แล้ว จากนั้นก็ได้ขึ้นรถตู้เดินทางกลับไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายจักรภพเดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม ได้มีแกนนำ นปก.ประกอบด้วย นพ.เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ร่วมเดินทางมาด้วย และมีประชาชนกว่า 50 คน นำดอกไม้มามอบให้กับนายจักรภพเพื่อให้กำลังใจ พร้อมกับตะโกนว่า “จักรภพ สู้ๆ” อย่างไรก็ดี ในระหว่างนั้นประชาชนที่มาให้กำลังใจกับนายจักรภพได้เกิดมีปากเสียงกันเองแต่ก็มีผู้เข้าห้ามปรามและแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกันไว้ได้ ส่วนนายจักรภพซึ่งสวมชุดสีดำมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และกล่าวทักทาย ขอบคุณประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจ ก่อนฝ่าวงล้อมผู้สื่อข่าวเข้าพบพนักงานสอบสวน
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ผู้สื่อจข่าวทำข่าว ได้มีชายวัยกลางคนรายหนึ่งซึ่งติดบัตรเข้าออกทำเนียบรัฐบาล ได้นำกล้องถ่ายรูปมาถ่ายบรรดานักข่าว โดยผู้สื่อข่าวสาวของเอเอสทีวีถูกถ่ายมากเป็นพิเศษ เจ้าหน้าที่จึงนำมาสอบสวน โดยรับสารภาพว่ามาจากชมรถวิทยุแท็กซี่ และไม่ได้เป็นนักข่าว แต่มาให้กำลังใจนายจักรภพ จากนั้นก็ได้เดินหายไป นอกจากนั้นเป็นที่น่าสังเกตว่า การเดินทางมาของนายจักรภพในวันนี้ได้มีเจ้าหน้าที่ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และตำรวจสันติบาลมาคอยดูแลความปลอดภัย และขับรถให้กับนายจักรภพ ทั้งๆ ที่นายจักรภพได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติของ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก่อนจะมานั่งตำแหน่ง ผบช.ก.ว่า สมัยก่อนขณะเป็น พ.ต.อ.เป็นนายตำรวจติดตามนายมนตรี พงษ์พานิช ช่วงที่มีชีวิตอยู่และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากนั้นเมื่อนายมนตรีเสียชีวิต พล.ต.ท.สมยศ หรือเฮียอ๊อด ขณะเป็น พ.ต.อ.ก็ไปติดตามนายเนวิน ชิดชอบ สมัยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรืองอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.สมยศ ก็จะมีคู่หูที่เป็นถึงที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ (เนวิน ชิดชอบ) คือ นายกนกศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งเป็นที่ปรึกษาที่ผ่านการเห็นชอบจาก ครม. ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมกับ พล.ต.ท.สมยศ คอยรับใช้นายเนวิน อย่างใกล้ชิด โดยนายกนกศักดิ์จะมีธุรกิจทำเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ส่งออก และธุรกิจค้าขายเกี่ยวกับสินค้าเกษตรฯ มากมาย และเป็นคนคอยช่วยเหลือซัปพอร์ตเงินทุนให้นายเนวินด้วย
“เจ๊เพ็ญ” ส่งทนายเจรจา ตร.คดีหมิ่นเบื้องสูงแล้ว!
“เจ๊เพ็ญ” ชะตาขาด! ตร.ชี้ชัดหมิ่นเบื้องสูง